ตอนที่ 202-1 ฝีมือของนายท่านหก
ครอบครัวสี่คนเดินทางกลับมายังจวนตระกูลจี เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของแต่ละคนวิ่งไปยังเรือนลั่วเหมยอย่างเริงร่า
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน ประเดี๋ยวเดียวก็ไม่เห็นเงาของพวกเขาแล้ว เฉียวเวยเป็นห่วงคิดจะตามไป แต่จีหมิงซิวจับมือนางไว้ “วางใจเถิด ไม่เป็นอะไร”
เฉียวเวยพยักหน้า บางครั้งนางก็เป็นเป็นห่วงลูกๆ มากเกินไป อยากจะให้พวกเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา แต่เด็กน้อยสุดท้ายแล้วก็ต้องเติบใหญ่ จะเป็นเด็กน้อยคอยเกาะอยู่กับตัวนางตลอดไปไม่ได้
ทว่าแม้นางจะเข้าใจเหตุผลประการนี้ แต่ก็ยังปรับตัวไม่ได้สักเท่าไร
จีหมิงซิวเห็นนางมองตามไม่ละสายใจก็กอดนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างปวดใจ จุมพิตจอนผมของนาง แล้วหยอกล้อ “เพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น ยังห่างจากวันที่ปีกกล้าขาแข็งอีกไกล”
เฉียวเวยตอบอย่างเศร้าสร้อย “วันแรกที่วั่งซูไปสำนักศึกษา นางร้องไห้ทั้งวัน ตะโกนเรียกหาท่านแม่สุดชีวิต ตอนนี้นางไปจวนกั๋วกงไม่กี่วันก็ไม่เรียกหามารดาของตัวเองแล้ว!”
จีหมิงซิวเกือบจะกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว ลูบหัวไหล่นาง “เจ้าต้องการลูกอีกสักคนหรือไม่”
“ไม่!” เฉียวเวยดึงแขนเขาออก แล้วดันตัวออกมาจากอ้อมแขนของเขา
“ข้าก็ต้องการเหมือนกัน” จีหมิงซิวเอ่ยตอบ
เฉียวเวยย้ำอย่างจริงจัง “ข้าบอกว่าข้าไม่ต้องการ! ข้ามีจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็เพียงพอแล้ว”
จีหมิงซิวจ้องนางนิ่ง มุมปากยกขึ้นอย่างอ่อนโยน “ได้”
สายลมเย็นพัดซอกซอนเข้าไปในคอเสื้อ เฉียวเวยกระชับคอเสื้อเข้าหากัน
ถึงอย่างไรก็เข้าหอกันแล้ว ช้าเร็วก็ย่อมมีลูกกระมัง ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการแล้วจะไม่ต้องการได้เสียหน่อย
ตุ๊บ!
เชือกขาด กุญแจบนลำคอร่วงลงมา
เฉียวเวยก้มลงไปเก็บ
“ข้าเอง”
จีหมิงซิวจับข้อมือนางไว้เบาๆ จากนั้นเก็บกุญแจที่ตกอยู่ข้างเท้านางขึ้นมา แล้วหยิบเชือกแดงที่ขาดออกจากลำคอของนาง “ขาดแล้ว”
เฉียวเวยรับเชือกกับกุญแจนมาวางบนมือ “ขาดง่ายเช่นนี้เชียว กลับไปคงใช้เชือกเดี่ยวไม่ได้แล้ว ข้าจะทำเชือกถักมาใช้” นางชะงักครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาไปยังกุญแจ “จะว่าไปแล้ว เจ้านี่คือกุญแจอะไรกันแน่ อย่าตอบทำนองว่าวันหน้าก็รู้เชียว”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ ตอบว่า “กุญแจเขตต้องห้ามของตระกูลจี”
เฉียวเวยกะพริบตา “เขตต้องห้ามหรือ ตระกูลจีก็มีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือ”
“อืม” จีหมิงซิวพยักหน้า “พวกเจ้าตระกูลเฉียวก็มีเขตต้องห้ามเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยเบ้ปากเอ่ยขึ้นว่า “ของตระกูลเฉียวนั่นเป็นเพราะศาลบรรพชนสร้างไว้ไกลเกินไป อยู่ติดเขาริมน้ำ กลัวว่าสัตว์ร้ายในป่าจะออกมาทำร้ายผู้คน จึงกั้นที่นั่นเป็นเขตต้องห้าม ความจริงด้านในไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากสมุนไพร เขตต้องห้ามตระกูลจีของพวกท่านคงไม่ได้มีขึ้นมาเพราะเหตุนี้กระมัง”
จีหมิงซิวทำท่าขบคิด “บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่เคยไปมาก่อน”
เฉียวเวยผิดหวัง อยากจะรู้จริงๆ ว่ากุญแจที่พ่อตามอบให้ตนจะมีไว้เปิดคลังสมบัติขนาดใหญ่เพียงใด เอาเถอะ รู้ว่าเป็นกุญแจที่ใดแล้ว หลังจากนี้ค่อยหาโอหาสสืบดูก็ได้
สองสามีภรรยาจูงมือกันเดินไปเยี่ยมเยียนจีเหล่าฮูหยินที่เรือนลั่วเหมย อาหารเย็นก็ทานที่เรือนลั่วเหมยด้วย หลังจากนั้นจีหมิงซิวจึงพาลูกๆ กลับบ้านชิงเหลียน เฉียวเวยเดินไปเรือนถงเพื่อแวะไปหาจีซั่งชิง
จีซั่งชิงฟื้นตัวได้ดี พิษถูกควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่จะขจัดออกทั้งหมดยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ตอนเฉียวเวยกลับมาบ้านชิงเหลียน เจ้าตัวน้อยทั้งสองก็อุ้มต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ไปอาบน้ำแล้ว
ความหวงถิ่นของเสี่ยวไป๋รุนแรงมาก สถานที่ที่มันทำ ‘สัญลักษณ์’ เอาไว้ สัตว์เลี้ยงตัวใดก็มิอาจเข้าไปได้ แม้แต่จูเอ๋อร์ก็มิเคยย่างกรายข้ามเขตมาสักก้าว แต่ต้าไป๋ตัวนี้แตกต่าง มันเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับมัน เสี่ยวไป๋เห็นมันแล้วรู้สึกใกล้ชิดอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่ยินดีแบ่งปันอาณาเขตของตนเองกับมัน แต่เสี่ยวไป๋ก็ล้วงสมบัติที่ตนเก็บไว้อย่างทะนุถนอมออกมาแบ่งปันอย่างใจกว้างยิ่งนัก…มันก็คือก้อนสารหนู
ก้อนสารหนูนี้แต่เดิมเป็นของที่เฉียวเจิงเอามาใช้วางยาพิษหนู แต่เสี่ยวไป๋รู้สึกว่าอร่อยดีจึงเก็บพวกมันมาทั้งหมด
เสี่ยวไป๋ส่งเม็ดยากลมเกลี้ยงมันวาวหนึ่งเม็ดไปข้างกรงเล็บของต้าไป๋
อร่อยมากนะขอบอก!
ต้าไป๋ไม่ยอมกิน มันมองเสี่ยวไป๋อย่างดูแคลนแล้วขยับตัวออกห่าง
เสี่ยวไป๋เขยิบตัวตามมันมา แล้วยัดเม็ดยาใส่กรงเล็บของมันอีกหน
ต้าไป๋ก็ยังไม่กิน
เสี่ยวไป๋กำยาเม็ด ยัดพรวดเข้าไปในปากของต้าไป๋!
นี่เป็นของสุดรักของเสี่ยวไป๋เชียวนะ!
ไม่ต้องขอบคุณ!
“แค่กๆ!”
ต้าไป๋สำลัก ไอสองสามหน เม็ดยาก็ไหลลงไปในท้อง หลังจากนั้นต้าไป๋ก็สองตาเหลือก สี่ขาหงายแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ใบหน้ากลายเป็นสีม่วง น้ำลายฟูมปาก!
ต่อจากการถูกจอมพลังน้อยทั้งสี่คนย่ำยี ต้าไป๋ผู้ดูร้ายก็ถูกเผ่าพันธุ์เดียวกับตนวางยาพิษ เรียกได้ว่าชีวิตอนาถอย่างยิ่ง!
…
เฉียวเวยอาบน้ำเสร็จกลับมาถึงห้อง จีหมิงซิวก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หัวเตียง ผ้าห่มคลุมสองขาเรียวยาวของเขาเอาไว้ เขาพลิกหน้าหนังสืออ่านอย่างนิ่งสงบ เส้นผมสีดำปล่อยสยายตามสบายลงมาประดับดวงหน้าขาวผ่องเสมือนหยกงามของเขา
ครึ่งท่อนบนของเขาสวมเพียงชุดนอนตัวบาง เฉียวเวยเดินเข้าไปลูบมืออันอบอุ่นของเขา
จีหมิงซิวเลิกผ้าห่มยัดไส้นวมฝั่งด้านในแล้วตบบนฟูกเตียง ทำท่าบอกให้เฉียวเวยขึ้นมานอน
เฉียวเวยปีนข้ามท่อนขาของเขาแล้วมุดตัวลงในผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงดวงตาคู่โตที่ทอดมองเขาอย่างอ่อนโยน “ยังอ่านต่ออีกหรือ”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างรักใคร่ “อยากอ่านด้วยหรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า
จีหมิงซิงอุ้มนางมาวางบนท่อนขา จากนั้นดึงผ้าห่มมาพันตัวนางไว้ ทั้งตัวของนางซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาราวกับถูกใส่ลงในหีบอันอบอุ่นใบใหญ่ แม้แต่เส้นผมก็ยังอุ่น
“ทุกวันท่านต้องอ่านหนังสือมากมายเพียงนี้เชียวหรือ” เฉียวเวยถามเสียงเบา
จีหมิงซิวตอบ “ไม่หรอก ตอนกลางวันอ่านจบหมดแล้ว”
เฉียวเวยย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านยังอ่านสิ่งใด”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่า เจ้าเข้ามาเห็นข้าในสภาพนี้น่าจะถูกยั่วยวนง่ายกว่าหน่อย”
เฉียวเวยสำลัก
จีหมิงซิวมองนางด้วยรอยยิ้มที่มิเหมือนรอยยิ้ม “ยั่วยวนสำเร็จหรือไม่ เจ้าสำนักเฉียว”
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเวยแดงระเรื่อ ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งเบิกโต “…ไม่”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นลูบไล้ท้องน้อยที่แบนราบของนาง “เจ็บหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่เจ็บ” ร่างกายนางแข็งแรงมากมาตลอด ไม่มีอาการเจ็บป่วยอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าระดูจะมาก็ยังแข็งแรงประหนึ่งโคถึก ไร่นาที่ควรทำก็ทำ งานที่ควรจัดการก็จัดการ ไม่ต่างจากปกติแม้แต่น้อย
จีหมิงซิวจุมพิตจอนผมของนาง “นอนเถิด”
เฉียวเวยล้มตัวลงนอน เขาลุกขึ้นดับโคมไฟ จากนั้นดึงผ้าห่มแล้วสอดตัวเข้าไป โอบร่างกายอ่อนนุ่มอบอุ่นของนางเข้ามาในอ้อมแขน
เฉียวเวยหาท่าที่สบายในอ้อมกอดของเขา แล้วหลับตาค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
จีหมิงซิวกลับยากจะหลับใหลอยู่บ้าง เรือนร่างอันอ่อนนุ่ม เส้นผมหอมยวนใจที่แผ่สยายช่างชวนให้จิตใจหวั่นไหว
ภายในร่างกายเริ่มมีความอยากบางประการ จีหมิงซิวจับมือของนางที่วางอยู่บนเอวของตนออกเบาๆ จากนั้นจับนางนอนหงายลงด้านข้าง ขยับออกห่างนางเล็กน้อยแล้วหลับตาลง ความปั่นป่วนภายในร่างค่อยๆ สงบลงอย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้นเรือนร่างน้อยของเฉียวเวยก็แนบชิดเข้ามา มือเท้าทำงานเกาะเกี่ยวร่างกายของเขา
จีหมิงซิวจับนางไว้ด้านข้างอีกหนแล้วยัดหมอนใบหนึ่งให้
ไม่นานเฉียวเวยก็กอดหมอนเอาไว้อย่างที่คิด กอดจนแน่น
จีหมิงซิวหลับตาลง แต่ไม่นานก็ลืมตาขึ้นอีก เขาหยิบหมอนที่อยู่ในอ้อมแขนของนางออก แล้วกอดทั้งร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนแทน สุดท้ายก็เข้านอนอย่างหวานล้ำและทรมานในเวลาเดียวกัน
….
เฉียวเวยรู้สึกว่านอนเต็มอิ่มยิ่งนัก ยามลืมตาขึ้นมานางรู้สึกปลอดโปร่ง จีหมิงซิวไปประชุมเช้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เด็กๆ กำลังนอนหลับอุตุ
เฉียวเวยสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ล้างหน้าหนหนึ่งเสร็จก็ไปคารวะพ่อตากับแม่เลี้ยงที่เรือนถง
พ่อตาหิ้วกรงนกไปเดินเล่น ได้ยินว่านั่งรถเข็นไป
สวินหลันตัดแต่งกิ่งดอกไม้อยู่หน้าเรือน ภายในกระถางดอกไม้กระเบื้องสีน้ำเงินสด ดอกสุ่ยเซียนกำลังออกดอกงามหยดเยิ้ม กลีบดอกสีขาว เกสรสีเหลือง สดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ ใกล้ๆ กับดอกสุ่ยเซียน ตรงมุมอันมิสะดุดตาปลูกต้นวั่นเหนียนชิงที่มีใบอยู่ไม่กี่ใบเอาไว้
วั่นเหนียนชิงเขียวชอุ่มสี่ฤดู แสงอาทิตย์ส่องกระทบ ใบไม้เขียวดั่งหยก มองแล้วเพลินตาเพลินใจยิ่งนัก
วั่นเหยียนชิงทำความสะอาดอากาศได้ แล้วก็ใช้ทำยาได้ รักษาอาการฟกช้ำ เอ็นขาดกระดูกหัก เคล็ดขัดยอด โรคไฟลามทุ่ง[1]และอื่นๆ แล้วยังช่วยขับน้ำลดอาการบวมได้อีกด้วย
เฉียวเวยเดินเข้าไป เสียงหลิวเกอร์กำลังอ่านตำราดังออกมาจากด้านในห้อง
“ฮูหยิน” เฉียวเวยทักทาย
สวินหลันตัดใบที่เสียใบหนึ่งออกจากกระถางของต้นสุ่ยเซียน “มาเช้าเช่นนี้เชียว”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มกล่าวตอบว่า “ฮูหยินตื่นเช้ากว่า เป็นลูกสะใภ้ย่อมมิกล้านอนขี้เซา”
“หมิงซิวไปประชุมขุนนางแล้วหรือ” สวินหลันถามเสียงเบา
เฉียวเวยไม่ชอบใจนักที่นางเรียกหมิงซิวด้วยชื่อ เฉียวเวยมักจะรู้สึกว่ามีความใกล้ชิดที่บรรยายออกมาไม่ได้แฝงอยู่ ยามที่จีซวงหรือจีหว่านเรียกไม่เห็นมีความรู้สึกเช่นนี้ “ไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
สวินหลันตัดใบที่เสียอีกใบหนึ่ง “เขารักเจ้ามากทีเดียว ไม่เห็นเรียกเจ้าลุกขึ้นมาปรนนิบัติ”
“ต้องปรนนิบัติด้วยหรือ” เฉียวเวยงุนงง
เสียงของสวินหลันเอ่ยอย่างอ่อนโยน “สามีตื่นแล้ว ไฉนภรรยาจะนอนขี้เซาอยู่ได้ ปรนนิบัติสามียามผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และทานอาหาร แต่เดิมก็เป็นหน้าที่อันพึงกระทำของภรรยาคนหนึ่ง”
“อ้อ” เฉียวเวยเลิกคิ้ว ยิ้มหวานตอบว่า “มารดาของข้าจากไปเร็ว ไม่มีผู้ใดบอกสิ่งเหล่านี้กับข้า หมิงซิวเองก็ไม่บอกข้า ทำให้ข้าคิดว่าเขานอนส่วนของเขา ข้านอนส่วนของข้าก็พอ ขอบคุณฮูหยินยิ่งนักที่ตักเตือน วันหน้าข้าจะปรนนิบัติรับใช้สามีอย่างดีแน่นอน ให้หัวใจเขามีเพียงข้าคนเดียวตลอดไป”
สวินหลันตัดดอกสุ่ยเซียนดังฉับ แล้วหยุดนิ่ง
เฉียวเวยมองนาง “ฮูหยินตัดผิดแล้วหรือไม่”
แพขนตาของสวินหลันกระพือเบาๆ “ข้าจะนำดอกไม้มาประดับ”
กล่าวจบก็ตัดออกมาอีกหนึ่งดอก ดอกไม้สวยสดหุบดอกตูมกำลังจะแย้มกลีบบาน ชุ่มฉ่ำและงดงาม “เมื่อวานเจ้าไปเยี่ยมบิดา ท่านผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “สบายดีทุกประการ ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง”
สวินหลันเอ่ยต่อด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่ใหญ่ของเจ้าแต่งงานไปหลายปีแล้ว แต่ไม่มีข่าวคราวตั้งครรภ์เสียที ตระกูลหลินมิได้พูดอะไร แต่ในใจก็คงคิดอยู่บ้าง วันไหนเจ้าสะดวกก็พาพี่ใหญ่ของเจ้าไปให้บิดาของเจ้าดูสักหน่อย”
เมื่อวานไปดูมาแล้ว จีหว่านตั้งครรภ์ ไม่นานข้าก็จะมีหลานตัวน้อยแล้ว!
เฉียวเวยกดความยินดีในหัวใจลงไป แล้วตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ทราบแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน วันใดพี่ใหญ่มาหา ข้าจะพานางไปหอหลิงจือ”
สวินหลันตัดกิ่งดอกไม้อยู่พักหนึ่ง เห็นเฉียวเวยไม่ไปสักทีก็ถามว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
เฉียวเวยยิ้ม “ยังมีสิ ท่านย่าให้ข้าช่วยฮูหยินจัดการงานในตระกูลมิใช่หรือ เรื่องเก็บค่าเช่าที่นา ข้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตั้งใจมาหาฮูหยินเพื่อขอคำสั่ง ดูซิว่ายังมีสิ่งใดที่ข้าฝึกฝีมือได้อีกหรือไม่ ฮูหยินเหน็ดเหนื่อย โจวมามาก็ไม่อยู่แล้ว ข้ายินดีช่วยแบ่งเบาภาระให้ฮูหยิน”
มือที่ถือกรรไกรของสวินหลันหยุดชะงัก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าถนัดสิ่งใดบ้างเล่า”
เฉียวเวยยิ้มหน้าบานตอบว่า “ข้าถนัดสิ่งใดล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงฮูหยินมอบหมายงานให้ข้า ข้าล้วนจะไปทำอย่างตั้งใจ หากพบสิ่งที่ไม่เข้าใจก็จะมาหาฮูหยินให้สั่งสอนอย่างนอบน้อม หวังว่าฮูหยินจะไม่รังเกียจคนที่เกิดมาโง่เขลาเช่นข้า”
สวินหลันตอบว่า “เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว เจ้าเป็นคนฉลียวฉลาดเช่นนี้ หากเรียกว่าเกิดมาโง่เขลา ใต้หล้านี้คงไม่มีสักกี่คนที่นับว่าเป็นผู้มีปัญญา”
เฉียวเวยแย้มยิ้ม “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว หากจะกล่าวถึงความเฉลียวฉลาด ผู้ใดจะเทียบฮูหยินได้เล่า จากบุตรีกำพร้าตระกูลสวินตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลายมาเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง ฮูหยินคงไม่ได้อาศัยเพียงรูปโฉมงดงามเพียงอย่างเดียวกระมัง ความชาญฉลาดของฮูหยิน ทำให้พวกข้าได้แต่มองอยู่ข้างหลัง”
สวินหลันตัดดอกสุ่ยเซียน แววตานิ่งสนิท
เฉียวเวยมองนาง ดวงหน้างามสมบูรณ์แบบ สีหน้าไร้จุดใดให้ตำหนิ เสมือนหนึ่งเทพเซียนผู้มิข้องเกี่ยวกับโลกีย์โลก เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นได้ แววตาไหววูบหนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “อ้อ จริงสิ ข้าได้ยินว่าชุ่ยผิงดีขึ้นมากแล้ว ฮูหยินยังจำชุ่ยผิงได้หรือไม่ เดือนก่อนนางไม่ค่อยสบายจึงมาหาข้าที่บ้านชิงเหลียนขอให้ช่วยตรวจให้ โชคร้าย ข้าอุตส่าห์เขียนเทียบยาให้นางแล้ว แต่นางกลับพลัดตกบันได ร่วงลงไปอาการร่อแร่ พวกเรายังคิดว่านางจะไม่รอดแล้วเสียอีก แต่โชคดีสวรรค์มีคุณธรรม หลายวันก่อนนางจึงฟื้นขึ้นมา รอรักษาตัวสักสามเดือนห้าเดือนก็น่าจะกลับมาทำงานที่ตระกูลจีได้แล้ว ข้าได้ยินว่านางร่วงลงมาจากระเบียงทางเดินใกล้สวนดอกไม้ หลังจากนี้ฮูหยินอย่าเดินผ่านทางเส้นนั้นเชียว หากเกิดพลัดตกบันไดขึ้นมา คงจะเสียใจว่าตอนแรกมิควรเลือกทางนั้น ตระกูลจีต้องการฮูหยิน หลิวเกอร์ก็ต้องการมารดา ฮูหยินว่าใช่หรือไม่”
มือที่ตัดดอกสุ่ยเซียนของสวินหลันชะงัก “เจ้าไปซื้อของก็แล้วกัน”
เจ้าสำนักเฉียวผู้ได้รับมอบหมายภารกิจซื้อของ เดินออกจากจวนไปอย่างสง่าผ่าเผย
อากาศข้างนอกช่างสดชื่น!
เฉียวเวยจำเรื่องที่รับปากเถ้าแก่หรงได้ นางจึงให้ปี้เอ๋อร์ไปที่หอหลิงจือ พาจูเอ๋อร์กลับไปหาเห็ดที่หมู่บ้านซีหนิว เก็บเสร็จก็ส่งไปให้หรงจี้ ส่วนตัวนางเดินทางไปยังโรงอิฐ สาเหตุน่ะหรือ ย่อมเป็นเพราะไม้ที่สั่งมาหนก่อนส่งมาผิด จึงใช้โอกาสที่ออกมาหาซื้อของนำไม้กลับมาคืน
“ผู้ดูแลฉิว เจ้าทำงานใช้ไม่ได้เลยนะ! พวกเราคบหากันมานานตั้งเท่าใด เจ้ากลับส่งไม้มาให้ข้าผิด! ข้าบอกว่าข้าต้องการไม้หวงหลี เจ้ากลับส่งไม้ประดู่มา เจ้าจะรังแกข้าเพราะคิดว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องไม้ใช่หรือไม่” เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วก็เอ่ยพร้อมสีหน้าตำหนิ
ผู้ดูแลฉิวมองบ่าวรับใช้จวนตระกูลจีหลายคนที่อยู่ด้านหลังเฉียวเวย แววตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “โอ๊ะ จีฮูหยิน ปีนี้ไม้ประดู่ราคาดียิ่งนัก แพงกว่าไม้หวงหลีเสียอีก!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็น “ต่อให้แพงก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ! เอาคืนไปให้หมด!”
ผู้ดูแลฉิวทำหน้าลำบากใจ “ข้าเปลี่ยนให้ตกลงหรือไม่”
เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ไม่เอาแล้ว! คืน! คืนให้หมด!”
ผู้ดูแลฉิวตอบว่า “เรื่องนี้…เกรงว่าข้าคงจะตัดสินใจไม่ได้ จีฮูหยินมิสู้คุยกับเจ้านายของข้าเถิด”
เฉียวเวยมองสาวใช้กับหญิงรับใช้ด้านหลัง “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าไปประเดี๋ยวเดียว”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” พวกเขาคำนับหนึ่งหน
เฉียวเวยได้ผู้ดูแลฉิวนำทางมาถึงห้องบัญชี ผู้ดูแลฉิวยืนอยู่หน้าประตู สาวใช้กับหญิงรับใช้ยังคงมองเห็นเขา เขายิ้มให้พวกนางแล้วมองไปด้านใน “นายท่าน มีคนต้องการคืนของ ต้องขอคำสั่งจากท่าน”
นายท่านหกตอบกลับมาอย่างรำคาญ “ให้เข้ามา”
“ขอรับ” ผู้ดูแลฉิวเปิดม่าน “ฮูหยิน เชิญ”
เฉียวเวยแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชาแล้วเดินเข้าไปในห้อง ท่าทางมิใคร่จะยินดีอย่างยิ่ง!
พอเข้าประตูไปก็ปิดประตูทันควัน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “นายท่านหก!”
[1]โรคไฟลามทุ่ง โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงในชั้นหนังแท้ ผิวหนังจะปรากฏผื่นแดงและมีอาการบวมแดง อีกทั้งอาการมักจะลุกลามอย่างรวดเร็วจึงได้ชื่อนี้