คำตอบนี้ของเฉิงกั๋วกงเคยอยู่ในความคาดหวังของคนมากมาย แล้วก็อยู่ในความกังวลของคนมากมายเช่นกัน
เพียงแต่เวลานี้นาทีนี้ทุกคนไม่รู้สึกอันใดแล้ว เพราะเรื่องนี้กำหนดแน่นอนแล้ว
ฮ่องเต้ก็พระพักตร์ไร้อารมณ์เช่นกัน
ชั่วขณะในตำหนักชะงักนิ่งอยู่นิดๆ
“บางทีเวลานั้นอาจไม่ออกอาการ” ยังดีขุนนางที่เสนอข้อคิดเห็นไม่ลืมภารกิจของตนเอง รีบเอ่ยขึ้น
“ข้าให้คุณหนูจวินไปดูแล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น
“คุณหนูจวินเป็นหมอ ไม่ใช่แม่หมอ” ขุนนางผู้นั้นแค่นหัวเราะตอบ “หากนี่คือไหวอ๋องประชวร พวกเราจะไม่รู้จักเชิญหมอหรือ?”
เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว
“นี่เป็นเพียงด้านเดียว” เขาเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าหากจะกำจัดปีศาจล่ะก็ แทนที่จะไปสุสานหลวง ไม่สู้มาพระราชวังหลวง”
เขามองไปทางฮ่องเต้
“ฝ่าบาทคือโอรสแห่งจักรพรรดิสวรรค์เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์ ปีศาจตนใดล้วนต้องถอยหลบ”
เขาชมเสียเช่นนี้แล้ว เขายังจะบอกว่ากลัวปีศาจรุกรานพระวรกายได้อีกหรือ? นั่นไยไม่ใช่บอกว่าฝ่าบาทไม่ใช่เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์? ขุนนางไม่รู้จะพูดอะไรอยู่บ้าง
“แน่นอน ก็ไม่แน่ว่าจะต้องส่งมายังพระราชวังหลวงของฝ่าบาทที่นี่” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ใช้ร้ายสยบร้ายก็ได้ ปีศาจก็กลัวความดุร้ายเช่นกัน แม่ทัพทหารที่ข้าพามาล้วนผ่านสนามรบมานานกลิ่นอายการเข่นฆ่าหนักหน่วง ไม่สู้เลือกส่วนหนึ่งส่งไปคุ้มครองที่วังไหวอ๋องสักหน่อย”
ในท้องพระโรงมีเพียงพวกเขาสองคนสนทนากัน ขุนนางคนอื่นรวมถึงหวงเฉิงประหนึ่งรูปปั้นดินหินไม้ยืนอยู่ด้านข้าง นี่ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงดูไปแล้วพิกลนัก
ยังดีฮ่องเต้ออกโอษฐ์ทำลายความชะงักนิ่งนี้
“ดี เอาตามที่เฉิงกั๋วกงว่าเถิด” พระองค์ตรัส
เวลาส่วนใหญ่ฮ่องเต้ล้วนไม่เป็นฝ่ายตัดสินใจ ล้วนสอบถามความเห็นของขุนนางใหญ่ทั้งหลาย แต่วันนี้กลับตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้
ฮ่องเต้พิโรธยิ่งแล้วสิ ในใจหวงเฉิงจิ๊ปากสองคำ โกรธจนไม่อยากปิดบังแสร้งเล่นละครสักนิดแล้ว
“ยังมีเรื่องใดอีก?” ฮ่องเต้ตรัสถามตามมาติดๆ
เบี่ยงประเด็นเช่นนี้แล้ว ถ้อยคำที่เฉิงกั๋วกงกับขุนนางคนนั้นเตรียมจะเอ่ยขอบพระทัยล้วนหลงลืมไม่ได้เอ่ยออกมา พวกเขาก็ไม่พูดอีก รีบร้อนคำนับถอยกลับไป แลดูอเนจอนาถอยู่บ้าง
เวลานี้ต้องแก้สถานการณ์ให้ฮ่องเต้ ไม่แก้สถานการณ์อีกฮ่องเต้คงสะบัดแขนฉลองพระองค์เลิกประชุมแล้ว ฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์เลิกประชุมเฉิงกั๋วกงย่อมเสียหน้า แต่ฮ่องเต้ก็เสียหน้าเช่นกัน
หน้าของเฉิงกั๋วกงเขาย่อมไม่สนใจ หน้าของฮ่องเต้เขาย่อมต้องรักษา
จุดนี้เขาเตรียมพร้อมนานแล้ว เชิญขุนนางที่ปีนี้อายุถึงเวลาเกษียณหลายคนก้าวออกมาขอบพระทัย เอ่ยถ้อยคำน่าฟังจำนวนหนึ่งให้ฝ่าบาทพอพระทัยสักหน่อย หวงเฉิงกำลังจะส่งสายตาให้คนข้างกาย พลันได้ยินมีคนตะโกนขอบพระทัยเสียงดังก้าวออกมา
ผู้เฒ่าเหล่านี้ดูสีหน้าเก่งเอาเรื่อง หวงเฉิงหันกลับไปมองจากนั้นสีหน้าพลันบึ้งตึง
คนที่ก้าวออกจากแถวไม่ใช่ผู้เฒ่า แต่เป็นขุนนางหนุ่มเจ็ดแปดคน คนที่นำหน้าเป็นหนิงอวิ๋นเจาอีกแล้ว
“ขอบพระทัยพระกรุณาของฝ่าบาทที่ส่งกำลังคนมาเพิ่มให้พวกเรา วันนี้ ‘บันทึกฉลองนครา’ ประพันธ์เสร็จแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกังวาน พูดจบก็คุกเข่าโขกศีรษะ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”
หลายคนที่เหลือก็พากันโขกศีรษะขอบพระทัยด้วย
ในหมู่คนนี่ไม่เพียงแค่ประพันธ์หนังสือสำเร็จ ยังมีคนได้ย้ายเข้ามาในราชวิทยาลัยฮั่นหลินเพราะประพันธ์หนังสือ ถือโอกาสแสดงความซาบซึ้งต่อฮ่องเต้ด้วย
บางทีอาจเพราะขานรับประโยคนั้นของหนิงอวิ๋นเจาที่ว่าคนหนุ่มล้วนจริงใจ คำที่คนเหล่านี้ทูลฮ่องเต้จึงทำให้คนหน้าแดงหูแดง ฟังจนขุนนางมากมายที่นั่นล้วนถอนหายใจว่าคนหนุ่มวันนี้รุ่นหนึ่งสู้อีกรุ่นหนึ่งไม่ได้จริงๆ
ฮ่องเต้ก็ถูกยอจนแย้มสรวลแล้ว
“พอแล้ว พอแล้ว งานในหน้าที่ทำเรียบร้อยก็เป็นการตอบแทนข้าได้ดีที่สุดแล้ว” พระองค์ตรัส แววตาที่เดิมทีขุ่นเคืองสลายไปแล้ว
เวลานี้ขุนนางที่เกษียณหลายคนถึงฉวยโอกาสโขกศีรษะขอบพระทัย แต่เวลานี้เอ่ยน่าฟังอีกเท่าใดก็ไม่พ้นเช่นนี้แล้ว
เติมดอกไม้บนผ้าดิ้นอย่างไรก็สู้มอบถ่านยามหิมะไม่ได้
การประชุมใหญ่จบลงท่ามกลางบรรยากาศสุขสันต์ เหล่าขุนนางหลายร้อยคนส่วนใหญ่ล้วนแยกย้ายไปแล้ว มีเพียงเหล่าขุนนางสำคัญที่ตำแหน่งระดับสูงติดตามฮ่องเต้มาในตำหนักฉินเจิ้งด้านหลัง เริ่มจัดการข้อราชการที่แท้จริง
เพียงแต่ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่เรียกขุนนางเหล่านี้เข้าเฝ้าตามปกติ ไล่เหล่าขันทีออกไป ประตูใหญ่ตำหนักฉินเจิ้งถูกปิดลงหลังของฮ่องเต้เข้าไป
เมื่อฮ่องเต้เข้าประตูมาแล้ว บนพระพักตร์กลับไม่มีรอยยิ้มสักนิด ยกเท้าถีบเก้าอี้กลมตรงหน้าล้ม
“กระปรี้กระเปร่าดี วาจาเป็นลำดับ ” พระองค์ตรัสขึ้น
สองประโยคนี้ก็คือถ้อยคำที่เฉิงกั๋วกงพรรณนาถึงไหวอ๋องเมื่อครู่
“ทำไม? เด็กคนนี้ดีปานนี้ เหมาะจะเป็นองค์รัชทายาทมากใช่หรือไม่ฮะ?”
ฮ่องเต้ตรัสต่อ ประหนึ่งสัตว์ร้ายในกรงเดินวนเวียนไปมาด้านในห้อง
“สุนัขป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!”
“คนตายคนนั้นดีปานนี้เชียว ยังคิดถึงอยู่อีก!”
ฮ่องเต้ยิ่งตรัสยิ่งพิโรธ ด่าออกมาเสียแล้ว เสียงแผ่วเบาทั้งยังใช้สำเนียงท้องถิ่นซานตง ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ในห้องไม่มีขันที ต่อให้มีพวกเขาก็ฟังไม่ชัดฟังไม่เข้าใจ
แต่ขันทีหยวนเป่าที่เดินมาถึงนอกประตูฟังเข้าใจแล้ว เขาหยุดก้าวเท้า ห้ามขันทีที่เหลือ
นี่คือคนที่มาส่งพระกระยาหารเช้าตามปรกติ
“ทำอะไร? ฝ่าบาทรอพวกเราปรนนิบัติอยู่นะ” ขันทีใหญ่ที่นำหน้าเอ่ยขึ้น มองขันทีจากตำหนักเดิมที่โผล่มากะทันหันคนนี้ตรงหน้าอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง
“ตอนนี้รอประเดี๋ยวเถิด” หยวนเป่าเอ่ย “ตอนนี้ไม่สะดวก”
ขันทีใหญ่ยิ่งไม่พอใจแล้ว
ผลัดถึงตาเจ้ามาสั่งสอนพวกเราตั้งแต่เมื่อไร
เขาแค่นเสียงเหอะไม่สนใจหยวนเป่าก้าวไปข้างหน้า
“ฝ่าบาท” เขายืนอยู่นอกประตูยิ้มประจบเอ่ยเรียก “พระกระ…”
คำของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกฮ่องเต้ขัดแล้ว
“ไสหัวไป”
ขันทีใหญ่ที่เป็นหัวหน้าหน้าแดงทันที ถอยหลังไปอย่างอับอาย
หยวนเป่ามองเขาอย่างเหยียดหยันทีหนึ่ง
“ลู่อวิ๋นฉีมาแล้วหรือยัง?” พระสุรเสียงของฮ่องเต้ลอยมาจากด้านใน
หยวนเป่ารีบก้าวเข้าไปขานรับโดยมีประตูกั้นอยู่ ครั้งนี้ขันทีใหญ่ที่เป็นหัวหน้าไม่ขวางเขาอีกแล้ว
“บ่าวจะไปเรียกใต้เท้าลู่มาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หยวนเป่าทูล พูดจบก็หมุนตัวจากไป
“หยวนเป่าหรือ?” เสียงของฮ่องเต้รับสั่งเรียกอีกครั้ง
หยวนเป่าขานรับ
ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องเรียกเขาแล้ว เจ้าเข้ามา” ฮ่องเต้ตรัส
ในหัวใจหยวนเป่าภาคภูมิใจวูบหนึ่ง เห็นไหม ขอแค่เขาอยู่ กระทั่งลู่อวิ๋นฉีก็ต้องยืนอยู่ข้างหลังแล้ว
เขาขานรับอย่างนอบน้อม เข้าไปท่ามกลางแววตาริษยาของขันทีกลุ่มหนึ่ง
……………………………………….
เหล่าขุนนางใหญ่ในห้องรอเข้าเฝ้ากลัดกลุ้มวิตกอยู่บ้าง คนไม่น้อยเดินกลับไปมา
“ดูท่าวันนี้ฝ่าบาทคงไม่ถกเกี่ยวกับข้อราชการแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงเบา
“พิโรธยิ่งสินะ” มีคนเอ่ยเสียงเบา
ถกเถียงเสียงเบาพลางมองไปหาเฉิงกั๋วกงที่ยืนอยู่กับแม่ทัพหลายคน
ฮ่องเต้ทำไมพิโรธ ในใจทุกคนล้วนรู้กระจ่างชัด
เฉิงกั๋วกงสีหน้าสบายๆ คุยเสียงเบากับแม่ทัพหลายคน คล้ายไม่สังเกตบรรยากาศในห้อง
นอกประตูเสียงฝีเท้าลอยมา ขันทีใหญ่หลายคนเข้ามาถ่ายทอดข่าวว่าวันนี้ฮ่องเต้ไม่สะดวกคุยธุระอย่างที่คิด
“มีฎีกาถวายมาได้ เรื่องอื่นค่อยหารือทีหลัง” เขาเอ่ย
ได้ยินคำนี้บรรดาขุนนางในห้องล้วนเตรียมจากไป หวงเฉิงกลับเอาฎีกาฉบับหนึ่งออกมา เห็นฎีกานี่ที่เขาเอาออกมา ขุนนางข้างกายพลันตกใจสะดุ้งโหยง
“ใต้เท้า ใต้เท้า ตอนนี้ไม่เหมาะกระมัง” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ ตอนนี้เหมาะที่สุด” หวงเฉิงเอ่ย
“แต่ฝ่าบาทพิโรธเฉิงกั๋วกงยิ่งนัก ใต้เท้าท่านกลับจะขอพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชาง เต๋อเซิ่งชางนี่ให้ทุนเฉิงกั๋วกง เป็นกำลังช่วยเหลือใหญ่ของเฉิงกั๋วกง…ฝ่าบาทจะพอพระทัยได้อย่างไร…” ขุนนางอีกคนก็กล่อมเสียงเบาด้วย
“พอพระทัยหรือไม่พอพระทัย ลองดูก็รู้แล้ว” หวงเฉิงเอ่ย ห้ามไม่ให้พวกเขาปรามอีก ส่งฎีกาให้ขันทีใหญ่
ขันทีใหญ่จากไป เหล่าขุนนางก็ต่างแยกย้ายไปเช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้สำคัญยิ่ง ทุกคนล้วนต้องถกเถียงหารือการตอบโต้เป็นการส่วนตัว
แต่หวงเฉิงยังไม่ทันเดินออกไปไกลเท่าใดก็ถูกขันทีใหญ่เรียกไว้แล้ว
“ใต้เท้าหวง ฝ่าบาทเชิญ”
……………………………………….บทที่ 106 ประทานเกียรติยศให้เขายึดเอาทรัพย์ของเขา
ตอนที่หวงเฉิงมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง หยวนเป่ากำลังถวายชาให้ฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ท่านพิโรธเช่นนั้นไปไยเล่า” เขาทูลเสียงแผ่วเบา
“ก่อนหน้านี้ข้าแสร้งเป็นไก่อ่อนยังไม่พอ วันนี้ยังต้องแสร้งเป็นไก่อ่อนอีกรึ” ฮ่องเต้พระพักตร์โกรธเกรี้ยวตรัส
บทสนทนาของพวกเขาใช้ภาษาถิ่นซานตง แม้เกิดที่เมืองหลวง แต่ตอนนั้นองค์ฮองเฮาส่งเขาไปดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองเร็วนัก ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทล้วนตัดใจไม่ลงด้วยองค์ชายองค์อื่นก็ไม่ได้แยกวังไปยังดินแดนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครอง แต่ฮองเฮากลับบอกว่าองค์ชายองค์อื่นก็แล้วไปเถิด เพราะเป็นองค์ชายที่นางให้กำเนิดถึงไม่อาจยกเว้นได้
ฮ่องเต้ก็ทรงทราบว่าฮองเฮาเที่ยงตรงเสมอมา จึงได้แต่ถอนหายใจทั้งยังปลื้มใจส่งฉีอ๋องจากไป
แม้แม่นมผู้ติดตามเป็นต้นล้วนเป็นคนในวัง แต่วังอ๋องงานเยอะวุ่นวายจึงซื้อข้าทาสมาจากในท้องถิ่นรวมถึงมีขุนนางท้องถิ่นมอบให้ ในวังคนท้องถิ่นจึงมาก ดังนั้นฉีอ๋องจึงได้เรียนรู้ภาษาถิ่นมาภาษาหนึ่ง ผนวกกับหลังได้รับจดหมายฉบับหนึ่งของฮองเฮา ฉีอ๋องยิ่งตั้งใจเริ่มพูดภาษาถิ่น ค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน ต่อมายามเข้าเมืองหลวงถวายพระพรวันเฉลิมพระชนม์พรรษาแด่ฮ่องเต้ เพราะภาษาซานตงนี่ยังถูกองค์ชายและพระญาติองค์อื่นล้อเลียน ฮ่องเต้พิโรธเรื่องนี้อย่างมาก
หยวนเป่าคิดถึงเรื่องครานั้นก็ถอนหายใจอยู่บ้าง
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว” เขาทูล “เขาล่วงเกินท่าน ท่านไม่ชอบเขา ไล่ออกไปก็ได้แล้ว ท่านเป็นฮ่องเต้แล้ว วาจาท่านคือประกาศิต”
คำนี้เป็นความจริง ได้ฟังก็สบายใจ แน่นอนขุนนางใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยินยอมเอ่ยความจริงนี่หรอก คล้ายชมเขาก็จะกลายเป็นขุนนางชั่วเสียหน้าต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า
อืม ก็ไม่ใช่คนทั้งหมด หนิงอวิ๋นเจาหลานของหนิงเหยียนคนนั้นไม่เหมือนกัน
คิดว้าวุ่นอยู่พักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็แย้มสรวลแล้ว อารมณ์ดีขึ้นอยู่บ้าง
“ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น” พระองค์ตรัส
“ก็ไม่ใช่ไม่ง่ายเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ คนเป็นขุนนางคนหนึ่งไม่มีความผิดได้หรือ? บ่าวไม่เชื่อหรอก” หยวนเป่าเอ่ย
นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน คนไม่มีคนสมบูรณ์แบบ ทองไม่มีทองคำบริสุทธิ์ ขอเพียงตั้งใจย่อมต้องหาความผิดออกมาได้ ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว
“ใช่แล้ว ค่อยเป็นค่อยไป” แววตาของพระองค์โกรธเกรี้ยวอยู่บ้างแล้วก็ทะมึนอยู่บ้าง “ข้าไม่ผิดต่อเขา เป็นเขาที่ผิดต่อข้า”
นอกประตูเสียงขันทีลอยมาแจ้งข่าวว่าหวงเฉิงมาถึงแล้ว
หยวนเป่าจึงรีบขอตัว
“เจ้าอยู่ต่อเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส พระองค์ลูบฎีกาที่วางไว้ตรงหน้า “จะคุยเรื่องเต๋อเซิ่งชาง เจ้าก็ฟังดู”
หยวนเป่าขานรับทิ้งมือลงถอยไปด้านข้าง
หวงเฉิงถูกเรียกเข้ามาก็สั่นระริกจะโขกศีรษะ หากเป็นเวลาอื่นฮ่องเต้ย่อมต้อมห้ามปรามประทานเก้าอี้แน่นอน แต่คราวนี้ฮ่องเต้เพียงก้มพระเศียรอ่านฎีกา คล้ายมองไม่เห็นเขา
หวงเฉิงคุกเข่าเอ่ยเรียกฝ่าบาท
“นี่เจ้ายืมของลู่อวิ๋นฉียังไม่พอ ยังจะไปยืมของเฉิงกั๋วกงด้วยแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสพระเศียรก็ไม่เงยขึ้น “เจ้ากี้เจ้าการจะแต่งตั้งยศพระราชทานรางวัลให้คนของเขา?”
หวงเฉิงรีบค้อมร่างกับพื้น
“กระหม่อมไม่กล้า” เขาเอ่ยเสียงสั่น
ฮ่องเต้โยนฎีกาดังป้าบลงบนโต๊ะ
“เจ้ามีสิ่งใดไม่กล้า? เจ้ากล้ารายงานเท็จว่าไหวอ๋องถูกปีศาจรังควานครอบงำ กล้าให้ลู่อวิ๋นฉีเฝ้าวังไหวอ๋องแทนเจ้า ทำไมเจ้าจะไม่กล้าก่อนหน้าทะเลาะภายหลังผูกสัมพันธ์กับเฉิงกั๋วกงเล่า?” พระองค์ตวาด “สรุปคือเจ้าข้างนอกข้างในล้วนเป็นคนดี จะให้ข้าเป็นคนร้ายใช่หรือไม่?”
ได้ยินประโยคนี้ ในใจหวงเฉิงพลันโล่งอก ลู่อวิ๋นฉีกระทำการได้เหมาะสมจริงๆ
เรื่องเฝ้าวังไหวอ๋องไม่ให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าไปทำได้เหมาะสมเหลือเกินแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่มีทางปิดบังฝ่าบาทเรื่องที่ตนเองมาหาเขาเป็นการส่วนตัว แต่ที่มาหาเขาให้เขาเอ่ยวาจาตอนฮ่องเต้ถามเรื่องเต๋อเซิ่งชางย่อมไม่อาจบอกฮ่องเต้ได้
สิ่งต้องห้ามที่สุดของฮ่องเต้ก็คือเรื่องนี้ ลู่อวิ๋นฉีพระองค์ใช้ได้คนเดียวเท่านั้น ลู่อวิ๋นฉีที่ถูกขุนนางใหญ่ใช้ได้ย่อมไม่อาจพึ่งได้แล้ว
แต่เฝ้าวังไหวอ๋อง ขวางบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าใกล้ เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา
กระทำการใดย่อมต้องจริงๆ ลวงๆ ปะปนกันเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนสงสัย
ผู้บัญชาการลู่จากชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นนั้นมาถึงตำแหน่งเช่นนี้ได้คงไม่ใช่แค่โชคดีแล้ว
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้า” หวงเฉิงร่ำไห้น้ำตานอง โขกศีรษะซ้ำๆ “กระหม่อมเป็นห่วงไหวอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ หากไหวอ๋องเกิดอันตรายขึ้นมา ฝ่าบาทย่อมได้รับผลร้าย กระหม่อมเป็นห่วงจึงว้าวุ่น ยอมผิดร้อยครั้งไม่กล้าปล่อยผ่านครั้งหนึ่ง ส่วนพระราชทานรางวัลแก่เต๋อเซิ่งชาง ยิ่งไม่ใช่เพื่อเฉิงกั๋วกง นั่นไม่ใช่คุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกงสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นของฝ่าบาท นั่นเป็นประชาชนของฝ่าบาท เป็นประชาชนของฝ่าบาทภักดีตอบแทนชาติ กระหม่อมทนเห็นเฉิงกั๋วกงทำท่าเหมือนเรื่องทั้งหมดเป็นคนของเขาเองทำ ล้วนเป็นคุณงามความชอบของตัวเขาเองไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ใช่แล้ว นั่นเป็นของพระองค์ ฮ่องเต้มองหวงเฉิงที่โขกศีรษะสีพระพักตร์ทะมึน ในพระทัยเกิดเพลิงโทสะอีกครั้งและกลัดกลุ้มอีกครั้ง กลับกลายเป็นของในกระเป๋าของเฉิงกั๋วกงอีกแล้ว
พระองค์ยกพระหัตถ์ตบโต๊ะ
“พอแล้ว!” พระองค์ตวาด
หวงเฉิงหยุดร่ำไห้โขกศีรษะทันที ค้อมกายกับพื้นเงียบเสียง
ฮ่องเต้พรูลมหายใจ
“มีคำพูดก็พูด ร้องห่มร้องไห้มีอย่างที่ไหน!” พระองค์ตวาด
หวงเฉิงปาดน้ำตาเงยหน้าขึ้น
“ในใจกระหม่อมหวาดกลัว หวาดกลัวเพียงทำพลาดไปจะกลายเป็นไม่ภักดีต่อฝ่าบาท” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้พรูลมหายใจไม่เอื้อนโอฐ
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ปิดบัง กระหม่อมขอฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชางด้วยมีเจตนาส่วนตัว” หวงเฉิงเงยหน้าเอ่ย
ฮ่องเต้มองมาหาเขา
“วันนี้บ้านเมืองปัญหามากมาย เรื่องราวพัวพันสลับซับซ้อน” หวงเฉิงเอ่ยต่อ “แรกสุดมีสงครามประชาชนทุกข์ยากสูญเสียทรัพย์สิน วันนี้ยังมีผู้ลี้ภัยอีกหลายแสนรอการจัดการ รางวัลที่พระราชทานแก่แม่ทัพนายกองแสนกว่าคนของพวกเฉิงกั๋วกงก็ผลาญท้องพระคลังจนสิ้น ฝ่าบาท กระม่อมกังวลใจจนยากจะหลับใหลจริงๆ”
เขาพูดพลางมองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง
“ในเมื่อเต๋อเซิ่งชางมีเงินมากปานนี้ ทั้งยังมุ่งมั่นภักดีตอบแทนบ้านเมือง ถ้าเช่นนั้นไม่สู้ให้พวกเขาออกเงินอีกหน่อยจัดการผู้ลี้ภัย”
พระเนตรฮ่องเต้ฉายประกายในทันที
ใช่แล้ว เช่นนี้ก็เอาเงินของพวกเขากลับมาแล้ว
ใช่แล้ว นี่เดิมทีก็เป็นเงินของพระองค์
ฮ่องเต้นั่งตัวตรง
“แต่ นั่นค่าใช้จ่ายคงไม่น้อยกระมัง เต๋อเซิ่งชางยินดีหรือ?” พระองค์เอ่ยอย่างคลางแคลง
มุมปากหวงเฉิงปรากฏรอยยิ้ม
“บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าราชบริพารของจักรพรรดิ” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ก็ไม่ได้ใช้ของพวกเขาเปล่าๆ เพียงยืมมาชั่วคราวเท่านั้น ทั้งยังประทานพระราชทินนามและเบี้ยหวัดจำนวนมากแก่ตระกูลฟาง ให้พวกเขาเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ นี่มีสิ่งใดให้ไม่ยินดีเล่า?”
เขาพูดพลางหัวเราะ
“คนมีชีวิตอยู่ในโลก ทิ้งนามไว้บนประวัติศาสตร์ เงินทองก็เพียงของเยี่ยงมูลดินนอกกายเท่านั้น ตระกูลฟางตระกูลใหญ่มั่งคั่งเช่นนี้ย่อมรู้ว่านี่เป็นพระกรุณาธิคุณมากล้นเพียงไร”
ฮ่องเต้ก้มศีรษะมองฎีกาบนโต๊ะ หยิบพู่กันหยกมาตวัดทีหนึ่ง
“ให้สภาอำมาตย์หารือเรื่องนี้” พระองค์ตรัส
หวงเฉิงค้อมกายโขกศีรษะ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยเสียงดัง ชูสองมือขึ้น
หยวนเป่าด้านข้างตอนนี้ถึงเดินเข้ามา รับฎีกาส่งมาถึงในมือหวงเฉิง
หวงเฉิงเงยหน้า คล้ายเวลานี้เพิ่งมองเห็นหยวนเป่า ในดวงตาความประหลาดใจเล็กน้อยสายหนึ่งแล่นผ่าน
“หยวนกงกง ไม่พบกันนาน” เขาเอ่ยขึ้น
หยวนเป่ายิ้มนิดๆ ให้เขา ไม่เอ่ยวาจาถอยกลับไป
……………………………………….
“เดิมจะเชิญใต้เท้า แต่หลังได้ยินขันทีคนนั้นพูดขึ้นมากะทันหัน ฝ่าบาทก็เปลี่ยนพระทัย” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสนิทหมุนกริชเล็กเล่มหนึ่ง คล้ายฟังเขาพูดแล้วก็คล้ายเหม่อลอย
“หยวนเป่าคนผู้นี้ทำไมอยู่ดีๆ กลับมาเมืองหลวง หลายปีมานี้เขาเหมือนทำงานอะไรแทนฝ่าบาทอยู่” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยขึ้นด้านข้าง “จะตรวจสอบเขาหรือไม่..”
ลู่อวิ๋นฉียกมือ
“ในเมื่อเป็นงานของฝ่าบาทย่อมไม่อาจตรวจสอบได้” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ
ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถอยออกไป
“ฝ่าบาทไว้วางพระทัยใต้เท้ามากมาตลอด คนแซ่หยวนคนนี้มาปุบ ฝ่าบาทถึงกับพบเขาไม่พบใต้เท้า ข้ากังวลว่าคนแซ่หยวนผู้นี้คงไม่มาดี” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยเสียงเบา
“วางพระทัยไม่วางพระทัย ล้วนอาศัยการทำงาน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ต่างทำงานของตน ต่างได้รับความไว้วางพระทัย ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”
หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ
“อีกเรื่อง ข่าวสตรีคนนั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอูไม่มีเลยหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยถาม
หัวหน้ากองพันเจียงส่ายศีรษะ
“ค้นหามาหนึ่งปีกล่าวแล้ว เหมือนหายไปกับความว่างเปล่าขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา
ลู่อวิ๋นฉีวางกริชในมือลงบนโต๊ะ
“บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า” เขาเอ่ยขึ้น
เขาลุกขึ้นยืนรั้งมือกลับ กริชจมลงไปในโต๊ะเหลือเพียงด้ามมีดอยู่ข้างนอก
“หาต่อไป” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ
…………………………