War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2145
ตอนที่ 2,145 : เจิ้งตงจี๋…เผ่าพันธุ์ปีศาจ?!

คนของทั้ง 2 กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ แต่ละคนก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้ในการทดสอบรอบที่ 3 นี้ ไม่มีคนในกลุ่มของพวกมันตกตายก่อนคนของอีกกลุ่ม!

เพราะหากมี 1 คนในกลุ่มของพวกมันตายก่อน ย่อมหมายความว่าคนทั้งกลุ่มต้องถูกคัดออก!

ถูกคัดออกก็หมายถึงสิ้นหนทางรอดชีวิต!

หากเลือกได้ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก

อนิจจาตอนนี้พวกมันไร้ทางเลือก

พวกมันคือ 1 ใน 2 กลุ่มที่กำลังเข้ารับการทดสอบรอบที่ 3 ในพื้นที่ปิดที่อาจจะเป็นลานมรณะ!

ด้านตวนหลิงเทียนก็ลอยตัวในความว่าง รอคอยอยู่ ณ จุดกึ่งกลางพื้นที่ปิดทั้ง 2 อย่างเงียบงัน

แลไปคล้ายไม่ได้คิดอะไรอีกต่อไป

หากทว่าอารมณ์ภายในใจนั้น ช่างหนักอึ้งนัก…

ถึงแม้เขาจะต้องการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณมากก็ตามที แต่พอนึกถึงเรื่องของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากดินเนรเทศ ที่อาจจะบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว เขาก็เลือกจะละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว และคำนึงถึงภาพรวมก่อนทันที

ที่เขาต้องการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เร็วที่สุด ก็เพราะเขาคิดยกระดับพลังฝึกปรือให้มากเท่าที่จะมากได้ในเวลาอันสั้น

เพราะมีเพียงแต่ทำให้ความเร็วในการก้าวหน้าของพลังฝึกปรือเขาสูงล้ำที่สุดเท่านั้น ถึงจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกจากลัทธิบูชาไฟได้ทันท่วงที!

‘หากเค่อเอ๋อเป็นข้า นางก็ต้องเลือกแบบเดียวกับข้าแน่นอน…’

ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ใจเค่อเอ๋อว่านางจะตัดสินใจอย่างไร แต่ไหนแต่ไรเค่อเอ๋อก็เป็นสตรีใจดีและมีเมตตามาโดยตลอด

หากต้องปล่อยให้มนุษย์ชาติเผชิญหน้ากับโอกาสล่มสลายเพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวล่ะก็ นางไม่มีวันทนรับได้แน่…ถึงแม้เขาจะช่วยเค่อเอ๋อได้ในเวลาที่สั้นที่สุดจริง แต่นางก็ไม่มีทางมีความสุขเพราะเรื่องนี้

แน่นอนว่าสถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป

แม้ต้วนหลิงเทียนต้องการจะช่วยเหลือยอดฝีมือทั้ง 2 กลุ่ม แต่เขาก็ไม่มีพลังมากพอจะช่วยใครได้ เพราะไม่มีทางที่เขาจะบุกเข้าไปในพื้นที่ปิดที่พวกมันทำการทดสอบกันอยู่ได้เลย!

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยพวกเจ้า…แต่ข้าไม่มีปัญญา”

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่พึมพำออกมาด้วยความรู้สึกอับจน

หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เขาจะปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่เป็นปกติ

เขารู้ดีว่าทุกเรื่องราวในตอนนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา

ในชีวิตคนเรา ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจ เช่นนั้นแล้วเมื่อสุดมือสอยก็จำต้องปล่อยมันไป…

“ผู้เฒ่าหั่วแล้วถ้าในพื้นที่ปิดมีคนตาย…หลังพลังจากค่ายกลระเบิดปะทุออกมาฆ่าทุกคนจนทำลายพื้นที่ปิดไปแล้ว มันจะแผ่ขยายมาถึงข้าด้วยหรือไม่?”

“ข้าต้องเข้าไปหลบในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเหมือนก่อนหน้ารึเปล่า?”

หลังฉุกคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็รีบถามผู้เฒ่าหั่วออกมาทันที

หากพลังทำลายล้างนั่นมันล้นทะลักออกมาถึงนี่จริงๆ เขาก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน!

ถึงแม้เขาจะไม่เคยสัมผัสถึงพลังทำลายล้างอะไรนั่นมาก่อนเลยก็ตาม

แต่เขารู้ดีว่าจุดจบหลังจากพลังทำลายล้างนั่นปะทุออกมาแล้วมันเป็นอย่างไร…

ไม่เพียงแต่ไป๋ลี่ เหวยสั่วและคนอื่นๆจะถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก! กระทั่งพื้นที่ปิดอันแข็งแกร่งไร้ผู้ใดทำลายได้ก็ถูกทำลายจนเหลือแต่ความว่างเปล่า!!

เช่นนั้นเขาจึงต้องระวังให้มาก

“เรื่องนี้ไม่จำเป็น”

ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบกลับมาทันที “พลังของค่ายกลสังหารนั่นครอบคลุมแค่พื้นที่ปิดเท่านั้น…เพื่อให้มั่นใจว่าพลังอำนาจที่ปะทุระเบิดออกมาจะรุนแรงมากพอ พลังที่ค่ายกลสั่งสมมาไม่เพียงแต่จะปะทุออกมาทั้งหมดในชั่วพริบตา ยังถูกจำกัดรัศมีแรงระเบิดเอาไว้อย่างแน่ชัด…”

“เช่นนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อหลบแรงระเบิดแต่อย่างใด…เจ้าแค่ต้องรีบไปให้ทันเวลาหลังจากที่พื้นที่ปิดถูกทำลายและทุกคนด้านในตายตกก็พอ”

ผู้เฒ่าหั่วตอบ

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ หลังจากนั้นเขาก็เฝ้ารอสัญญาณจากผู้เฒ่าหั่วอย่างเงียบงัน พลังทั่วร่างโคจรเตรียมตัวไว้ตลอดเวลา

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดเสียงของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน

“พื้นที่ปิดทางซ้าย เร็ว! รีบไป!!”

เสียงชราของผู้เฒ่าหั่วพึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร พลังเซียนสุริยันพลันระเบิดออกทั่วร่างต้วนหลิงเทียน เขาใช้ออกด้วยทุกสิ่งอย่าง ร่างพุ่งทะยานออกไปทางซ้ายด้วยความเร็วสูงสุด!!

ด้วยปฐมเวทย์กลืนกินที่ยกระดับพลังเซียนสุริยันจนถึงขีดสุด และเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ เพียงเวลาชั่วพริบตา ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งทะลวงฝ่าความว่างบรรลุถึงครึ่งทาง!

และทันใดนั้นเอง

ตูมมมมม!!

บังเกิดเสียงดังสนั่นลั่นขึ้นจากเบื้องหน้า ทั้งมีแสงสว่างวาบเข้าตา พาลให้ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนกไม่น้อย ถึงกับต้องชะงักร่างไปวูบหนึ่ง

และนั่นทำให้ความเร็วของต้วนหลิงเทียนตกลงไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็เร่งระเบิดพลังทำให้ร่างทะยานไปต่อด้วยความเร็วสูงสุดอีกครั้งทันที

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจร่างต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงพื้นที่ๆบังเกิดการระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่! สำนึกเทวะแผ่กำจายออกไปเป็นวงด้วยความเร็วสูง พริบตาก็สัมผัสได้ถึงวิญญาณทั้งพรสวรรค์รากวิญญาณที่กำลังจะสลายตัวเพื่อหวนคืนสู่สวรรค์และโลกทันที!!

‘รากวิญญาณสีน้ำเงิน…รากวิญญาณสีคราม! ถึงแม้จะเป็นรากวิญญาณสีครามอ่อน แต่คราวนี้กลับมีรากวิญญาณสีครามถึง 3 ราก!’

‘ส่วนรากวิญญาณสีน้ำเงินมีแค่ 4 ราก…’

ในขณะที่กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงที่ยังหลงเหลือในความว่างเปล่าบริเวณนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา ‘รากวิญญาณสีครามอ่อนแบบนี้…9 ใน 10 ส่วน เจ้าของรากวิญญาณทั้ง 3 ไม่พ้นต้องเป็นของเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นแน่นอน’

หลังจากนั้นไม่นานความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็วกกลับมาอยู่ที่พรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของตัววเอง

ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ชัดเจนว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาได้เปลี่ยนจากสีครามเข้ม เป็นเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นสีม่วงอยู่รอมร่อ!

ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที

‘รากวิญญาณของข้าห่างจากการเป็นรากวิญญาณสีม่วงอีกแค่นิดเดียว…แค่เศษเสี้ยวเท่านั้น!’

จังหวะนี้อารมณ์ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะปั่นป่วนขึ้นมา

ในเวลาเดียวกัน ภายใน ‘พื้นที่ปิด’ อีกแห่งหนึ่ง

“ขอแสดงความยินดีด้วย พวกเจ้าผ่านการทดสอบรอบที่ 3 แล้ว…”

เสียงของเจิ้งตงจี๋ดังขึ้นเข้าหูคนในกลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดีไม่น้อย

“ฮ่าๆๆๆ…พวกเราผ่านการทดสอบแล้ว!!”

“รอดแล้ว! พวกเรารอดแล้ว!!”

“ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมรางวัลอันใหญ่ยิ่ง! วันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นซึ้งถึงวาจาประโยคนี้แล้วจริงๆ มารดามันเถอะ!”

……

หลายคนอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ราวกับพวกมันไม่เคยมีความสุขถึงขนาดนี้มาก่อน

กระทั่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด 3 คนของกลุ่มที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ต่างหันมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม

“แม่เฒ่าอสรพิษ…ตายแล้ว”

ไม่นานหนึ่งในนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

และชายผู้นี้ก็คือเมิ่งฮ่าว ที่ได้พบเจอแม่เฒ่าอสรพิษที่หน้าทางเข้า ด้วยเหตุนี้ทำให้มันบอกได้ทันทีว่าแม่เฒ่าอสรพิษตกตายไปแล้ว

เนื่องเพราะแม่เฒ่าอสรพิษนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับมัน

และตอนนี้นอกจากกลุ่มของมัน อีก 2 กลุ่มที่เหลือก็สมควรถูกคัดออก และไม่พ้นตกตายไปหมดสิ้นแล้ว

“หืม? แม่เฒ่าอสรพิษมาด้วยหรือ?”

ลูกตาของชายชราคนหนึ่งหดเล็กลงทันใด สีหน้ายังเปลี่ยนไปไม่น้อย

มันก็เป็นเหมือนกันกับเมิ่งฮ่าวและแม่เฒ่าอสรพิษ พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน และเป็นดั่งเทพผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาป

ทว่าหากเทียบกับเมิ่งฮ่าวแล้ว มันนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับแม่เฒ่าอสรพิษมากกว่า

“อืม…”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้ารับ “ข้าเจอนางด้านนอก อีกทั้งพวกเรายังเข้ามาในนี้พร้อมๆกัน”

เมื่อได้ฟังสีหน้าชายชราก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดทันที มันหลับตาลงคล้ายหวนรำลึกถึงสหายเก่า…

ศีรษะชราของมันส่ายไปมาเบาๆ มุมปากกระตุกไปเล็กน้อย คร่ำครวญอยู่ในใจ ‘แม่เฒ่าอสรพิษ เจ้าไม่ควรมา…เจ้าไม่ควรมาเลย! เจ้าไฉนด่วนจากข้าไป…’

“เอาล่ะ…”

ทันใดนั้นเองเสียงเจิ้งตงจี๋พลันดังขึ้นอีกครั้ง ดึงความสนใจของเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆทันที

ชายชราที่หวนรำลึกถึงสหายก็ดึงสติกลับมาตั้งใจฟัง “พวกเจ้าที่สามารถผ่านการทดสอบรอบที่ 3 มาได้…ตอนนี้กำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดีใช่หรือไม่? กระทั่งยังคิดว่าสามารถเข้าใกล้สมบัติ ที่พวกเราทั้ง 3 เหลือทิ้งไว้ได้อีกก้าวแล้วใช่หรือไม่?”

ในขณะที่เจิ้งตงจี๋กล่าววาจานี้ออกมา…

นอกจากเมิ่งฮ่าวและยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนที่สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม คิ้วขมวดเป็นปม เพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเจิ้งตงจี๋เปลี่ยนไปเป็นไม่ชอบมาพากลแล้ว…

คนอื่นๆไม่เพียงแต่จะไม่สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

เป็นธรรมดา!

เพราะตอนนี้พวกมันรู้สึกมีความสุขนัก!

“แต่…สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ ในระนาบเทียมแห่งนี้ ข้ากับสหายอีก 2 คนที่ร่วมมือกันสร้างมันขึ้นมา มิได้มีสมบัติอันใดของพวกเราเก็บอยู่สักชิ้น ยังจะนับประสาอะไรกับมรดกของพวกเรา…”

เสียงของเจิ้งตงจี๋ยังดังขึ้นสืบต่อ และตอนนี้น้ำเสียงของมันก็สูงขึ้นคล้ายกำลังกล่าวเย้ยหยัน

กระทั่งยังมีเสียงหัวเราะเยาะ!!

และแทบจะทันทีที่เสียงเย้ยหยันทั้งหัวเราะเยาะของเจิ้งตงจี๋ดังขึ้นมา สีหน้าท่าทีของเมิ่งฮ่าวและเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนก็ถึงกลับเปลี่ยนไปเป็นร้ายแรงทันที

ไม่มีสมบัติ?

ไม่มีมรดก?

ทันใดนั้นสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งพลันร้องดังขึ้นในใจของพวกมัน!

“ไม่มีสมบัติ? ไม่มีมรดกหรือ?”

“อะไรกัน!? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ล้อข้าเล่นรึไง!?”

“มันขำอะไรกัน!?”

… …

คนอื่นๆที่รู้สึกตัวแล้ว ก็เริ่มสับสนงุนงงกันใหญ่

ถึงแม้พวกมันจะรู้สึกเหลือเชื่อ แต่พวกมันก็ไม่อาจไม่เชื่อสิ่งที่เจิ้งตงจี๋กล่าว

“มันล้อพวกเราเล่นหรือไม่?”

“อาจเป็นได้…ใต้เท้าผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันยิ่ง”

นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ยังคงมองโลกในแง่ดี…

ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว อันเรียกได้ว่าเป็น ครึ่งก้าวเซียนอมตะ ทั้ง 3 คนได้ลงแรงไปไม่น้อยเพื่อร่วมมือกันสร้างระนาบเทียมแห่งนี้ขึ้นมา…เพื่อล้อพวกมันเล่นหรือ?

เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อเกินไป!

“ตอนนี้พวกเจ้าคงคิดว่ามันเหลือเชื่อใช่หรือไม่…ที่ไฉนข้ากับสหายอีก 2 คนถึงได้ต้องลำบากลำบนสร้างระนาบเทียมแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อล้อพวกเจ้าเล่น?”

เสียงเจิ้งตงจี๋พลันดังขึ้นอีกครั้ง ยังราวกับสามารถคาดเดาความในใจของทุกคนได้ออกก็ไม่ปาน

“เอาล่ะ อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้…เช่นนั้นข้าจะบอกความจริงให้พวกเจ้ารับทราบเอาไว้”

“ความจริงที่ว่าก็คือ…ที่แท้แล้วข้ากับสหายอีก 2 คนนั้นมิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนพวกเจ้า! อ้อ…แน่นอนว่าพวกเรามิใช่สัตว์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเจ้าเช่นกัน”

“หลังจากที่ยุคมนุษย์ปีศาจสิ้นสุดลง พวกเราถูกมนุษย์อย่างพวกเจ้าบีบคั้นจนไร้หนทาง พวกข้ากระทั่งคิดจะย้อนกลับดินแดนที่ถูกทอดทิ้งยังมิอาจกระทำได้! จำต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้เยี่ยงมุสิก!!”

“มิผิด…พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ! ยังเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่โชคดีรอดพ้นจากการล่าสังหารของสุดยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้า! และหลบซ่อนตัวบ่มเพาะพลังภายใต้จมูกของพวกเจ้า!!”

เสียงของเจิ้งตงจี๋ดังก้องอยู่ในหูของเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ และวาจานี้ของมันนับว่าสะท้านสะเทือนทุกผู้คนให้อดสยิวกายขึ้นมาเสียไม่ได้ หน้ายังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!

เผ่าพันธุ์ปีศาจ!?

ผู้ที่ประกาศตัวว่าชื่อ เจิ้งตงจี๋ ผู้นี้…เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจงั้นหรือ!?!