ลั่วเจี้ยนเฟยนับว่าเป็นผู้คุ้มกันที่สมาชิกกลุ่มพันธมิตจิ่นซิ่วค่อนข้างคุ้นเคยคนหนึ่ง เขาเคยเข้าร่วมงานสำคัญหลายหน ได้มาร่วมมือกับหม่าเฉิงก็หลายครั้งอยู่ คนผู้นี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูอ่อนโยน แต่กลับใจเหี้ยมอำมหิต เขาปรากฏตัวที่ใดมักเลือดนองเป็นสายน้ำ คนผู้นี้ไม่เพียงเหี้ยมโหดต่อศัตรู แม้กระทั่งคนของตนเองก็ยังเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง นอกจากเฉินเจิ่น เขามิฟังคำสั่งของผู้อื่น แม้แต่ฮั่วอี้กับฮั่วซานก็ไม่กล้าสั่งการเขาตามใจ ครั้งนี้เฉินเจิ่นส่งเขาเดินทางมาด่านซั่นกวนย่อมคิดจะใช้ความอำมหิตของเขา
หม่าเฉิงพอรู้อยู่เลาๆ ว่าในมือเขากำคำสั่งลับของเฉินเจิ่นเอาไว้ เข้ามายึดอำนาจของตนได้ตลอดเวลา หม่าเฉินจึงปฏิบัติเหมือนเขาเป็นผู้ตรวจการกองทัพ ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย คนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด กลางวันเอาแต่ฟุบหลับอยู่ในกองบัญชาการลับ ตกกลางคืนจึงจะถือกระบี่เดินทางออกไปข้างนอกตามลำพัง หลายครั้งยามกลับมาบนร่างล้วนมีแต่กลิ่นคาวเลือด บางครั้งก็มีรอยแผลมาด้วย แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยเห็นเชลยของเขา แม้แต่ศีรษะคนก็ไม่เคยมีสักศีรษะ ทำให้ไม่มีคนล่วงรู้ว่าผลการต่อสู้ของเขาเป็นเช่นไร
ต้องทราบว่าการที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะวางแนวป้องกันดักขวางสายลับจากด่านซั่นกวนมิใช่เรื่องง่าย สายลับต้ายงล้วนมีฝีมือยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นทักษะในการเก็บซ่อนร่องรอยก็โดดเด่น ยามกลางวันยังพอทำเนา เพียงส่งคนสายตาดีไปเฝ้าสังเกตบนที่สูงอย่างถี่ถ้วนก็ค้นพบร่องรอยของพวกเขาได้แล้ว จากนั้นค่อยใช้สารพัดวิธีส่งข่าวแจ้งยอดฝีมือในกลุ่มให้ดักสังหาร
แต่หากเป็นยามกลางคืน ขอบเขตการมองเห็นไม่กว้าง ก็ทำได้เพียงส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งไปเฝ้าตามเส้นทางสำคัญบางส่วนเท่านั้น ถึงอย่างไรด้านหลังก็ยังมีแนวป้องกันอยู่อีกแนวหนึ่ง ต่อให้สายลับเหล่านั้นผ่านด่านนี้ไปได้ก็มิใช่ว่าจะลักลอบเข้าไปในตงชวนได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่คนที่ออกมาล่าตอนกลางคืนส่วนใหญ่มักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม มีเพียงลั่วเจี้ยนเฟยเท่านั้นที่ชอบไปมาเพียงลำพัง
ค่ำคืนนี้จันทร์สลัวดาราหม่นแสง กู้อิงลอบออกมาจากค่ายค้างแรม แอบสะกดรอยตามหลังลั่วเจี้ยนเฟยหมายจะดูว่ายามค่ำคืนเขาไปทำสิ่งใด เขาทราบว่าวรยุทธ์ของตนสู้ลั่วเจี้ยนเฟยมิได้ ดังนั้นจึงตามอยู่ไกลๆ โชคดีลั่วเจี้ยนเฟยไม่ได้ตั้งใจปกปิดร่องรอย ดังนั้นกู้อิงจึงสะกดรอยลั่วเจี้ยนเฟยจนมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
หุบเขาแห่งนี้เป็นทางเส้นน้อยที่เชื่อมระหว่างด่านซั่นกวนกับตงชวน เพราะเส้นทางสูงชันจึงมีคนใช้น้อย แต่เป็นเส้นทางสำคัญที่สายลับใช้เดินทาง หากเป็นยามกลางวัน เฝ้ามองจากบนหน้าผาเหนือหุบเขาย่อมไม่มีผู้ใดหลบซ่อนได้ แต่หากเป็นยามกลางคืน ทุกสิ่งมืดสนิท สิ่งใดก็มองมิเห็น อีกทั้งในหุบเขาไม่มีตำแหน่งเหมาะสำหรับซ่อนตัว ดังนั้นจึงไม่เหมาะเป็นจุดดักซุ่ม
กู้อิงนึกแปลกใจ เหตุใดลั่วเจี้ยนเฟยจึงเลือกสถานที่เช่นนี้ ความสงสัยบังเกิดขึ้นในใจ ระหว่างที่เขาเฝ้าจับตามอง ลั่วเจี้ยนเฟยก็ไต่ขึ้นไปบนหน้าผาที่ขนาบข้าง ไม่มีเจตนาจะซุ่มซ่อนในหุบเขารอโอกาสสังหารคนแม้แต่น้อย
กู้อิงลังเลครู่หนึ่งก็แอบตามขึ้นหน้าผาไปด้วย บนยอดผาเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง ป่าไผ่โอบล้อมศาลเทพเจ้าภูเขาผุพังแห่งหนึ่งเอาไว้ ด้านหลังศาลเจ้ามีศิลายักษ์ราบเรียบก้อนหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าผา กู้อิงรู้จักภูมิประเทศตรงนี้ดี ตอนแรกเขาเคยตามหม่าเฉิงลาดตระเวนผ่านสถานที่ตรงนี้แล้ว
เขาเห็นแสงไฟสว่างขึ้นในศาลเจ้าเก่าจากไกลๆ มันส่องสว่างกลางความมืด ประเดี๋ยวเดียวก็ดับลง กู้อิงทราบว่าลั่วเจี้ยนเฟยคงกำลังจุดกองไฟ หลังจากนั้นเขาก็ปิดประตูศาลเจ้า บังแสงไฟมิให้เผยออกมาด้านนอก กู้อิงรวบวมความกล้าลอบขึ้นหน้าผา อ้อมไปด้านหลังศาลเจ้าเก่า มองหาว่ามีโอกาสเข้าไปโดยที่ไม่ถูกลั่วเจี้ยนเฟยพบเห็นหรือไม่
แม้แสงจันทร์มืดสลัว แต่กู้อิงก็ยังพอมองเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเลือนราง ไม่นานเขาก็พบว่ากำแพงที่ซ่อนอยู่หลังพงหญ้ารกจุดหนึ่งเหมือนจะทะลุเป็นรูขนาดใหญ่รูหนึ่ง เขาแหวกหญ้าแห้งเหี่ยวเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ รูใหญ่จุดนั้นพอให้เขามุดเข้าไปได้ เขามุดเข้าไปอย่างแผ่วเบา เบื้องหน้ามืดสนิท มองไม่เห็นแสงไฟ จากตำแหน่ง เขาพอเดาได้ว่าตรงนั้นน่าจะเป็นโต๊ะบูชาสำหรับเซ่นไหว้เทพเจ้าภูเขา ส่วนที่มองไม่เห็นแสงไฟ น่าจะเป็นเพราะผืนผ้าแพรที่ปูอยู่บนโต๊ะบูชายังมิถูกขโมยไป กู้อิงขดตัวนิ่งอยู่ในพื้นที่คับแคบ ไม่กล้าขยับสักนิด
ความจริงลั่วเจี้ยนเฟยวรยุทธ์สูงส่งไม่น่าจะไม่ระวังตัวเช่นนี้ แต่สาเหตุที่เขาไม่สังเกตเห็นระหว่างทางที่มา ประการแรกเพราะกู้อิงระวังอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งเพราะตัวเขาเองใจจดใจจ่ออยากพบหน้าคน ดังนั้นจึงไม่ทันระวัง ถึงอย่างไรกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ไม่มีผู้ใดกล้าเพ่งเล็งเขา ผู้ใดจะคิดว่ากู้อิงกลับเป็นลูกวัวแรกเกิดมิกลัวเสือ พอเขาเข้ามาในศาลเจ้าเก่าก็วุ่นวายอยู่กับการจุดกองไฟ ปัดกวาดห้องโถงศาลเจ้า ตอนกู้อิงลอบเข้ามาใต้โต๊ะบูชาก็เป็นตอนที่ลั่วเจี้ยนเฟยออกไปหากิ่งไม้แห้งพอดี กู้อิงจึงจับพลัดจับผลูลอบเข้ามาที่นี่สำเร็จ
แม้กู้อิงอายุน้อย แต่เขาได้รับถ่ายทอดวรยุทธ์ดั้งเดิมของตระกูล ส่วนลั่วเจี้ยนเฟยถึงจะวรยุทธ์สูงส่ง แต่อยู่ในระดับยอดฝีมือชั้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่บรรลุถึงขั้นเห็นขนอุยวิหคยามสารท ด้วยเหตุนี้จึงค้นมิพบการมีอยู่ของกู้อิง
กู้อิงแหวกผ้าคลุมโต๊ะเป็นช่องเล็กๆ อย่างแผ่วเบา แล้วเพ่งดูแสงไฟสว่างไสวกับชายหนุ่มชุดดำผู้มีสีหน้าถมึงทึงเย็นชาผู้นั้น ลั่วเจี้ยนเฟยนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่ข้างกองไฟ แม้อ่อนเยาว์และหล่อเหลา แต่สีหน้าเหี้ยมเกรียมกับไอสังหารเบาบางที่แผ่ออกมารอบร่างนั่นกลับทำให้เขาเต็มไปด้วยความน่าพรั่นพรึง แม้แสงไฟจะตกต้องใบหน้าหล่อเหลาปานแกะสลักของเขา แต่ผู้คนกลับรู้สึกราวกับว่าเขาอาจกลืนหายไปกับความมืดที่ถูกแสงไฟขับไล่ได้ตลอดเวลา
กู้อิงนึกถึงสิ่งที่ผู้คุมกฎหม่าเคยกล่าวกับเขา ในสิบมีแปดเก้าส่วนที่ลั่วเจี้ยนเฟยผู้นี้อาจเคยเป็นมือสังหารมาก่อน เวลานี้เขาเข้าใจความหมายที่ท่านลุงหม่าพูดแล้วจริงๆ ไอสังหารเช่นนี้ ความมืดทะมึนเช่นนี้ มิใช่มือสังหารสิแปลก
ขณะที่กู้อิงรู้สึกว่าแขนขาเริ่มชาเล็กน้อย ทันใดนั้นนอกศาลเจ้าก็มีเสียงผีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น กู้อิงตกใจจนกลั้นลมหายใจ ประตูศาลเจ้าถูกเปิดออก ลมหนาวบุกรุกเข้ามา กู้อิงตัวสั่นสะท้าน เขาเห็นตรงประตูศาลเจ้ามีเงาสูงชะลูดร่างหนึ่งยืนอยู่ คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเทา บนศีรษะสวมหมวกปีกกว้างบดบังแสงตะวัน ปีกหมวกกดลงมาต่ำยิ่งนักจนมองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัด เห็นเพียงเอวซ้ายของเขามีด้ามกระบี่โผล่ออกมา จึงทราบว่าคนผู้นี้เป็นคนในยุทธภพคนหนึ่ง
คนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่หน้าประตูศาลเจ้าครู่หนึ่งก็เอื้อมมือมาปลดหมวกลงเบาๆ เผยให้เห็นดวงหน้าเกลี้ยงเกลาที่กำลังอมยิ้ม ดวงตาสุกใสประหนึ่งดวงดาราเหมันต์กลางรัตติกาลทอประกายอยู่รางๆ เขาจ้องมองลั่วเจี้ยนเฟยที่มีสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับตื้นตันที่ได้พบญาติสนิทผู้จากกันมานานหลายปี
กู้อิงโล่งใจ ในใจคิดว่าหรือจะเป็นสหายเก่าของลั่วเจี้ยนเฟย เขาจึงมิบอกกล่าว แม้เขาจะไม่ชอบพรรคพวกของเฉินเจิ่น แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ภายในกลุ่มขัดแย้งกัน ผู้ใดจะคาดคิดว่าเพิ่งพรูลมหายใจออกจากปาก ก็เห็นประกายกระบี่ฉายวาบ ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้นั้นกระโจนเข้าใส่ เสื้อคลุมตัวใหญ่สะบัดพลิ้ว พากระแสลมหอบใหญ่เป่ากองไฟกองนั้นดับลงทันใด
กู้อิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าดับมืด หลังจากนั้นหูก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน กู้อิงวางมือบนด้ามกระบี่ พลางเงี่ยหูฟังเสียง เบื้องหน้ามืดสนิท ด้านนอกดวงจันทร์และหมู่มวลดาราอับแสง เขาทำได้เพียงฟังทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดในห้องโถง เขาลอบสะกดรอยตามลั่วเจี้ยนเฟยมา ต่อให้ลั่วเจี้ยนเฟยจะวายชีวา เขาก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวลงมือง่ายๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาของกู้อิงก็ค่อยๆ ปรับเข้ากับความมืด เขามองลอดช่องว่างของผ้าคลุมโต๊ะ พอมองเห็นเลือนรางว่าทั้งสองคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือดในห้องโถงใหญ่ ทั้งสองคนนี้เหมือนจะชำนาญการต่อสู้ในความมืด ปราณกระบี่พุ่งฉวัดเฉวียน เหวี่ยงสะบัดดังใจเสมือนหนึ่งยามกลางวัน กู้อิงมองเห็นเพียงประกายแสงจากกระบี่และเงาร่างสลัวของทั้งสองคน แต่เขากลับแยกไม่ออกว่าคนไหนคือลั่วเจี้ยนเฟย
มิรู้ว่าชายหนุ่มผู้มาทีหลังคนนั้นถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ตั้งแต่เมื่อใด ทั้งสองคนล้วนสวมชุดจอมยุทธ์ รูปร่างก็ใกล้เคียงกัน แม้แต่วิชากระบี่กับวรยุทธ์ก็มีจุดที่คล้ายคลึงกันอยู่มาก เหมือนศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกำลังประลองฝีมือกันอยู่ตรงนั้น แต่กู้อิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนต่างลงมือดุดันยิ่งนัก ไม่ไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย ทั้งสองคนต่อสู้กันอยู่ราวร้อยสิบกระบวนท่า ฝ่ายหนึ่งในนั้นก็ได้เปรียบอยู่เล็กน้อย อีกคนหนึ่งทำได้เพียงตั้งรับ กู้อิงรู้สึกกังวล มิทราบว่าผู้ที่คว้าชัยแท้จริงเป็นฝั่งใด
เวลานี้เอง ฝ่ายที่ตกเป็นรองคนนั้นก็ทะยานร่างถอยหลังแล้วแย้มรอยยิ้ม “พอแล้ว ข้ายอมแล้ว หลายปีนี้วรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งนัก คงได้ท่านหลี่ถ่ายทอดวิชาให้อีกแล้วสินะ”
กู้อิงฟังเสียงของคนผู้นี้ไม่คุ้นหู จึงทราบว่าลั่วเจี้ยนเฟยเป็นฝั่งที่ได้เปรียบ ขณะที่ในใจโล่งอก ก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ดูท่าสองคนนี้จะเป็นสหายเก่ากันจริงๆ แต่เหตุไฉนต้องประมือกันในความมืด แล้วเหตุใดจึงลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรีเช่นนี้