ล่วงเข้ายามรัตติกาล กองทัพต้ายงบุกตีด่านอย่างบ้าคลั่งแต่มีระเบียบ หลิววั่นลี่บัญชาการพลทหารใต้บัญชาด้วยสัญชาตญาณแทบทั้งสิ้น หลังจากปกป้องด่านมาหนึ่งวันกับหนึ่งคืน พลทหารที่พิทักษ์ด่านหูกวนตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก แม้แต่หน้าไม้เสินปี้ที่พึ่งพาได้ที่สุดก็เสียหายไปมากกว่าครึ่ง วันพรุ่งนี้คงเป็นเวลาที่ด่านแตก ในใจหลิววั่นลี่รู้ดี
เมื่อครู่มีชายหนุ่มชาวบ้านที่คอยช่วยปกป้องด่านจิตใจพังทลาย ร้องตะโกนว่าอยากยอมจำนน พยายามจะเปิดประตูด่านออกไปจากด้านใน แต่ถูกหลิววั่นลี่ออกคำสั่งให้ทหารที่คุมอยู่ยิงศรสังหารพวกเขาเสียก่อน ทว่ากำลังใจของทหารและประชาชนในด่านหูกวนจวนจะแตกสลายแล้ว หลิววั่นลี่รู้ชัดยิ่งว่าไม่มีโอกาสที่จะรักษาด่านหูกวนไว้ได้อีกต่อไป ภายในสมองอันสับสน ภาพของภรรยาและบุตรชายปรากฏขึ้นมา หลิววั่นลี่รู้สึกว่าความเหนื่อยล้านับไม่ถ้วนทะลักขึ้นมาในหัวใจ
เดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่ ดวงตะวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า หลินหยาบัญชาการกองทัพต้ายงที่พละกำลังเต็มเปี่ยมกองหนึ่งเริ่มโจมตีระลอกสุดท้ายด้วยตนเอง กองทหารพิทักษ์ด่านหูกวนที่ถูกกองทัพต้ายงโหมโจมตีตลอดเช้าจรดค่ำในที่สุดก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ในที่สุดเงาร่างสีครามเกือบดำก็ฝ่าผ่านกำแพงด่านหูกวนที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตไปได้ เมื่อกองทัพต้ายงเปิดประตูด่านจากด้านในได้ จิงฉือก็นำทหารม้าพุ่งนำเข้าไปในด่านหูกวน
องครักษ์คนสนิทใต้บัญชาเขาทำตามคำสั่งของเขา ตวาดเสียงดังไปรอบทิศ “แม่ทัพผู้ปกป้องด่านหูกวนหัวรั้นมิยอมจำนน ทำให้กองทัพเราเสียหายใหญ่หลวง แม่ทัพจิงมีคำสั่ง ฆ่าล้างบางทหารประชาชนในด่าน มิมีละเว้น”
คำสั่งโหดเหี้ยมนี้ทำให้เหล่าทหารต้ายงผู้ตรากตรำทำศึกมาหลายวันมีหนทางระบายความโกรธแค้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม โลหิตหลั่งไหลทั่วถนนใหญ่และตรอกเส้นน้อยจนนองเป็นสายน้ำ
ตอนที่กองทัพต้ายงเหยียบเท้าเข้ามาในเมือง หัวใจของหลิววั่นลี่ก็สิ้นหวังแล้ว เขาตะโกนเสียงดังออกคำสั่งให้พลทหารเป่ยฮั่นทั้งหลายแยกย้ายกันหนีเอาตัวรอดพร้อมกับจุดไฟสกัดศัตรูตามทาง เขาพาองครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนมุ่งไปยังจวนของตนเอง ระหว่างทางทหารเป่ยฮั่นที่แตกกระเจิงจุดไฟไปทั่ว พวกเขาต่างได้ยินคำสั่งฆ่าล้างเมืองของกองทัพต้ายง ดังนั้นพวกเขาจึงล้วนแลกชีวิตจุดไฟขวางศัตรู ต่อให้ตายก็มิอาจให้ด่านหูกวนตกอยู่ในมือของศัตรูเปล่าๆ ความตั้งมั่นเช่นนี้ของกองทัพเป่ยฮั่นกับความโหดเหี้ยมคลุ้มคลั่งของกองทัพต้ายง ในที่สุดก็ทำลายด่านสำคัญที่ตั้งตระหง่านมาร้อยปีแห่งนี้ย่อยยับในหนึ่งวัน
ทว่าหลิววั่นลี่มิสนใจผลที่ตามมาจากคำสั่งสุดท้ายของตนอีกต่อไปแล้ว เขาห้ออาชาทะยานกลับไปที่จวน แล้วโยนสายบังเหียนให้องครักษ์คนสนิท จากนั้นพุ่งตรงเข้าไปในจวนของตน คนในครอบครัวกับหญิงรับใช้ต่างหนีกระเจิงกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงภรรยาของตนที่กอดบุตรรักยืนอยู่ในห้องโถง สีหน้านางเศร้าสลด เมื่อเห็นหลิววั่นลี่ก็เอ่ยเรียกอย่างเศร้าสร้อย หลิวไหวกลับร้องอย่างตื่นตระหนก “ท่านพ่อ เลือดมากมายนัก”
หลิววั่นลี่ก้มหน้ามองอย่างเฉยชา เมื่อเห็นโลหิตเปื้อนเละเทะทั่วร่างของตน มุมปากก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาจางๆ เขาเอ่ยกับองครักษ์คนสนิทไม่กี่คนที่เหลืออยู่ข้างกาย “พวกเจ้าล้วนเป็นพี่น้องคนสนิทของผู้แซ่หลิวมาหลายปี วันนี้ผู้แซ่หลิวพ่ายแพ้ตกอยู่ในสภาพนี้ ไม่มีหน้าหนีเอาตัวรอด แต่ยังมีคำขอร้องหนึ่ง มิทราบว่าพวกเจ้าจะรับปากหรือไม่”
หัวหน้าขององครักษ์คนสนิทหลายคนนั้นมีนามว่าหลิวจวิน เขาเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านที่ติดตามหลิววั่นลี่มาตั้งแต่ยังเล็ก เขาค้อมกายคำนับน้ำตานอง “นายท่านเชิญสั่ง”
หลิววั่นลี่ชี้หลิวไหวแล้วกล่าวว่า “ข้าออกรบมาครึ่งชีวิต มีสายเลือดเพียงคนเดียวเท่านี้ เจ้าปกป้องฮูหยินกับนายน้อยไปพึ่งพี่ชายภรรยาข้า จำไว้วันหน้าไม่ต้องให้เด็กคนนี้ล้างแค้นให้ข้า สองแคว้นทำศึก รอดหรือตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ข้าเพียงหวังว่าวันหน้าเมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งแล้วเด็กคนนี้จะได้อยู่กับบ้านอย่างสงบสุข แต่งงานมีลูก สืบทอดวงศ์ตระกูล เจ้ารับปากได้หรือไม่”
หลิวจวินฟังคำพูดนี้แล้วพลันชักมีดออกมาตัดนิ้วก้อยมือซ้ายสาบานว่า “นายท่านโปรดวางใจ ต่อให้หลิวจวินวายชีวาก็จะปกป้องนายหญิงกับนายน้อยหนีไปให้จงได้ หากผู้น้อยรักตัวกลัวตาย ขอให้ชาติหน้าข้าเกิดเป็นหมูเป็นหมา มิอาจเป็นมนุษย์ชั่วนิรันดร์”
หลิววั่นลี่ปวดใจ ค้อมกายคำนับกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าทำเต็มกำลังก็พอแล้ว หากสุดท้ายไหวเอ๋อร์โชคร้าย ก็เป็นชะตาของเขาที่ต้องตายอยู่กลางศึกสงคราม” พวกหลิวจวินจะกล้ารับการคำนับเต็มพิธีการของเขาได้เช่นไร พวกเขารีบขยับตัวหลบ หลิววั่นลี่มองไปหาภรรยาอีกหนแล้วกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งชีวิต เจ้ารีบหนีไปกับหลิวจวินเถิด ดูแลลูกของพวกเราให้ดี อย่าได้คิดถึงข้าเลย”
น้ำตาแวววาวคลออยู่ในดวงตาของหลิวฮูหยิน “ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ทัพเล่า”
หลิววั่นลี่ทรุดนั่งบนเก้าอี้อย่างหดหู่ ตอบว่า “ข้าได้รับบัญชาให้พิทักษ์ด่านหูกวน ยามนี้พลทหารทั้งหลายต่างพลีชีพเพื่อแว่นแคว้น ข้าจะมีหน้าหนีเอาตัวรอดได้เช่นไร”
หลิวฮูหยินส่งหลิวไหวไว้ในมือหลิวจวินอย่างนิ่งสงบ จากนั้นชักมีดสั้นเล่มหนึ่งมาจากตรงเอว จ่อตรงหัวใจ องครักษ์คนสนิททุกคนร้องตะโกนอย่างตกตะลึง หลิวไหวร้องไห้ดังลั่น หลิววั่นลี่อยากจะลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าสองขาไร้เรี่ยวแรง สองวันนี้เขาใช้พละกำลังทั้งหมดไปจนสิ้นแล้ว เมื่อนั่งลงจึงไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นอีก เขาเอื้อมมือไปหาหลิวฮูหยิน ร้องถามอย่างตกตะลึง “ฮูหยิน เจ้าจะทำสิ่งใด”
หลิวฮูหยินเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย “ท่านพี่ ข้ามิเคยร่ำเรียนขี่ม้ายิงธนู จะติดตามองครักษ์คนสนิททั้งหลายฝ่าวงล้อมได้เช่นไรเล่า แทนที่จะให้แม่ลูกไปตายด้วยกัน มิสู้ให้หลิวจวินคุ้มครองไหวเอ๋อร์หนีรอดไป ให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านพี่เถิด”
หัวใจของหลิววั่นลี่ร่ำไห้ ทราบว่าฮูหยินกล่าวไม่ผิด เขาเองก็เป็นคนเด็ดขาดจึงโบกมือเอ่ยว่า “หลิวจวิน พาไหวเอ๋อร์ไปเถิด”
หลิวจวินกับองครักษ์คนสนิททั้งหลายต่างน้ำตานองหน้า คุกเข่าคำนับสองครั้งก็ถอดชุดเกราะ หลิวจวินผูกหลิวไหวไว้ด้านหน้าแล้วพาองครักษ์ทั้งหลายบุกฝ่าออกไป ด้านนอกทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงตะโกนเข่นฆ่ากับเสียงกีบเท้าอาชาดังอื้ออึงจนหูแทบดับ เสียงของพวกหลิวจวินหายไปท่ามกลางเสียงความโกลาหลอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
หลิววั่นลี่รู้สึกว่าทั้งร่างอ่อนแรงล้มพิงบนเก้าอี้ ไม่มีแรงเอ่ยแม้แต่คำเดียว หลิวฮูหยินกลับเยือกเย็นยิ่งนัก นางกระชากม่านในห้องโถงทั้งหมดมากองรวมกัน แล้วราดน้ำมันจากโคมไฟ จากนั้นส่งคบเพลิงแท่งหนึ่งให้หลิววั่นลี่ หลิววั่นลี่รู้สึกราวกับหัวใจจะขาดรอน เขากอดเรือนร่างอรชรของภรรยาเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าผิดต่อเจ้า”
หลิวฮูหยินยิ้มน้อยๆ “ท่านพี่ วันที่ท่านกับข้าผูกเส้นผม เคยสัญญากันว่าจะอยู่เคียงคู่จนผมขาวโพลน วันนี้ท่านแม่ทัพผมขาวแล้ว ข้าย่อมรักษาสัญญา พวกเราสามีภรรยาร่วมเป็นร่วมตาย ท่านแม่ทัพสมควรดีใจจึงจะถูก”
หลิววั่นลี่คำรามอย่างเจ็บปวด แล้วยกมือโยนคบไฟแท่งนั้นลงบนเชื้อเพลิงกองนั้น เปลวเพลิงลุกลามอย่างรวดเร็วอย่างยิ่ง หลิววั่นลี่กลับราวกับไม่รู้สึกรู้สา กอดภรรยารักร่ำไห้อย่างรวดร้าว หลิวฮูหยินกลับหลับตาพริ้มอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของสามี บนใบหน้าประดับรอยยิ้มมีความสุข แสงเปลวเพลิงส่องกระทบดวงหน้างามของนาง ทำให้รอยยิ้มของนางยิ่งงามตรึงตรา เปลวเพลิงลุกโหมล้อมร่างของทั้งสองคนอย่างว่องไว เปลวเพลิงลุกโหมแลบเลียเลื้อยโอบเชื่อมกับเปลวเพลิงที่ทยอยลุกไหม้ทั่วทุกแห่งหนของด่านหูกวน ด่านหูกวนทั้งหมดกลายเป็นทะเลเพลิง ควันดำลอยขโมง แสงอัคคีส่องสว่างวูบวาบ ก่อนที่ด่านหูกวนจะสั่นไหวพังถล่มกลางกองเพลิง
จิงฉือผู้ถูกทะเลเพลิงบีบให้ล่าถอย ถลึงตามองด่านหูกวนที่ตกอยู่ในทะเลเพลิงอย่างเคืองแค้น ในใจเคียดแค้นกว่าเดิม ตามแผนการของเจียงเจ๋อ ด่านหูกวนต้องเป็นด่านสำคัญที่กองทัพต้ายงยึดไว้ ขอเพียงคุมด่านหูกวนได้ กองทัพเป่ยฮั่นก็จะมิอาจตัดเสบียงเสริมของจิงฉือได้ ทว่าวันนี้ด่านหูกวนถูกพระเพลิงทำลายลงแล้ว อยากจะคุมที่แห่งนี้ย่อมยากลำบากอยู่มาก
ความเคียดแค้นที่อัดแน่นในหัวใจ ทำให้จิงฉือยิ่งตัดสินใจเด็ดขาดว่าระหว่างทางจักต้องเปิดฉากเข่นฆ่าครั้งใหญ่ให้ทหารและประชาชนเป่ยฮั่นมิกล้าต่อต้านเช่นนี้อีก หลินหยากลับทำหน้าขมขื่น แม้เขาไม่พอใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจเช่นนี้ของจิงฉือ เพราะเขาคิดว่าหากมิใช่จิงฉือแสดงออกว่าจะมิละเว้นคนยอมจำนน กองทหารเป่ยฮั่นก็ไม่แน่ว่าจะต่อต้านจนตัวตายเช่นนี้ แต่มิว่าอย่างไรการที่ด่านหูกวนถูกตีแตก มากกว่าครึ่งหนึ่งก็เป็นคุณงามความชอบของจิงฉือ ตนเองจะทำเช่นไรได้อีกเล่า
เดือนสาม วันที่ยี่สิบเก้า ณ ชิ่นหยวน ภายในกระโจมแม่ทัพของกองทัพเป่ยฮั่น หลงถิงเฟยพลิกอ่านรายงานข่าวการศึกในมือ หัวคิ้วขมวดเป็นปม แม้คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่ากองทัพเป่ยฮั่นคงมิอาจขัดขวางการรุกคืบของจิงฉือได้ แต่ความเสียหายหนักหนาเช่นนี้ก็ยังทำให้หลงถิงเฟยเห็นแล้วตกตะลึง
‘เดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่ จิงฉือบุกตีซั่งตั่ง ยาตราทัพสังหารแม่ทัพผู้พิทักษ์ซั่งตั่ง พลทหารที่ปกป้องเมืองล้วนถูกฆ่าล้างบาง กองทัพเจิ้นโจวทิ้งกำลังพลส่วนหนึ่งไว้เฝ้าด่านหูกวน กำลังหลักเข้ายึดเมืองซั่งตั่ง กำลังพลของจิงฉือเดินทางผ่านซั่งตั่งโดยไม่เข้าไปในเมือง ระหว่างทางผ่านเมืองและด่านสิบกว่าแห่ง ผู้ที่ต่อต้านล้วนถูกฆ่าล้างบางหมดสิ้น
เดือนสาม วันที่ยี่สิบหก จิงฉือยกทัพผ่านลู่เฉิง ประกาศว่าหากมิยอมจำนน หลังเมืองแตกจะฆ่าล้างบางทั้งเมือง แม่ทัพผู้ปกป้องลู่เฉิงยอมจำนน จิงฉือจึงเดินทัพผ่านเมือง มุ่งตรงไปยังเซียงหยวน
เดือนสาม วันที่ยี่สิบเจ็ด จิงฉือเผาเซียงหยวน แม่ทัพผู้พิทักษ์เซียงหยวนพลีชีพเพื่อแว่นแคว้น คาดว่าเดือนสาม วันที่ยี่สิบเก้า ยามเว่ย[1] จิงฉือจะบรรลุถึงชิ่นหยวน สองทัพของต้ายงใกล้จะรวมพลกัน’
[1] ยามเว่ย 13.00-15.00 น.