เช้าวันที่สอง นัทธีพาลูกทั้งสองกลับประเทศ
สามพ่อลูกอยู่กับวารุณีย์ได้สองวัน ก็เต็มขีดจำกัด
ยังไงอารัณก็ร้องไปโรงเรียนชั้นนำ นัทธีเองก็ไม่สามารถทิ้งบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ได้นานนัก
ดังนั้นการอยู่สองวัน นั้นไม่ง่ายเลย
ที่สนามบิน วารุณีอุ้มลูกทั้งสอง บอกลาด้วยความไม่เต็มใจ
นัทธีที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ “ดูแลตัวเองดีๆ นะ อีกไม่กี่วัน ผมจะพาลูกกลับมาหาคุณ”
วารุณีที่ลูบหัวลูกทั้งสองอยู่ก็ลุกขึ้น แล้วหันมาหาเขา พยักหน้าให้เขา “ค่ะ คุณก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองดีๆ ที่กรุ๊ปจะยุ่งขนาดไหน ก็ต้องดูแลตัวเอง อย่าหักโหมจนป่วยนะคะ”
“ผมจะดูแลตัวเอง” ริมฝีปากของนัทธียกยิ้มแล้วพูด
เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เอาแต่ทำงานเหมือนอย่างก่อน
ตอนนี้เขามีครอบครัว มีภรรยากับลูก ดังนั้นเขาจึงรู้จักดูแลตัวเองอยู่แล้ว จะไม่ให้ตัวเองเกิดเรื่องขึ้น
ไม่อย่างนั้น ภรรยากับลูกจะทำยังไง?
“งั้นก็ดีค่ะ” เมื่อได้ยินฝ่ายชายตอบ วารุณีก็ยิ้มอย่างพอใจ หลังจากนั้นก็จัดเนกไทให้เขา
“ใช่แล้ว เรื่องของปาจรีย์ คุณบอกเธอก่อนได้นะ ให้เธอคิดดีๆ คิดดีแล้ว ค่อยไปหาผมที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ผมจะจัดการทุกอย่าง” นัทธีพูด
วารุณีตอบรับ “ค่ะ”
“งั้นผมไปก่อนนะ” นัทธีก้มลงมองที่เธอ
วารุณีพยักหน้า “อื้ม ถึงประเทศแล้ว โทรหาฉันด้วยนะ”
“ตกลง” นัทธีขยี้ผมของเธอ หลังจากนั้นก็จูงเด็กสองคนไปที่ช่องวีไอพี
ผู้ช่วยมารุตกับบอดี้การ์ดอีกสองสามคนถือกระเป๋าเดินทางตามหลังไป
วารุณีและลีน่าที่ยืนอยู่นอกช่อง ยืนส่งมองดูกลุ่มของนัทธีที่เดินไกลออกไป จนมองไม่เห็นจากช่องทางเดิน จึงละสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“วารุณี พวกเราไปเถอะ มองไม่เห็นพวกประธานนัทธแล้ว” ลีน่าเดินเข้ามาพูด
วารุณีหันมา “โอเค กลับกันเถอะ”
ทั้งสองเดินไปที่ทางออกประตูสนามบิน
ถึงบนรถ วารุณีหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วต่อสายไปหาปาจรีย์
ปาจรีย์ที่รอสายของเธออยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าเธอโทรมา ก็จับโทรศัพท์มาแนบที่ข้างหู “วารุณี”
“ปาจรีย์ ฉันคุยกับนัทธีแล้ว นัทธีบอกว่า เหตุการณ์ของเธอมีอยู่หนึ่งทาง” วารุณพูด
เมื่อปาจรีย์ได้ยิน เธอก็ตื่นเต้นมาก “ทางไหน?”
วารุณีสูดหายใจ “ทางก็คือ เธอกับคุณลุงคุณป้าออกไปจากจังหวัดจันทร์ แล้วไม่กลับไปอีก”
“อะไรนะ?” อาการตื่นเต้นบนใบหน้าของปาจรีย์เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึงทันที อ้าปากค้าง อยู่ครู่หนึ่งจึงส่งเสียง “ไม่กลับไปจังหวัดจันทร์อีก?”
“ใช่” วารุณพยักหน้า “พงศกรตั้งใจอยากให้เธอแท้งลูก แต่เธอไม่ยอม เพราะฉะนั้นเธอทำได้เพียงแค่ออกจากจังหวัดจันทร์ ไปจากพงศกร ไม่เจอเขาอีกตลอดไป แบบนี้ถึงจะปกป้องลูกไว้ได้ รวมถึงคุณลุงคุณป้าด้วย”
ปาจรีย์เงียบ
เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอคิดไม่ถึง ว่าวิธีที่จะปกป้องลูกที่ดีที่สุด จะเป็นวิธีนี้
วารุณีไม่แปลกใจที่ปาจรีย์เงียบไป เธอเดาได้ตั้งแต่แรกว่าหลังจากที่วารุณีได้ยินทางออก จะมีปฏิกิริยาแบบนี้
“ปาจรีย์ เธอ……”
ยังไม่ทันที่วารุณีพูดจบ ปาจรีย์ก็ตัดบทเธอ กัดริมฝีปากถาม: “วารุณี มีแค่ทางนี้ทางเดียวเหรอ?ฉันต้องไปจากจังหวัดจันทร์ถึงจะโอเคเหรอ?”
เธอไม่อยากไปจากที่นี่ แล้วก็ไม่อยากให้พ่อแม่ของตัวเองที่อายุปูนนี้ ต้องตามไปหลบซ่อนกับตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง
ที่สำคัญที่สุด เธอต้องไม่เจอกับพงศกรไปตลอดชีวิต
นี่……
เมื่อคิดว่าอนาคตต้องเป็นแบบนี้ ปาจรีย์รับไม่ได้จากใจ
วารุณีพยักหน้า “ใช่ มีแค่ทางนี้ เธอก็รู้ว่าเด็กในท้องของเธอสำหรับพงศกรแล้ว เขาไม่รับ เขาปักใจแน่วแน่ว่าจะเอาเด็กคนนี้ออก เพราะแบบนี้ เขาใช้พ่อกับแม่เธอมาต่อรองอำนาจไม่พอ ยังทำร้ายพิรุธ แล้วเธอก็เลือกได้แค่ออกไปจากที่นั่นเท่านั้น หนีไปจากสายตาของเขา แบบนี้ เด็กในท้องก็จะสามารถปกป้องไว้ได้ แล้วเขาก็จะไม่สามารถเอาคนรอบข้างมาใช้เป็นอำนาจคุกคามเธอได้”
“ฉันรู้ แต่……”
“ไม่มีแต่” วารุณีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง: “ปาจรีย์ เธอไม่ควรเป็นคนที่รักหัวปักหัวปำแบบนี้นะ เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ เพื่อคนรอบข้าง เธอมีแค่ทางเลือกนี้เท่านั้น ฉันรู้ ว่าที่เธอลังเลจริงๆแล้ว ไม่ใช่จังหวัดจันทร์ แต่เป็นพงศกร เธอไม่อยากที่จะต้องไม่เห็นเขาอีกต่อไปใช่ไหม?”
“……” ปาจรีย์ถูกพูดจี้จุด หมดคำพูด
วารุณีถอนหายใจ “แต่เธอทนไม่ได้ที่ต้องแยกทาง ครั้งนี้เธอต้องยอม แล้วเมื่อก่อนเธอก็เคยพูดไม่ใช่เหรอ?ว่าเธอจะปล่อยพงศกร มีแค่เด็กคนนี้ก็พอแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงทำใจไม่ได้อีกแล้วล่ะ?”
“ฉันเคยพูด ฉันเองก็ไม่คบกับพงศกรแล้ว แต่ไม่คบ ไม่ได้แปลว่าฉันจะปล่อยความรู้สึกที่มีต่อเขาไปจนหมด ฉันปล่อยไม่ได้ เพราะฉะนั้นแค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้เจอเขาอีก ฉันก็รับไม่ได้ ฉัน……”
วารุณีปวดหัวอย่างมาก “เธอนี่รักจนถลำลึกจริงๆ ”
โดยพื้นฐานแล้วเธอกับนัทธีไม่เรื่องเข้าใจผิดกัน ดังนั้นความสัมพันธ์จึงเป็นแบบน้ำมาคลองเกิดโดยตลอด ไม่เคยเป็นเหมือนอย่างปาจรีย์กับพงศกร ที่เจ็บปวดพัวพัน
ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจปาจรีย์ที่รักอย่างไร้ค่าแบบนี้ เป็นสภาวะแบบไหนกัน
“เธอนี่!” วารุณีถอนหายใจอีกครั้ง “เอาเถอะ ฉันเข้าใจที่เธอรับไม่ได้ที่ต่อไปจะไม่ได้เจอพงศกรอีก แต่เธอเคยคิดบ้างไหมปาจรีย์ นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ เหรอ?”
ปาจรีย์ก้มหน้า ไม่ตอบ
ริมฝีปากแดงของวารุณีขยับ “เธอไม่พูด ก็เท่ากับฉันรู้ว่าเธอเคยคิด เธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ในความเป็นจริง นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ พงศกรตั้งใจต้องการที่จะเอาเด็กออก เขาลืมความแค้นที่มีต่อเธอกับตระกูลจิรดำรงค์ไม่ได้ ดังนั้นเธอกับคุณลุงคุณป้าต้องออกไปจากจังหวัดจันทร์เท่านั้น ไปจากเขา ครอบครัวพวกเธอถึงจะสามารถสงบสุขได้ ลูกในท้องของเธอถึงจะสามารถเกิดและเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย พวกรพีเขาจะได้ไม่ถูกพงศกรเจ็บแค้น”
“ฉันรู้……”
“ในเมื่อเธอรู้ งั้เธอก็ควรเลือกทางอย่างมีสติและเหตุผลหน่อยไม่ใช่เหรอ?” วารุณีเม้มปาก และโกรธเล็กน้อย “แล้วเธอทำยังไง?เธอกลับคิดว่าต่อไปจะได้เจอพงศกรอีก เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ฉันไม่เข้าใจเอาซะเลย เธอเลือกที่จะปล่อยพงศกรไปแล้วแท้ๆ และไม่คิดว่าจะกลับไปคบกับเขาอีกแล้วแท้ๆ แล้วทำไมเธอต้องมาสนใจเรื่องเจอกับไม่ได้เจอนี่ด้วย?ไม่เจอกันอีกไม่ดีกว่าหรือไง?แบบนี้จะได้ปล่อยพงศกรไปได้จริงๆ ลืมเขาได้จริงๆสักทีไม่ใช่หรือไง?”
ปาจรีย์อ้าปากค้าง เธออยากจะโต้กลับ แต่กลับไม่ได้พูดสิ่งที่จะโต้กลับออกมา
เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจ ว่าที่วารุณีพูดคือเรื่องจริง และถูกต้องทั้งหมด
เพียงแต่ตัวเธอเองรักพงศกรเกินไป จึงปล่อยไปไม่ได้สักที
“ปาจรีย์ ฉันจะแนะนำเธอเป็นครั้งสุดท้าย ว่าตกลงแล้วเธอต้องการลูก คุณลุงคุณป้า หรือว่าพงศกร?ถ้าเธอต้องการพงศกร เธอก็เอาเด็กออกซะ”
“ไม่ได้!” ปาจรีย์รีบเอามือป้องที่ท้อง ส่ายหัวพูด
เอาลูกออก?
ไม่แน่ๆ !
เด็กคนนี้ คือสายเลือดของเธอกับพงศกร
ในเมื่อเธอหมดหนทางที่จะได้อยู่กับพงศกร แต่มีลูกของพงศกรเหลือไว้ เธอก็รู้สึกเพียงพอแล้ว
วารุณีเม้มปาก “ในเมื่อไม่ได้ งั้นก็แสดงว่า เธอจะเลือกลูกกับคุณลุงคุณป้าใช่ไหม?”
“ฉัน……”
“ปาจรีย์ ไม่มีฉันอะไรทั้งนั้น!” วารุณีตัดบทเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “สองทางเลือกนี้ เธอเอกได้อย่างเดียว ไม่มีมากกว่านั้น บนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องที่ได้ดีกันไปทั้งสองฝ่าย เธอจะโลภไม่ได้ รู้ไว้นะว่าจุดจบของความโลภคือสุดท้ายแล้วจะไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเธอต้องทิ้งหนึ่งอย่าง คือทิ้งพงศกร หรือทิ้งลูกกับพ่อแม่”