บทที่ 655-2 กู้เจียวผู้ร้อนเงิน! (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 655 กู้เจียวผู้ร้อนเงิน! (2)

“เจียวเจียว”

เสียงละเมอของเสี่ยวจิ้งคงทำลายบรรยากาศหมด

กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็ดึงมือที่ถูกร่างสูงกุมอยู่ออกแล้วหันมาลูบหลังเจ้าตัวเล็กแทน พอเห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงเหงื่อออกเล็กน้อยก็หยิบผ้าขึ้นมาช่วยซับ พร้อมกับเล่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินในวันนี้ให้เซียวเหิงได้ฟัง “มีอยู่สองเรื่องที่ข้าต้องเล่าให้เจ้าฟัง”

เซียวเหิงอดย่นคิ้วไม่ได้ตอนที่ร่างบางรีบชักมือกลับ

“คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการสังหารเจ้าคือคนจากราชวงศ์แคว้นเยี่ยน”

“ราชวงศ์แคว้นเยี่ยนรึ” เซียวเหิงอุทานพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย

“ยังมีอีกเรื่อง” กู้เจียวเล่าต่อ “ฉังจิ่งเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักอั้นเย่”

“บุตรชายเจ้าสำนักอั้นเย่เลยรึ” เรื่องนี้ทำเอาเขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เซียวเหิงคิดว่าฉังจิ่งเป็นแค่องครักษ์ลับทั่วไปเสียอีก

“เจ้ารู้จักสำนักอั้นเย่หรือไม่” กู้เจียวอยากถามเขาถึงเรื่องนี้มานานแล้ว

“เป็นกลุ่มนักฆ่าที่ไม่สังกัดในแคว้นใด” ด้วยความที่เซียวเหิงทำงานให้ราชสำนัก เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในยุทธภพมากนัก

ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงทางเข้าโรงเตี๊ยมที่กู้เจียวพัก

กู้เจียวไม่เคยบอกกับเซียวเหิงเกี่ยวกับเรื่องที่พัก แต่คนเราหากต้องการรู้เรื่องอะไรจริงๆ ย่อมต้องหาวิธีที่จะล่วงรู้ให้จงได้

ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรบนโลกนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ ขอแค่ใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง

ที่ผ่านมากู้เจียวมักเป็นฝ่ายเดินทางไปส่งเซียวเหิงตลอด ไม่ว่าจะตอนที่อยู่ชนบทที่ต้องเดินเท้าสิบกว่าลี้เพื่อไปถึงสำนักบัณฑิต หรือตอนที่เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน หรือตอนที่ทำงานที่สำนักฮั่นหลิน

กู้เจียวรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่ที่คราวนี้เซียวเหิงเป็นฝ่ายมาส่ง

“เช่นนั้น ข้าไปก่อนนะ” กู้เจียวดึงติ่งหูเขาเบาๆ

เซียวเหิงดึงชายเสื้อของร่างบางอย่างเบามือพลางเอ่ย “จะไปแล้วหรือ”

“หืม” กู้เจียวผู้ซึ่งขยับตัวนิดเดียวก็แทบจะล้มวัวได้จู่ๆ กลับถูกมือเรียวรั้งไว้

ใบหน้าของเซียวเหิงที่เชิดขึ้นสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมา เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ไหนว่ามีอีกเรื่องที่เจ้าจะพูดไม่ใช่หรือ”

“ข้าก็เล่าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งเรื่องคนที่อยู่เบื้องหลัง แล้วก็เรื่องฉังจิ่ง รวมเป็นสองเรื่อง” กู้เจียวตอบอย่างจริงจัง

เซียวเหิงทำหน้ายิ้มกริ่มให้ร่างเล็ก “เรื่องพวกนี้ไม่นับสิ”

“หืม…” อะไรของเขากันนะ

ปลายนิ้วของเขาค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ชายแขนเสื้อ ก่อนจะเข้าไปคว้านิ้วมือที่เย็นเฉียบแล้วเกี่ยวเบาๆ ทีละนิ้ว จากนั้นลุกขึ้นยืน

เพดานรถม้าไม่ได้สูงมากนัก เขาจึงต้องย่อตัวลง มือข้างหนึ่งของเขากำลังประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับมือของกู้เจียว ขณะที่ใช้มืออีกข้างช้อนร่างของนางไว้

ร่างบางถูกห่อหุ้มไปด้วยไออุ่นจากร่างสูง

แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างรถกระทบกับขนตาเรียวงอนของชายหนุ่ม

ก่อนหน้านี้กู้เจียวนึกว่าจิ้งคงคือคนเดียวในบ้านที่มีขนตาสวย ที่แท้เซียวเหิงก็เช่นกัน

กู้เจียวมองอย่างเพลินตา

เซียวเหิงทั้งรู้สึกแง่งอนและอยากหัวเราะในคราวเดียวกัน เขาต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะอยู่ในท่านี้ได้ แต่ร่างบางตรงหน้ากลับเอาแต่ชื่นชมรูปลักษณ์ของเขาเพียงอย่างเดียว

กู้เจียวนั่งลงบนเบาะที่นั่งในรถ กระพริบตาปริบๆ

เซียวเหิงคลายมือข้างที่ประสานมือกับกู้เจียวออกแล้วค่อยๆ เลื่อนมาแตะที่คางของนาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบทุ้ม “รู้หรือยังว่าอีกเรื่องคืออะไร”

หลังจากผ่านช่วงวัยแตกหนุ่ม น้ำเสียงของเขาเริ่มไพเราะขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเขาทั้งให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์ สะอาด และมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

วิญญาณของกู้เจียวแทบจะหลุดออกจากร่าง

เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงช้าๆ “มันคือเรื่องของเราสองคนอย่างไรเล่า จำไว้นะ กู้เจียวเจียว” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เอ่ยจบ ร่างสูงก็ค่อยๆ เอียงหัวแล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากของร่างบาง

วันถัดมา หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเช้าเสร็จก็ควบม้าของตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังสำนักบัณฑิตหลิงโป

รอบสนามเต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูการแข่งขัน ส่วนที่นั่งบนอัฒจันทร์ก็ถูกจองไว้หมดแล้ว

ที่น่าสนใจก็คือ คราวนี้มีบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงมาดูการแข่งขันด้วย

พวกเขา… เดินทางไกลมาถึงที่นี่เพื่อมาให้กำลังใจใช่ไหม

แม้จะมากันแค่สิบยี่สิบคน เมื่อเทียบกับสำนักบัณฑิตอื่นที่ขนคนกันมากว่าร้อยคน

อย่างน้อยก็ทำให้อาจารย์อู่ใจชื้นขึ้นมาบ้าง “นั่น บัณฑิตของเทียนฉงนี่นา! พวกเขามากันด้วยล่ะ!”

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนกันเองมาดูการแข่งขัน อาจารย์อู่ดีใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

จงติ่งกับโจวถงก็มาด้วยเช่นกัน และพวกเขาก็กำลังโบกมือมาทางนี้

กู้เจียวกับมู่ชิงเฉินขี่ม้ามุ่งหน้าไปที่ห้องรับรอง ขณะที่มู่ชวนโบกมือให้พวกเขากลับอย่างร่าเริง

คราวก่อนจ้าวเวยมีท้องเสียจึงไม่ได้ร่วมการแข่งขัน มาคราวนี้เขาจึงระวังเรื่องการกินมากขึ้น

ฝีมือการเล่นของเขาชำนาญกว่ามู่ชวน พอได้จ้าวเวยมาเล่น มู่ชวนจึงต้องไปอยู่ตำแหน่งผู้เล่นสำรอง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร

“พวกเราเป็นกลุ่มที่สามอีกแล้ว” อาจารย์อู่เอ่ยขึ้นหลังกลับมาจากการจับฉลาก

“ถ้าได้ขึ้นเป็นกลุ่มแรกพวกเราคงยังไม่ตื่นตัวดี แต่ถ้าได้กลุ่มหลังๆ อากาศก็จะเริ่มร้อนขึ้น! ดังนั้น กลุ่มสามนี่แหละกำลังดี!”

อาจารย์อู่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่แล้ว กลุ่มที่สามนี่แหละดีที่สุดสำหรับการแข่งขันรอบเช้า พวกเราโชคดีมาสองครั้งติดแล้วนะ”

มีเพียงกู้เจียวคนเดียวที่ดูจะไม่ดีใจนัก

“มีอะไรรึ” มู่ชิงเฉินเอ่ยถาม

“อ้อ ไม่มีอะไร” เมื่อคืน ก่อนที่นางกับเซียวเหิงแยกกัน เขาบอกว่าเช้านี้จะไปสืบข้อมูลบางอย่าง

สายตาของมู่ชิงเฉินจับจ้องไปที่บริเวณคอของกู้เจียว “ลืมกางมุ้งเรอะเมื่อคืน”

“อืม” กู้เจียวรีบดึงปกเสื้อขึ้นอย่างหน้าตาเฉย

“วันนี้พวกเราแข่งกับใครรึท่านอาจารย์” มู่ชวนถามอาจารย์อู่

“สำนักบัณฑิตผิงหยาง” อาจารย์อู่ตอบ

การแข่งขันครั้งก่อนถูกจัดขึ้นสองวัน สำนักบัณฑิตผิงหยางเข้าแข่งในวันที่สอง พวกเขาไม่ทันได้อยู่ดูฝีมือการเล่นของสำนักบัณฑิตผิงหยาง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านเข้ารอบมาได้นั้นฝีมือย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

กู้เจียวเหลือบไปเห็นมู่ชิงเฉินกำลังเม้มปากและไม่ได้เอ่ยอะไร จึงถามไถ่ “เป็นอะไรไปรึ พวกเขาฝีมือดีใช่ไหม”

มู่ชิงเฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบออกไป “สำนักบัณฑิตผิงหยางเป็นสถาบันการศึกษาที่ครบครันทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ ผู้ฝึกสอนของพวกเขาเคยเป็นนักกีฬาตีคลีประจำราชสำนัก สวี่ผิงก็เป็นลูกศิษย์ของเขา ต่อมาภายหลังเขาได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถเล่นได้ เลยผันตัวไปเป็นผู้ฝึกสอนแทน”

เอ่ยจบ เขาก็นิ่งเงียบไปอีกรอบ ก่อนจะอธิบายต่อ “ฝีมือของพวกเขาอยู่ในระดับสูง และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมาก”

แม้ว่าผู้เล่นจากสำนักบัณฑิตผิงหยางจะไม่มีใครมีฝีมือที่แพรวพราวเท่ากับสวี่ผิง แต่ความแข็งแกร่งพื้นฐานของการเล่นเป็นกลุ่มมักไม่ได้ถูกกำหนดโดยคนที่เก่งที่สุด หากแต่ถูกกำหนดโดยผู้ที่เล่นได้แย่ที่สุด

แม้ว่าสวี่ผิงจะเล่นได้เยี่ยมยอดถึงเพียงไหน แต่หากหนานกงหลินและคนอื่นๆ ไม่สามารถตามทันได้ แน่นอนว่าสวี่ผิงคนเดียวก็ไม่สามารถเอาอยู่ได้เช่นกัน

“พี่สี่ ข้าไม่เคยได้ยินพี่สี่เอ่ยปากชมใครมาก่อน แต่นี่พี่สี่ชมพวกเขาถึงสองครั้งสองครา! แปลว่านัดนี้พวกเราต้องแพ้สินะ!” มู่ชวนทำหน้าไม่พอใจ

“อย่าเพิ่งเสียกำลังใจก่อนเริ่มแข่งสิ” หยวนเซียวเอ่ย

จ้าวเวยพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย”

มู่ชวนโต้กลับพวกเขา “ประเด็นมันไม่ใช่การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ประเด็นอยู่ที่วันนี้พวกเราจะแพ้ราบคาบหรือไม่ต่างหาก”

“ว่าแต่ ผู้ชนะจะได้รางวัลอะไรรึ” กู้เจียวเอ่ยถามขณะที่กำลังใช้ผ้าพันมือ

มู่ชิงเฉินหันไปมองคนถามด้วยสีหน้าตกใจ “เจ้าไม่รู้หรอกรึ”

“ก็ไม่รู้น่ะสิ” ก็ไม่เห็นมีใครบอกเลย

มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วจนเป็นปม “ข้าก็นึกว่าที่เจ้ามาร่วมแข่งเพราะอยากได้รางวัล ผู้ที่ได้อันดับสามจะได้รับตราสำหรับเข้าออกเมืองชั้นในเป็นของตัวเอง ส่วนที่สองจะได้รับทองคำหนึ่งพันตำลึง”

ฟังเสร็จ กู้เจียวถึงกับต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ในทันที ขนาดกู้ฉังชิงออกรบที่ชายแดนจนเจ็บปางตายฮ่องเต้ยังให้เงินรางวัลเขาแค่หนึ่งพันตำลึงเท่านั้น

ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนร่ำรวยขนาดนี้เชียวหรือ

“แล้วที่หนึ่งล่ะ” กู้เจียวถามต่อ

มู่ชิงเฉินตอบด้วยท่าทีตะลึง “ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจะมีโอกาสเข้าไปในพระราชวังเพื่อพบกับฮ่องเต้”

“พวกเราต้องแข่งอีกกี่รอบถึงจะได้เข้ารอบสุดท้าย” กู้เจียวเริ่มมีแรงฮึดขึ้นมาในทันที

มู่ชิงเฉินสะดุ้งกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างกะทันหันของสหายคนนี้ “ถ้ารวมวันนี้ด้วย หากพวกเราไม่เล่นแพ้เลย ก็จะเหลืออีกสามรอบ”

แต่ใครจะรับประกันได้ละว่าพวกเขาจะได้เข้ารอบสุดท้าย

ลุย ลุยเท่านั้น!

กู้เจียวคว้าไม้ตีคลีแล้วเดินออกไปอย่างมาดมั่น!