บทที่ 654 เจียวจอมแก่น! (1)
ในเวลานี้ ตลาดกลางคืนคึกคัก บนถนนมีรถม้าผู้คนเดินกันขวักไขว่ ทำให้รถของหนานกงลี่เคลื่อนตัวได้ช้าลง และง่ายต่อการสะกดรอยตาม
หนานกงลี่อยู่ในสภาพแขนพิการหนึ่งข้าง และบาดเจ็บอย่างสาหัส กู้เจียวเคยได้ยินว่าเขาใกล้จะไม่รอดแล้ว แต่พอเห็นกับเนื้อตาตัวเองว่าเขาดูไม่เป็นอะไรมากแบบนี้ ก็ยิ่งน่าสงสัยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ แล้วทำเพื่ออะไร
ความน่าจะเป็นที่กู้เจียวนึกขึ้นได้ก็คือ หนานกงลี่ทำภารกิจสังหารเซียวเหิงพลาด เลยต้องแกล้งทำเป็นเจียนตายเพื่อไม่ต้องรับโทษรุนแรง
แล้วใครกันที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จะเป็นหัวหน้าตระกูลหนานกง หรือใครอื่นกันนะ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หนานกงลี่ผู้นี้ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน
รถม้าของหนานกงลี่ทะยานไปเรื่อยๆ ตามถนนสายยาว จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ตรอกแห่งหนึ่ง
พอพ้นตรอกนั้นไป ก็จะเจอถนนอีกสายที่ไม่พลุกพล่านเท่าถนนก่อนหน้า
ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านค้าที่ขายวัตถุโบราณและภาพวาดเก่า
ถนนยิ่งคนน้อย ยิ่งยากต่อการสะกดรอยตาม กู้เจียวเลยจำต้องทิ้งระยะห่าง
และแล้ว รถม้าของหนานกงลี่ก็ได้จอดลงที่หน้าร้านขายของโบราณแห่งหนึ่ง
สารถีรถม้าลงจากรถแล้ววางบันไดที่หน้าประตูรถ ก่อนจะพยุงร่างของหนางกงลี่ลงจากรถม้า
กู้เจียวยืนแอบอยู่ที่เสาต้นหนึ่งตรงบริเวณใกล้เคียง
ตอกแรกกู้เจียวเห็นเขาจากระยะไกล ก็เลยเห็นหน้าค่าตาของเขาได้ไม่ใช่นัก คราวนี้พอเข้าใกล้มากขึ้นรวมถึงมีแสงไฟจากท้องถนนที่ส่องลงมา ถึงได้เห็นสภาพรอยฟกช้ำดำเขียวของหนานกงลี่ซึ่งดูแย่เอาการ
ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีสัน อีกทั้งฝีก้าวและวิธีการเดินเหินของเขาก็ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่แคว้นเจา
ดูเหมือนคมดาบของฉังจิ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเสียแขน แต่ยังทำให้แกนกลางลำตัวของเขาเสียสมดุลด้วย ดูทรงน่าจะฟื้นฟูกลับมาให้เหมือนเดิมได้ยาก
ขณะที่หนานกงลี่เดินเข้าไปด้านในร้าน กู้เจียวก็ขยับมาที่บริเวณใกล้ๆ หน้าร้านเช่นกัน พลางลังเลว่าจะเดินเข้าไปในร้านเลย หรือจะปีนหลังคาดี ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
กู้เจียวเคยเห็นเขาทั้งตัวจริงและจากภาพวาดเสมือน แต่ไม่แน่ใจว่าหนานกงลี่จำนางได้หรือไม่ เขาจะจำกู้เจียวได้จากตอนที่มาสืบเรื่องของเซียวเหิงได้หรือไม่
ถ้าไม่ นางก็สามารถเดินเข้าไปในร้านได้เลย
แต่ถ้าเขาจำได้ขึ้นมาล่ะ…
กู้เจียวก้มมองชุดเครื่องแบบของเทียนฉงที่ใส่อยู่ แย่ละสิ รีบออกมากะทันหันก็เลยลืมเปลี่ยนชุดเสียนี่
“ช่างมัน ปีนกำแพงเอาแล้วกัน”
กู้เจียวเดินเข้าไปในตรอกที่อยู่ข้างร้าน จากนั้นปีนกำแพงแล้วค่อยๆ ย่องขึ้นหลังคาร้าน
โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน ทุกอย่างมืดมิดไปหมดจนและไม่เป็นจุดสังเกต กู้เจียวเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเขาอยู่บริเวณนี้จึงค่อยๆ เปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาออก
หนานกงลี่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ส่วนคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งตรงข้ามเป็นชายมีอายุที่แต่งกายเป็นพ่อค้า ดูทรงแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้าน
ตอนนี้กู้เจียวสามารถฟังภาษาแคว้นเยี่ยนได้คล่องแล้ว ไร้ซึ่งอุปสรรคในการดักฟังบทสนทนา
หนานกงลี่เอ่ย “สถานการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าของร้านถอนหายใจ ก่อนตอบกลับ “ฝ่าบาททรงกริ้วมาก เรื่องเล็กแค่นี้เหตุใดถึงไม่สามารถลุล่วงได้”
หนานกงลี่ “เรื่องเล็กอะไรกัน! แขนข้าขาดเชียวนะ ไม่เห็นรึ!”
เจ้าของร้านรีบปลอบ “ท่านนายพลใจเย็นก่อน ท่านทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตั้งมากมาย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านพักฟื้นร่างกายให้ดี”
หนานกงลี่ “เหอะ พอข้าหายดีแล้วก็จะลงโทษข้าต่อสินะ”
เจ้าของร้าน “ฝ่าบาททรงกำลังกริ้วอยู่ก็จริง แต่มีหรือที่จะทรงไม่รับรู้ถึงความจงรักภักดีของท่าน”
หลังจากได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ กู้เจียวเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้คร่าวๆ บ้างแล้ว ภารกิจที่หนานกงหลี่พูดถึงน่าจะเป็นการลอบสังหารเซียวเหิง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ตระกูลหนานกงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงฝ่าบาทด้วย
ที่พวกเขาเอ่ยคำว่าฝ่าบาท ยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของแคว้นเยี่ยนไม่ผิดแน่
แล้วเหตุใด ราชวงศ์แคว้นเยี่ยนถึงต้องการกำจัดเซียวเหิงเล่า
หรือว่าเซียวเหิงมีอะไรเกี่ยวพันแคว้นเยี่ยน
หนานกงลี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาละ เลิกเอ่ยถึงมันดีกว่า เรื่องที่ข้าให้เจ้าสืบล่ะไปถึงไหนแล้ว”
ดูเหมือนเจ้าของร้านผู้นี้จะมีสามสถานะ หนึ่งคือเจ้าของร้านวัตถุโบราณนี้ สองคือเป็นเส้นสายของฝ่าบาทคนนั้น และสามคือคนสนิทของหนานกงลี่
เจ้าของร้าน “หลายปีก่อน บุตรชายของเจ้าสำนักอั้นเย่แตกหักกับเจ้าสำนักแล้วหนีออกมา แล้วไม่มีใครได้ข่าวจากเขาอีกเลย คนของสำนักจึงเดินทางไปที่แคว้นเจาเพื่อออกตามหาเขา แต่หารู้ไม่ว่านอกจากจะหาตัวไม่เจอแล้ว ซ้ำยังเจอท่านนายพลโดยบังเอิญแล้วช่วยเหลือให้ท่านได้กลับมาที่นี่”
หนานกงลี่พอฟังแล้วก็ย่นคิ้วแน่น “ตอนนั้นข้ายังไม่ได้สติ เลยไม่ได้บอกพวกเขาไปว่าคนที่ทำร้ายข้าก็คือบุตรชายของเจ้าสำนักอั้นเย่ กว่าข้าจะฟื้น พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว”
เดี๋ยวนะ คนที่ทำร้ายเจ้าคือฉังจิ่งไม่ใช่รึ
แล้วบุตรชายของเจ้าสำนักอั้นเย่ที่ว่านั้นมาจากไหนกัน
แล้วสำนักอั้นเย่มันคืออะไร
กู้เจียวเริ่มเหงื่อตก
เจ้าของร้าน “เช่นนั้น…ท่านจะไปบอกเรื่องนี้กับเจ้าสำนักอั้นเย่หรือไม่”
“บอกแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ บอกแล้วพวกเขาจะไปจัดการให้ข้าหรืออย่างไร พวกเขาไม่มีทางทำร้ายพวกเดียวกันเองหรอก อีกอย่าง ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้แล้ว”
เจ้าของร้านถอนหายใจ “พวกเราคนนอกก็ไม่รู้ว่าภายในเขาผูกพันธ์กันแค่ไหน”
หนานกงลี่ “แต่นายพลอย่างข้าอภัยให้กับเรื่องนี้ไม่ได้!”
สีหน้าของเจ้าของร้านเริ่มเปลี่ยน “เช่นนั้น ท่านนายพลมองว่า…”
หนานกงลี่ตัดบท “เรื่องนี้ข้ามีวิธีจัดการของข้า ฝากเจ้าคอยสังเกตท่าทีของฝ่าบาทด้วย แม้ข้าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ข้ายังมีกำลังพลมากมายอยู่ในกำมือ ยังพอมีประโยชน์กับฝ่าบาท”
เจ้าของร้านทำหน้ายิ้มแย้ม “ตระกูลของหนานกงมีอำนาจมากที่สุดในด้านกองกำลังทหาร ฝ่าบาททรงย่อมเห็นคุณค่าของท่านนายพลอยู่แล้ว รอให้ท่านหายดีแล้วค่อยสานต่อภารกิจสังหารเด็กคนนั้นก็ยังไม่สาย”
“เข้าใจแล้ว” หนานกงลี่เอ่ยพลางเตรียมตัวจะออกจากร้าน ทว่าจังหวะที่เขากำลังลุกขึ้นยืนก็เกิดรู้สึกเจ็บบริเวณแผลแขนขาด เขาสูดหายใจลึกเพื่อกลั้นความเจ็บที่แผ่ซ่านและพยายามใช้มือซ้ายควานหาที่ยึดเหนี่ยว ทว่าเขาเผลอทำภาพวาดที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของตกลงพื้น
เสียงกรอบรูปที่กระแทกกับพื้นดังขึ้น
กู้เจียวมองรูปภาพนั้น
และพบว่า มันคือภาพเหมือนของเซียวเหิง
หากจะพูดให้ถูกละก็ มันคือภาพวาดของสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
หญิงสาวในภาพแต่งกายด้วยชุดธรรมดา และสวมผ้าคลุมหน้าโปร่งแสง เผยให้เห็นความงดงามอย่างธรรมชาติ
หนานกงลี่เคยเจอเซียวเหิง เขารู้รูปลักษณ์ของเซียวเหิง…
พอนึกได้ดังนั้น กู้เจียวก็รีบคว้าเข็มเงินขึ้นมาเตรียมเล็ง
เจ้าของร้านโค้งคำนับ หยิบภาพวาดเหมือนขึ้นมา ม้วนมันขึ้น แล้วเอ่ย “นี่น่ะเป็นภาพวาดเหมือนของสาวงามจากสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน ติดอันดับสามงามจากหกแคว้นด้วยล่ะ”
หนานกงลี่ไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินออกไป
กู้เจียวเก็บเข็มลง
หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาของพวกเขา กู้เจียวจับใจความได้ว่า หนึ่ง คนของราชวงศ์ต้องการกำจัดเซียวเหิง และสอง ฉังจิ่งเป็นบุตรชายของสำนักอั้นเย่
จะว่าไป เซวียนผิงโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่
แต่ถ้าพวกอั้นเย่รู้เข้า เซวียนผิงโหวต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ
พอหนานกงลี่เดินออกไปจากร้าน กู้เจียวก็วางกระเบื้องหลังคาไว้ที่เดิมแล้วกระโดดลงมาจากหลังคา
ตอนแรกหนานกงลี่เดินทางมาที่นี่กับสารถีแค่สองคนเท่านั้น เลยง่ายต่อการสะกดรอยตาม แต่พอเขาเดินออกจากร้าน ปรากฏมีทหารกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นคนของตระกูลหนานกงมารอรับเขาถึงที่
กู้เจียวจึงตัดสินใจว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าร้านขายของโบราณร้านแห่งนี้คือพื้นที่ลับของเขา