บทที่ 828 เคราะห์แห่งเทพมาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 828 เคราะห์แห่งเทพมาร

หานเจวี๋ยแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในครรภ์ คิดจะผนึกสายเลือดเทพมารอนธการของเขาไว้

ตูม!

หานเจวี๋ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว หรี่ตาลงทันที

การสะท้อนกลับ!

พลังอันแข็งแกร่งบางอย่างปะทุออกมาจากในครรภ์ ต่อต้านจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขา

‘เด็กคนนี้…’

หานเจวี๋ยฉุนขึ้นมาแล้ว

ข้าจำเป็นต้องผนึกสายเลือดเจ้าไว้ เพราะเจ้าอยากออกมาไม่ใช่หรือ

หานเจวี๋ยเพ่งสายตา ทดลองต่อไป

สิงหงเสวียนขมวดคิ้ว รู้สึกปวดท้องอยู่บ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นอริยะเช่นกัน ไม่กลัวความเจ็บปวดอยู่แล้ว

ครรภ์ยังคงต่อต้านจิตศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เขาจำเป็นต้องใช้พลังเวท

ผ่านไปนานพักใหญ่

หานเจวี๋ยหยุดลง เอ่ยถามว่า “ถ้าจะให้กำเนิดเขาจริงๆ สายเลือดของเขาไม่ธรรมดา ข้าต้องผนึกเขาไว้ หลังถือกำเนิดเขาจะไม่ได้กลายเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์”

สิงหงเสวียนขมวดคิ้วเอ่ยถาม “จำเป็นต้องผนึกหรือ”

หานเจวี๋ยตอบว่า “จำเป็น ไม่เช่นนั้นจะดึงดูดหายนะครั้งใหญ่มา เจ้าไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับผู้ใดได้ รวมถึงเขาด้วย”

สิงหงเสวียนเงียบไป

นางเดาได้แต่แรกแล้ว เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

“เช่นนั้นก็รอต่อไปก่อน ข้าอาจจะคิดมากไป เขายังไม่ถึงกำหนดคลอด” สิงหงเสวียนเอ่ยอย่างใช้ความคิด

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ ผนึกจิตรับรู้ของบุตรอย่างเงียบเชียบ เลี่ยงไม่ให้จิตรับรู้เติบโตจนกลายเป็นปีศาจเฒ่าทั้งที่ยังไม่ถือกำเนิด

สิงหงเสวียนลุกขึ้นเดินจากไป

หลังจากนางออกไปแล้ว หานเจวี๋ยถามในใจเงียบๆ ‘หากข้ายังเป็นเทพมารอนธการอยู่ บุตรชายของข้าก็ไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติได้ใช่หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ใช่]

หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจ

เช่นนั้นก็อยู่ในครรภ์ต่อไปอีกแปดล้านปีเถอะ!

รอจนเขารวบรวมมหารังสรรค์อนธการได้หนึ่งครั้งแล้วค่อยว่ากัน

….

หนึ่งแสนปีต่อมา พลังเวทของหานเจวี๋ยเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าตัว ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

หานเจวี๋ยพอใจกับความสำเร็จในฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ยิ่งนัก ถึงแม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะฝ่าทะลวง แต่อย่างน้อยก็มีความหวัง

ยอดมหามรรคในฟ้าบุพกาลมีน้อยนิดยิ่ง ถึงขั้นที่อริยะมหามรรคส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการมีอยู่ของระดับนี้เลย ต้องทราบด้วยว่าจำนวนอริยะมหามรรคเองก็มีน้อยมากอยู่แล้ว

เหตุผลที่เขาหยุดลง เพราะมีกลิ่นอายหนึ่งปรากฏขึ้นนอกมรรคาสวรรค์

เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลหงหยวน

นางรอคอยมาสองพันกว่าปีแล้ว

หานเจวี๋ยสร้างร่างแยกขึ้นมาหนึ่งร่าง ให้เขาออกไปพบหงหยวน

ในแดนต้องห้ามอันธการ หงหยวนกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่

นางลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ยเหาะเข้ามา ก็เผยรอยยิ้ม

“เหตุใดสหายเต๋าถึงมาเยือนอีกครั้งเล่า” หานเจวี๋ยถาม

เขาจงใจปล่อยให้หงหยวนรอสองพันกว่าปี ไม่คิดเลยว่ายายเฒ่าคนนี้จะไม่ไปไหนเลย

หงหยวนกล่าวว่า “มีธุระ เหตุใดสหายเต๋าหานถึงระแวดระวังข้าเช่นนี้เล่า ข้าไม่ได้มาโจมตีมรรคาสวรรค์ และไม่ได้มีแผนร้ายกับเจ้าด้วย”

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ

หงหยวนกล่าวว่า “ช่างเถอะ คุยธุระดีกว่า ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาลปรากฏตัวตนน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ขึ้น คล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง มีเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งต่อต้านขุนพลศักดิ์สิทธิ์ กลับถูกสังหารทิ้งทันที ร่างสิ้นจิตมลาย”

เผด็จการถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ช้าก่อน!

คงไม่ใช่ว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ใช้ข้ออ้างว่าออกลาดตระเวนตรวจตรา แต่มาเพื่อกวาดล้างฟ้าบุพกาลกระมัง

หงหยวนเอ่ยว่า “ข้าคิดไปสอบถามเทพมารปฐมภพดู พบว่าที่อาณาเขตปฐมภพปราศจากเงาร่างของเขา เขาหายตัวไปแล้ว ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แม้แต่ลูกน้องของเขาก็หายไปหมดเช่นกัน”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หงหยวนถอนหายใจกล่าวไปว่า “ตาเฒ่าคนนี้ต้องรู้อะไรมาล่วงหน้าแน่นอน ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะอยากหารือว่าจะรับมือกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่างไรดี”

“เจ้าทราบถึงพลังและจำนวนของขุนพลศักดิ์สิทธิ์หรือไม่” หานเจวี๋ยถาม

หงหยวนตอบว่า “ตบะระดับอริยะมหามรรค อีกทั้งเป็นอริยะมหามรรคชั้นยอดด้วย จำนวนเกือบหมื่น ขุมกำลังนี้แทบจะไร้พ่ายเลยทีเดียว หากพวกเราเผชิญหน้าตามลำพัง จะต้องยอมจำนน ไม่เช่นนั้นก็ต้องตาย”

หานเจวี๋ยถาม “ยอมจำนนแล้วจะรอดชีวิตไปได้หรือ”

หงหยวนกล่าวว่า “สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลอาจรอดไปได้ แต่ตอนนี้มีเทพมารฟ้าบุพกาลเพียงตนเดียวที่ได้พบขุนพลศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ตายไปแล้ว อีกทั้งเทพมารปฐมภพก็หายตัวไป ข้ากังวลใจ…

“อีกอย่าง ผานกู่หายตัวไปนานยิ่ง เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าแปลกหรือ

“ข้าสงสัยว่าจะมีตัวตนลึกลับกำลังวางแผนเล่นงานเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ในมุมมืด คิดจะกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมด”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขาถูกสะกิดเตือนแล้ว

เรื่องนี้เป็นไปได้จริงๆ!

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลต้องทราบแน่ว่าเทพมารฟ้าบุพกาลวิวัฒนาการเป็นเทพมารอนธการได้ ในอดีตผานกู่ก็เคยทดลองมาก่อน

เมื่อหาเทพมารอนธการไม่พบ ก็ต้องกำจัดความเป็นไปได้ทั้งหมดทิ้ง

กำจัดเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดทิ้งไปก่อน ต่อให้เทพมารอนธการถือกำเนิดขึ้นในหมู่สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเติบใหญ่แข็งแกร่ง

หากว่ายอดมหามรรคหรืออริยะมหามรรคกลายเป็นเทพมารอนธการ จะมีอำนาจคุกคามมหาศาลเกินไป!

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หากเป็นอริยะเทพอวี๋เจี้ยนในช่วงก่อนพิสูจน์ยอดมหามรรคไปสู้ตัวต่อตัวกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งราย มีโอกาสชนะหรือไม่”

หงหยวนถามด้วยความสงสัย “ยอดมหามรรคคือสิ่งใด ระดับที่เหนือกว่ามหามรรคหรือ”

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้ารับ

หงหยวนตกอยู่ในห้วงความคิด

หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมทีหนึ่ง ขัดความคิดนาง

“แน่นอนว่าได้ อริยะเทพอวี๋เจี้ยนนับว่าเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าในหมู่อริยะมหามรรค เท่าที่ข้าทราบมา เทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นที่ร่างสิ้นจิตมลายตอนแรกสู้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองราย ต่อมาถูกรุมโจมตี ล้างสังหารอย่างโหดเหี้ยม” หงหยวนตอบ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ในเมื่อขุนพลศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขนาดนี้ เจ้ามาหาข้าจะมีประโยชน์อันใด พวกเราได้แต่ภาวนาให้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่าได้คิดกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ เลย พอถึงเวลาก็ไม่ต้องขัดขืน”

เขาอยากให้เทพมารฟ้าบุพกาลล้มตายให้มากขึ้นอีกหน่อย

ถึงอย่างไรเทพมารฟ้าบุพกาลก็เห็นเทพมารอนธการเป็นศัตรูเช่นกัน

หงหยวนแสร้งเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “สหายเต๋าหาน เจ้ายินดีจะเอาชีวิตไปฝากไว้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์จริงๆ น่ะหรือ ข้ามาหาเจ้าแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะร่วมมือกันต่อต้านขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ทำเช่นนั้นเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน ข้าอยากมาหลบภัยกับเจ้า อาณาเขตเต๋าของสหายเต๋าหานลึกลับนัก ไม่สามารถทำนายได้อย่างสิ้นเชิง อาจจะหลบเลี่ยงขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้”

ที่แท้ก็รอจังหวะนี้อยู่!

หานเจวี๋ยแค่นเสียงอยู่ในใจ

เขาส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เพียงมีผนึกหวงห้ามพิเศษอยู่เท่านั้น หากเผชิญหน้ากับขุนพลศักดิ์สิทธิ์เข้าจริงๆ อาณาเขตเต๋าอยู่ภายในมรรคาสวรรค์ หลบไม่พ้นเช่นกัน”

หงหยวนขมวดคิ้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากเจ้าอยากเข้าสู่อาณาเขตเต๋าของข้า จะต้องยอมสยบต่อข้า ข้าจะใช้วิธีการบางอย่างกับตัวเจ้า มิเช่นนั้นข้าไม่วางใจ”

หงหยวนเป็นอริยะมหามรรค อีกทั้งเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล หากรับตัวไว้ก็เป็นกำลังต่อสู้ให้ได้มหาศาล

หงหยวนฟังแล้วขมวดคิ้วนานกว่าเดิม

“เจ้ากลับไปพิจารณาดูเถิด แน่ใจแล้วค่อยมาหาข้า” หานเจวี๋ยเอ่ยประโยคนี้ทิ้งท้ายไว้ จากนั้นจึงหันหลังจากไป

หงหยวนนิ่งอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง จากนั้นก็จากไป

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยคิดในใจ ‘ข้าอยากเห็นฉากที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สังหารเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้น!’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

แพงจริงๆ!

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เขาลืมตาขึ้น พบว่าตนปรากฏตัวในห้วงอวกาศเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง แสงสลัวสีทึบหลากหลายสายกระจายตัวอยู่ในห้วงอวกาศ ด้านหน้าคือโครงกระดูกใหญ่มโหฬาร บนโครงกระดูกมีดวงดาวนับไม่ถ้วนฝังอยู่ มากมายเนืองแน่น

หานเจวี๋ยคล้ายจะรับรู้อะไรได้ หันกลับไปมอง เห็นเพียงว่าในส่วนลึกของความมืดมิดด้านหลังปรากฏแสงจ้าสายหนึ่ง พุ่งตัดเข้ามา

เขาหรี่ตามอง ท่ามกลางแสงจ้ามีเงาร่างใหญ่โตมากมาย สูงใหญ่กว่าเขาเทพปู้โจวเสียอีก พวกเขาเดินเรียงแถวกันเข้ามา โครงร่างเสมือนสวมชุดเกราะไว้ เผด็จการทรงอำนาจ บุคลิกข่มขวัญคน

………………………………………………………………