คนผู้นี้ก็คือเสวี่ยเอ๋อร์
อายุสิบเอ็ดปีเข้าวัง ถูกจัดสรรเป็นนางกำนัลทำความสะอาดข้างกายองค์รัชทายาท
เสวี่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์เป็นพี่น้องกัน เสวี่ยเอ๋อร์โตกว่าหน่อย ดังนั้นหลังองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์จึงปลดออกนอกวังพร้อมนางกำนัลกลุ่มหนึ่ง
นางไม่นับว่าคุ้นเคยกับพวกนางมากนัก อย่างไรปกติก็ไม่อยู่บ้าน อีกทั้งพวกนางสองคนก็เป็นนางกำนัลที่ไม่สะดุดตาข้างกายองค์รัชทายาท คิดไม่ถึงกลับเป็นคนที่รู้เบื้องลึกการตายขององค์รัชทายาท
แม้ไม่ได้เห็นกับตาว่าองค์รัชทายาทถูกวางแผนทำร้าย แต่พวกนางกลับรู้ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้ประชวรด้วยโรคร้ายสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังบอกนางเป็นนัยๆ อีกว่ามีพยานบุคคลที่สำคัญคนหนึ่ง บุรุษคนนั้นที่ถูกคุณหนูจวินรักษาหายยังมีชีวิตอยู่
บุรุษคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระบิดาของนางก็ควรจะยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็คือหลักฐานหนักแน่นว่าองค์รัชทายาทถูกทำร้าย
นางตายแล้ว โชคดีล้นพ้นมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง แต่ปิงเอ๋อร์ตายแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็หายสาบสูญไปด้วย เดิมคิดว่าไร้ความหวังแล้ว คิดไม่ถึงในค่ำคืนอันสงบเงียบนี้ ลึกเข้ามาในจวนเฉิงกั๋วกง ในห้องของบุตรชายเฉิงกั๋วกงกลับปรากฏตัว
คุณหนูจวินตระหนกอยู่บ้าง งุนงงอยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ควรมีเมื่อคนที่อยากหาพบมาตลอดอยู่ดีๆ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
นางควรดีใจตื่นเต้นประหนึ่งคลุ้มคลั่ง
แต่ตอนนี้เวลานี้ นางทำสิ่งใดไม่ถูก
คนที่ตระหนกทำอันใดไม่ถูกเห็นชัดว่ายังมีเสวี่ยเอ๋อร์ด้วย เมื่อคำนั้นออกจากปาก สีหน้านางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน
“คุณหนู ท่านพูดอะไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยขึ้นทำหน้าประหลาดใจ “ท่านต้องการหาใคร?”
นางกำนัลที่เคยอยู่ในวัง ต่อให้ไม่สะดุดตาอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่พบเรื่องอันใดพลันตัวสั่นระริก
นางปิดบังตัวตนอยู่ กลบเกลื่อนเสียงขานรับเมื่อครู่อยู่
คุณหนูจวินเข้าใจทันที
เรื่องกะทันหันเกินไปอยู่บ้าง ฉับพลันนางยังไม่รู้ควรคิดอย่างไรอยู่บ้าง
“คุณหนูต้องการหาใครเจ้าคะ?” สาวใช้คนอื่นก็ได้สติเอ่ยถามตามด้วย
คุณหนูจวินมองพวกนาง สีหน้าของพวกนางก็ประหลาดใจไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ความประหลาดใจไม่เข้าใจเช่นนี้ไม่ได้เสแสร้งทำ
ดูท่าสาวใช้เหล่านี้ไม่ทราบตัวตนของเสวี่ยเอ๋อร์
“ตามท่านชายมา” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้สาวใช้คนหนึ่งในนั้น
สาวใช้คนนั้นขานรับไม่ลังเลก็หมุนตัวออกไป
เสวี่ยเอ๋อร์สีหน้าโล่งอกนิดๆ สบตากับสาวใช้ที่หิ้วถังไม้อีกคนหนึ่ง ก้มหน้าจะถอยออกไป
“รอเดี๋ยว” คุณหนูจวินเรียกพวกนางไว้
ร่างกายเสวี่ยเอ๋อร์แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้าเช็ดที่นี่อีกรอบซิ” คุณหนูจวินชี้ห้องอาบน้ำ
ที่นี่เช็ดไปแล้วนะเจ้าคะ มีสาวใช้คิดจะเอ่ยประโยคนี้ แต่กลับถูกสาวใช้อีกคนห้ามไว้
“เจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางส่งสายตาให้เสวี่ยเอ๋อร์กับสาวใช้ที่หิ้วถังไม้อีกคนหนึ่ง
สองสาวหิ้วถังไม้เดินกลับมา
ส่วนคุณหนูจวินเดินออกไปเหมือนไม่มีเรื่องอื่นใด
คุณหนูจวินนั่งลงจะรินชาสักถ้วย มือที่สั่นก็ทำให้ถ้วยชาส่งเสียงกระทบกันแผ่วเบา ท่ามกลางห้องที่เงียบสงบดังกังวานเป็นพิเศษ
นางสงบจิตใจ ดื่มชาร้อนลงไป อาศัยจังหวะที่จูจั้นยังไม่มาขบคิดเรื่องราวเล็กน้อย
ตอนนั้นปิงเอ๋อร์บอกว่าเสวี่ยเอ๋อร์อาศัยอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอู
นางมาเมืองหลวงครั้งแรกก็ไปดูแต่ยังไม่ทันได้พบ กลับพบจูจั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอู
ต่อมานางไปศาลเทพเจ้ากวนอูอีกหน ถามเพื่อนบ้านของเสวี่ยเอ๋อร์ก็ยืนยันว่าเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่มาตลอดจริงๆ การย้ายออกไปเป็นเรื่องไม่นานมานี้
คนที่เดิมทีอาศัยอยู่สถานที่สักแห่งอยู่ดีๆ ฉับพลันย้ายออกไปย่อมต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่
นางไม่ได้และไม่มีหนทางสืบหาต่อ
เสวี่ยเอ๋อร์คนผู้นี้สำคัญเกินไป ไม่ระวังเล็กน้อยย่อมตายเหมือนปิงเอ๋อร์ ตายอย่างคลุมเครือไม่กระจ่าง
นางเคยคิดว่าเสวี่ยเอ๋อร์ถูกคนจับไป เคยคิดว่าที่ปิงเอ๋อร์ตายแล้วแต่เสวี่ยเอ๋อร์ยังอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอูอาจเป็นเหยื่อล่อ แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเอ๋อร์กลับอยู่ในจวนเฉิงกั๋วกง
หรือที่ครั้งนั้นพบจูจั้นที่ศาลเทพเจ้ากวนอู่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?
คุณหนูจวินกำถ้วยชาแน่นนั่งตัวตรง
หรือจูจั้นก็ไปเพื่อเสวี่ยเอ๋อร์เหมือนกัน?
นอกจากนี้จากคำพูดของเพื่อนบ้านก็รู้ได้ว่าเวลานั้นเสวี่ยเอ๋อร์ยังอยู่ที่บ้าน
ที่แท้เป็นจูจั้นพาเสวี่ยเอ๋อร์ไปหรือ?
เขาทำไมรู้จักเสวี่ยเอ๋อร์? เขายังรู้อะไรอีก?
“ทำอะไร?”
เสียงรำคาญของจูจั้นลอยมาจากนอกประตู พร้อมกันนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด
คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ดึกดื่นเที่ยงคืนเรียกข้ามาทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยถามอีกหน
คุณหนูจวินชี้เบื้องหน้าตน
“ท่านนั่งสิ” นางเอ่ยขึ้น
จูจั้นมองนางแล้วถอยหลังก้าวหนึ่ง
“เจ้าคิดจะทำอะไร? สีหน้าเจ้าทำไมประหลาดเช่นนี้?” เขาเอ่ยถาม สีหน้าระแวง “เจ้าจะวางยาใช่หรือไม่?”
ถึงหัวใจว้าวุ่นดุจเส้นป่านขมวดพัน คุณหนูจวินยังคงถูกประโยคนี้หยอกให้หัวเราะแล้ว
“ข้าไม่สิ้นเปลืองแบบนั้นหรอก” นางเอ่ย “ยาของข้าล้วนแพงยิ่ง”
จูจั้นมองนางอย่างคลางแคลง
คุณหนูจวินกำลังจะพูดอีก สาวใช้หลายคนก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ
“คุณหนู เช็ดเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยแจ้ง
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“เช็ดอะไร ข้าไม่รังเกียจเจ้าก็ไม่เลวแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อดูเรื่องนี้รึ?”
เขาพูดพลางโบกมือให้สาวใช้ทั้งหลาย
“ไป ไป ไป”
สาวใช้ทั้งหลายรีบก้มศีรษะเดินออกไปข้างนอก
“เสวี่ยเอ๋อร์เจ้ารอประเดี๋ยว” คุณหนูจวินวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยขึ้น
เสียงของนางอ่อนโยนเฉกเช่นปกติ ถ้วยชาวางบนโต๊ะไม่มีเสียงสักนิด แต่บรรยากาศในห้องฉับพลันเปลี่ยนไปทันที คล้ายพริบตาหนึ่งชะงักนิ่ง
คนที่ชะงักนิ่งมีเพียงสองคน คนหนึ่งจูจั้น คนหนึ่งเสวี่ยเอ๋อร์ สาวใช้คนอื่นๆ สีหน้าไม่เข้าใจ
ใครชื่อเสวี่ยเอ๋อร์?
เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้ากำถังไม้แน่น
“ซู่เจวี้ยนอยู่ก่อน คนอื่นออกไป” จูจั้นเอ่ยขึ้น
เสียงของเขาก็สงบเฉกเช่นปกติเหมือนกัน
เสวี่ยเอ๋อร์ขานรับ สาวใช้คนอื่นๆ อดไม่ได้มองนางทีหนึ่งจากนั้นก้มศีรษะรีบร้อนถอยออกไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“คุณหนูรู้จักซู่เจวี้ยนหรือ?”
“หรือซู่เจวี้ยนกับท่านชาย…”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล…”
สาวใช้ทั้งหลายที่เดินออกไปไกลกระซิบเสียงเบาหลายประโยคแล้วหยุด นินทาเรื่องเจ้านายเป็นข้อห้ามสำคัญในการเป็นคนรับใช้
ด้านนอกจมสู่ความเงียบ ในห้องก็เงียบไปหมดเช่นกัน
คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา นางคิดอยู่ว่าควรพูดอย่างไร
เสียงฝีเท้าดังขึ้น จูจั้นเดินในห้องสองก้าว
“ที่แท้เจ้าเรียกข้ามาก็เพื่อเรื่องนี้รึ” เขาผายมือเอ่ย
คุณหนูจวินมองไปหาเขา กำลังจะเอ่ยปากพลันเห็นเงาร่างจูจั้นฉับพลันยืนตรง คนพาไอเย็นเยียบโถมตรงเข้ามา
นี่เป็นเวลาเพียงพริบตาเดียว ความคิดนางแล่นผ่าน คนก็ถูกจูจั้นกำลำคอไว้แล้ว หิ้วขึ้นมาจากบนเก้าอี้ทันที
เสวี่ยเอ๋อร์ร้องตกใจทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มืออุดปากไว้ ตัวสั่นอยู่ด้านข้าง
คุณหนูจวินแทบหายใจไม่ออก คล้ายย้อนกลับไปยังฉากนั้นที่หรู่หนาน
เวลานั้นตนเองเรียกชื่อจูจั้นออกไป เขาก็ประหนึ่งจะลงมือสังหารเช่นนี้
แววตาของจูจั้นทะมึน ลมหายใจพัดผ่านใบหน้าที่ใกล้แค่เอื้อมมือของนาง
สองมือของคุณหนูจวินถูกมือเดียวของเขากดไพล่ไว้หลังร่าง สองขาก็ถูกกดไว้กระดิกไม่ได้ในเวลาเดียวกัน
ป้องกันอาวุธลับและยาพิษที่มีอยู่ทุกที่บนร่างนาง
“ดีที่สุดเจ้าจงพูดเหตุผลที่จะไม่ให้ข้าสังหารเจ้าออกมาให้ได้” เขาเอ่ยเสียงเบาทีละคำๆ “บุญคุณช่วยชีวิตพ่อแม่ข้าช่างหัวมัน นั่นก็แค่สิ่งที่อยู่ในแผนการของเจ้า”
ในลำคอของคุณหนูจวินมีช่องว่างนิดหนึ่ง นางสูดลมหายใจถี่เร็วหลายหนให้ตนเองผ่อนคลายลง
“เหตุผลที่ข้ารู้จักนางรึ? ก็เหมือนกับเหตุผลที่ข้ารู้จักท่าน” นางมองจูจั้น แววตานิ่งสงบ “เพราะข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง”
ไม่รอจูจั้นมีปฏิกิริยาตอบสนอง นางพลันขยับเข้าใกล้ จ้องดวงตาของเขา
“จูจั้น ท่านมองข้า ท่านมองเห็น”
“ข้าคือ ฉู่จิ่วหลิง”
ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำประหนึ่งบึงลึก เสียงของนางแหบพร่าดั่งมาจากอเวจี ลมหายใจที่ชิดใกล้อุ่นร้อน แต่กลับทำให้จูจั้นพริบตาเดียวขนลุกชันขนหัวลุก
ฉู่จิ่วหลิง
…………………