ตอนที่ 220-1 พี่น้องได้พบหน้า

ฟ้าเพิ่งสาง ในบ้านหลังเล็กผุๆ พังๆ หลังหนึ่งทางตอนเหนือของเมือง กลุ่มควันจากการทำอาหารลอยออกมาจากปล่องไฟ

ภายในห้องที่ลมลอดผ่านได้ มีบุรุษหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ขาหายไปครึ่งหนึ่ง สีหน้าเขาดูเคร่งเครียด อารมณ์ยามตื่นนอนช่างไม่ดีเอาเสียเลย!

“อาต๋าเอ่อร์ ช้อนข้าเล่า”

บุรุษหนวดเฟิ้มที่ถูกเรียกว่าอาต้าเอ่อร์เผยอเปลือกตาขึ้นมอง “ข้าไม่เห็น”

“พวกเจ้าเล่า” บุรุษหนุ่มหันไปถลึงตาดุใส่ชายชุดดำคนอื่นในห้อง ทั้งหมดส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว

ชายชุดดำที่ทำหน้าที่เป็นสารถีบอกว่า “ใต้เท้า เมื่อวานท่านไม่ได้ให้ของชิ้นหนึ่งกับสตรีนางนั้นไปหรือ ใช่ว่าให้ไปผิดอัน เอาช้อนไปให้นางแทนหรือไม่”

บุรุษหนุ่มทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ บนใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววดุร้ายขึ้นมาให้เห็น แต่เพราะถูกหน้ากากบดบังไว้ เลยน่าจะไม่มีใครเห็น เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าจะทำเรื่องผิดพลาดชั้นเลวเช่นนั้นได้อย่างไร ออกไปหามาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ถ้าหาไม่เจอ ตอนกลับมาอย่าลืมถือหัวตัวเองมาด้วย!”

“ขอรับ!”

ทุกคนกระจายตัวออกไปเป็นแตนแตกรัง

สายตาเย็นยะเยือกของบุรุษหนุ่มมองไปที่อาต๋าเอ่อร์ “เจ้าก็ไปด้วย”

อาต๋าเอ่อร์เลยออกไปอีกคน เขาเดินเข้าไปในห้องครัว ชายชุดดำคนหนึ่งเดินถือกล่องไม้ไผ่ใส่ตะเกียบเข้ามาหา “ผู้พิทักษ์ซ้าย ท่านลองดู”

ในกล่องไม้ไผ่มีตะเกียบทองอยู่สองข้าง กับขลุ่ยทองลำหนึ่ง อาต๋าเอ่อร์ใช้หัวแม่โป้งคิดก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น อาต๋าเอ่อร์เอาขลุ่ยไปซ่อนไว้ในอกเสื้อด้วยท่าทีเรียบเฉยก่อนจะส่งสายตาบอกให้ทุกคนเงียบปากไว้ห้ามพูดอะไรเด็ดขาด “หาต่อไป”

ใต้เท้าเจ้าสำนักที่หาช้อนแสนรักไม่เจอกำลังอารมณ์เสียยิ่งนัก เมื่อจัดการอาหารมื้อเช้าพอเป็นพิธีเสร็จก็รีบไปที่บ้านตระกูลจีทันที

ยามกลางวัน คนในบ้านตระกูลจีต่างยุ่งกันจนหัวหมุน มีชาวไร่ชาวนาจำนวนไม่น้อยที่มาจากแดนไกลเพื่อนำเป็ดวัวแพะมามอบให้และกำลังเร่งรีบขับรถวัวของตนผ่านไป สถานที่ที่เมื่อวานตนเข้าไป วันนี้ดูจะคึกคักอย่างประหลาด ดูท่าคงจะผลีผลามเข้าไปไม่ได้

รถม้าวิ่งวนรอบบ้านตระกูลจีเพื่อหาจุดที่อับสายตา คนผ่านไปมาน้อย ต่อให้เสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครพบเห็น

“อาต๋าเอ่อร์ เจ้าว่าเหตุใดนางถึงไม่ติดต่อข้า เจ้าไม่ได้บอกว่าคนจงหยวนโลภมากไม่รู้จักพอหรอกหรือ นางจะไม่มีอะไรอยากให้ข้าช่วยเหลือจริงๆ น่ะหรือ”บุรุษหนุ่มหรี่ตาคู่งามของตนลงเล็กน้อย

อาต๋าเอ่อร์ลูบขลุ่ยที่อยู่ในอกเสื้อแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “บางทีนางอาจจะยังคิดไม่ตก”

บุรุษหนุ่มขยับยกริมฝีปากที่แดงระเรื่อยิ่งกว่าสตรีขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่าหลงใหล “หึ ยังคิดไม่ตกก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยนางคิดเอง”

รถม้าหยุดจอดในตรอกที่เงียบงัน ด้านหนึ่งของตรอกนี้เป็นที่พักอาศัยของบ่าวไพร่ในบ้าน อีกด้านหนึ่งเป็นกำแพงที่ล้อมรอบลานขนาดใหญ่ของบ้านตระกูลจี

คนรถยังคงใช้หลังต่างเก้าอี้ให้ผู้เป็นนายเช่นเดิม

บุรุษหนุ่มเหยียบเก้าอี้ลงจากรถม้า ชายชุดเขาเฉียดผ่านพื้นหินสีน้ำเงินที่เย็ดจัด อาภรณ์สีดำตลอดร่างแผ่ประกายหรูหราระยิบระยับออกมาให้เห็น

เขาเข้าไปยืนอยู่ใต้ชายคาสูง

อาต๋าเอ่อร์ก็เข้ามายืนด้วย

ทั้งสองมองไปยังกำแพงรั้วรอบที่สูงกว่าครึ่งจั้ง อาต๋าเอ่อร์พูดขึ้นว่า “สูงกว่าเมื่อวานหนึ่งฉื่อสามชุ่น”

บุรุษหนุ่มเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเข้าไปพร้อมกับข้าได้”

อาต๋าเอ่อร์ “อันที่จริงท่านน่าจะรู้ว่า นอกจากท่านแล้ว พวกเราทุกคนไม่มีใครเข้าไปได้”

บ้านตระกูลจี เป็นสถานที่ต้องห้ามของพวกเขาตลอดไป

บุรุษหนุ่มกระตุกมุมปากอย่างดูแคลน ลมหนาวพัดผ่าน ชายเสื้อสีดำสนิทของเขาปลิวสะบัดตามแรงลม ตามตัวมีกลิ่นอายแห่งยอดฝีมือแผ่ออกมา “ข้าเข้าไปเองก็แล้วกัน ไม่ใช่สูงกว่าแค่หนึ่งฉื่อสามชุ่นหรอกหรือ จะมีอะไรยากกัน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กำแพงเท่านั้น แค่นี้คิดว่าจะขวางข้าได้หรือ ดูถูกข้าเกินไปหน่อยแล้ว!”

ผ่านไปหนึ่งเค่อ บันไดสีทองอร่ามก็ถูกยกขึ้นเทียบกับกำแพง…

สวินชิงเหยาหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไรนัก ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็รู้สึกตัวตื่น เสี่ยวชุ่ยยังนอนหลับอยู่ นางไม่อยากรบกวนเสี่ยวชุ่ย จึงออกไปเดินเล่นที่ลานด้านหน้า เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เงาคนในชุดดำก็เข้ามาขวางหน้านางไว้

ลมอ่อนๆ พัดมาจากด้านหลัง กลิ่นหอมที่ยวนใจคนค่อยๆ ส่งกลิ่นอวลอยู่ในอากาศ ไม่ต้องเห็นหน้า แค่ได้กลิ่นสวินชิงเหยาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

สวินชิงเหยาสะดุ้งตกใจ หันมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นสาวใช้จึงค่อยนึกโล่งอก แต่นางไม่กล้าประมาท จึงก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีก”

ซ้ำยังเลือกมากลางวันแสกๆ เสียด้วย!

ริมฝีปากที่แดงระเรื่อของบุรุษหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย มุมปากทำมุมเป็นองศาที่น่าหลงใหลและสง่างาม “สถานที่บ้าๆ นี้ ข้าอยากมาเมื่อไรก็ได้”

เหตุใดถึงรู้สึกว่าเขาตอบไปคนละเรื่องเลยนะ!

สวินชิงเหยากลัวใครจะมาเห็นเข้า จึงพาเขาไปอยู่หลังภูเขาจำลอง ด้านหลังภูเขาจำลองเป็นกำแพงลาน ข้างหน้าเป็นลานกว้าง ต่อให้มีคนมาที่นี่พวกนางก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน จะได้พร้อมไหวตัวตลอดเวลา

“ผ่านมาสองคืนแล้ว แม่หญิงน้อยคิดออกหรือยังว่าอยากให้ข้าทำอะไร” บุรุษหนุ่มพูดพร้อมดวงตาที่ดูยิ้มแย้ม แต่แววขบขันของเขามักดูไปไม่ถึงดวงตาอย่างไรชอบกล คล้ายเป็นดวงตาที่ยิ่งยิ้มก็ยิ่งเย็นยะเยือก

สวินชิงเหยาขนลุกไปหมด นางตั้งสติก่อนเอ่ยว่า “ถ้าหาก…ถ้าหากข้าขอให้เจ้าช่วย เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรเป็นการตอบแทน”

บุรุษหนุ่มหรี่ตาคู่งามของตนลง “เรื่องนี้ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้”

สวินชิงเหยาเอ่ยตะกุกตะกัก “เช่น…เช่นนั้น หากเจ้าให้ข้าไปฆ่าไปแกงใคร ข้าก็ต้องรับปากอย่างนั้นหรือ”

บุรุษหนุ่มใช้สายตากวาดมองอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย “แขนขาเล็กเรียวอย่างเจ้า จะให้ไปฆ่าไปแกงใครได้หรือ”

“เช่นนั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่เล่า” สวินชิงเหยาถามด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้เวลานี้นางมีเรื่องอยากให้อีกฝ่ายช่วยจริงๆ แต่หากสิ่งที่นางต้องทำเป็นการตอบแทนนั้นหนักหนาเกินไป นางก็ไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง

“ก็บอกแล้วว่าเวลานี้ยังบอกเจ้าไม่ได้” สายตาของบุรุษหนุ่มหยุดมองใบหน้าที่ตื่นกลัวจนมีเหงื่อซึมออกมา “ดูท่าเจ้าคงรู้แล้วว่าตัวเจ้าปรารถนาสิ่งใด ว่ามาเถิด ต้องการให้ข้าทำอะไรให้”

สวินชิงเหยาลังเลเล็กน้อย ในใจรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องร้องขอให้สิ่งที่เกินสมควรแน่นอน แต่ใจลึกๆ กลับมีความหวังอยู่เล็กน้อย… บางทีอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตนคิดไว้ สุดท้ายนางจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกคำตอบของตนออกมา “ข้าอยากแต่งงานกับแม่ทัพน้อยมู่แห่งหนานฉู่”

“เจ้าหนุ่มขนเหลืองนั่นน่ะนะ…” ดวงตามากเสน่ห์ของบุรุษหนุ่มมีแววดูแคลน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขบขันอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้มีอะไรยากกัน”

“เจ้ามีวิธี? เจ้า…เจ้ามีวิธีจริงๆ หรือ” สวินชิงเหยาตกใจเป็นที่ยิ่ง คนที่นางอยากแต่งงานด้วยคือแม่ทัพน้อยแห่งหนานฉู่เชียวนะ หลี่ซื่อก็ถูกใจอีกฝ่ายแทนบุตรสาวเช่นกัน แต่กระนั้นแม้แต่หลี่ซื่อก็ยังไม่กล้าบอกว่าตนมั่นใจเท่าไรนัก นางเป็นเพียงคุณหนูจากกูซู ไม่มีตระกูลจีอยู่เบื้องหลัง ไม่มีตระกูลมารดาคอยให้ท้าย นางกับแม่ทัพน้อยแห่งหนานฉู่เรียกได้ว่าห่างไกลกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน เหตุใดเรื่องที่ดูยากเย็นเพียงนี้ เขาถึงเอ่ยออกมาได้ดูง่ายดายราวกับชี้นิ้วสั่ง

บุรุษหนุ่มเห็นสีหน้าของสวินชิงเหยาอย่างชัดเจน ใจคิดว่าญาติผู้โง่เขลาของตระกูลจี แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังกล้าเอามาบอกว่าเป็นความปรารถนา ขี่ช้างจับตั๊กแตกโดยแท้

บุรุษหนุ่มหยิบขวดสองขวดจากอกเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ ขวดหนึ่งใหญ่ ขวดหนึ่งเล็ก “นี่เรียกว่ากู่ครองรัก ขวดใหญ่เป็นแมลงตัวเมีย ขวดเล็กเป็นแมลงผู้ แมลงตัวเมียใส่ไว้ในตัวเจ้าเอง ส่วนแมลงตัวผู้เจ้าหาทางเอาไปใส่ที่ตัวบุรุษคนนั้น”

“ใช้อย่างไร” สวินชิงเหยาถาม

บุรุษหนุ่มตอบว่า “เอาใส่บนตัวก็พอ”

สวินชิงเหยามองขวดบนโต๊ะด้วยความไม่เข้าใจ “ใช้แล้วจะเป็นอย่างไร”

ริมฝีปากแดงของบุรุษหนุ่มพลันยกขึ้น “เมื่อใช้แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นเจ้านายของแมลงในสองขวดนี้ ภายในสามวัน เขาจะมีใจหลงรักเจ้า ขอเพียงเขาเอ่ยขอเจ้าแต่งงานต่อหน้าธารกำนัล หลังจากนั้นต่อให้ยานี้หมดฤทธิ์ เขาก็ไม่เหลือทางให้กลับตัว”

สวินชิงเหยามองขวดทั้งสองที่เอาเข้าจริงดูไม่ต่างกันเท่าไรนัก “สองขวดนี้หน้าตาคล้ายกันยิ่งนัก หากใช้ผิดจะทำอย่างไร”

บุรุษหนุ่มเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ไม่เป็นไร แมลงตัวเมียจะกัดเพียงสตรี แมลงตัวผู้ก็กัดเพียงบุรุษ ต่อให้ใส่ผิดก็ไม่เป็นอะไร เจ้าแค่เก็บกลับมาอย่างเดิมก็พอ”

สวินชิงเหยาถามด้วยความกังวล “แต่หากทำเช่นนี้ เมื่อเขาได้สติ เขาจะไม่กล่าวโทษข้าหรือ”

บุรุษหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจ”

“แต่ว่า…”

“เอาล่ะ ข้าหาวิธีให้เจ้าแล้ว เจ้าควรคืนของของข้ามาได้แล้ว”

สวินชิงเหยากำลังตกใจอยู่กับกู่ครองรัก จึงไม่ได้พูดเรื่องที่ขลุ่ยกลายเป็นช้อนกับเขา เพียงคืนกล่องผ้าให้เขาไปเฉยๆ

บุรุษหนุ่มรับกล่องผ้าไหมนั้นมาแล้วออกจากบ้านตระกูลจีไป

เมื่อขึ้นรถแล้ว เขาจะเปิดกล่องออกดู

จู่ๆ อาต๋าเอ่อร์ก็ชี้ไปนอกรถ “ท่านดูสิ!”

“ดูอะไร” บุรุษหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง

อาต๋าเอ่อร์เปิดกล่องผ้าไหม หยิบช้อนออกมาแล้วเอาขลุ่ยใส่เข้าไปแทน บุรุษหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความงงงวย พอดึงสายตากลับมาเปิดกล่องดูอีกทีแล้วได้เห็นขลุ่ยสีเหลือทองที่คุ้นตา เขาก็ระบายยิ้มกว้างออกมาทันที “ก็ว่าอยู่ คนมีสติปัญญาเช่นข้า จะหยิบผิดได้อย่างไร”

หลังจากกินมื้อเช้า ทุกคนทยอยกันไปคารวะจีเหล่าฮูหยินที่เรือนลั่วเหมย เพราะต้องมาหารือเรื่องการแต่งงานของพวกเด็กๆ จีซวงจึงหอบเอาท้องโตๆ ของนางมาด้วย

เมื่อบรรยากาศคึกคักเพียงนี้ ย่อมจะขาดเจินซื่อไปไม่ได้ และเจินซื่อก็ลากเอาบุตรสาว สวินชิงเหยามาด้วย

เรื่องการแต่งงาน ผู้อาวุโสหารือกันก็พอ พวกคุณหนูสบายใจจะอยู่ที่ใดก็อยู่ไป จีเหล่าฮูหยินให้หรงมามาเอากระดานหมากล้อมกับอุปกรณ์เครื่องเขียนมาวางไว้ที่ห้องด้านข้าง เพื่อให้คุณหนูทั้งหลายฆ่าเวลาอยู่ในนั้น

ภายในลาน ซาลาเปาน้อยทั้งสองวิ่งเล่นไปมา มีเสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ คนที่ได้ฟังพลันอารมณ์ปรอดโปร่ง

จีเหล่าฮูหยินถามหลี่ซื่อว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว หลี่ซื่อจึงบอกเล่าตัวเลือกของคุณหนูทั้งสองให้ทุกคนฟัง

เริ่มจากเอ่ยถึงตัวเลือกของจีหว่านอวี๋ก่อน

หลี่ซื่อคัดเลือกคุณชายจากตระกูลใหญ่มาจำนวนหนึ่ง หงฮูหยินช่วยนางคัดออกให้ในรอบแรก คนที่มีนิสัยประหลาด หน้าตาดูดุดันล้วนถูกนางคัดออกไปหมด ในบรรดาสามคนที่เหลือมีคนหนึ่งเป็นท่านอ๋องเก้าแห่งจวนองค์หญิงหลินอันนามหลี่อวี้ ทุกคนพอรู้จักคนผู้นี้อยู่บ้าง เขาเป็นศิษย์น้องจากจีหมิงซิว เรื่องรูปลักษณ์ชาติตระกูลไม่มีอะไรให้ติติง นิสัยก็แข็งพอตัว มีเพียงความอาวุโสที่ห่างจากหว่านอวี๋อยู่รุ่นหนึ่ง

มารดาของจีหมิงซิวเป็นเสด็จอาเล็กของฮ่องเต้ จีหมิงซิวกับฮ่องเต้และองค์หญิงหลินอัน (มารดาของหลี่อวี้) อยู่ในรุ่นเดียวกัน น้องสาวของจีหมิงซิวก็ย่อมอยู่ในรุ่นเดียวกับพวกเขา เวลาหลี่อวี้ได้พบหว่านอวี๋ ยังต้องเรียกขานด้วยความเคารพว่าท่านน้าด้วยซ้ำ

ถึงแม้จะบอกว่าหลินซูเยี่ยนกับจีหว่านก็เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความไม่สนใจโลกเช่นเดียวกับจีหว่าน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความกล้าฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมเช่นเดียวกับหลินซูเยี่ยน สิ่งสำคัญที่สุดคือ จิตสัมพันธ์ระหว่างหลี่อวี้กับจีหว่านอวี๋

ซึ่งข้อนี้คงไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเฉียวเวย

คนที่หลี่อวี้หมายปองคือตัวหลัวหมิงจู การที่จีหว่านอวี๋เข้าไปแทรกกลางย่อมไม่มีเรื่องความสุขให้เอ่ยถึง

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิม “ข้าเคยได้ยินหมิงซิวบอกเด็กคนนั้นดูเหมือนจะสนิทสนมกับตระกูลตัวหลัว”

ตระกูลตัวหลัวมีบุตรสาวสามคนด้วยกัน บุตรสาวคนโตหมั้นหมายกับยิ่นอ๋องไปแล้ว บุตรสาวคนรองร่างกายอ่อนแอ ชื่อสกุลยังอยู่ในห้องหับ บุตรสาวคนที่สามซุกซนเที่ยวเล่นไปเรื่อย กลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน หลี่อวี้ไม่เป็นขุนนาง ไม่ทำศึกอย่างคนอื่นๆ ในตระกูล เหตุใดเขาถึงสนิทสนมไปมาหาสู่กับตระกูลตัวหลัว ทุกคนแค่ลองคิดดูก็พอจะรู้ได้

หลี่อวี้จึงถูกปัดตกไป

ที่เหลืออีกสองคนฐานะสูงศักดิ์สู้หลี่อวี้ไม่ได้ แต่กลับเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่คู่ควรกับตระกูลจี

คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโตสายหลักของจวนหลี่กั๋วกง อีกคนหนึ่งเป็นหลานชายคนรองสายหลักของจวนไท่ซือ

จวนหลี่กั๋วกงตระกูลหลีกับตระกูลจีนับว่ามีมิตรสัมพันธ์ต่อกัน ต้นสายสัมพันธ์ของพวกเขาสามารถย้อนไปได้ไกลถึงหนึ่งร้อยปีก่อน ตั้งแต่สมัยติดตามฮ่องเต้ฉงจงกรีฑาทัพขึ้นเหนือล่องใต้ไปออกศึก ตระกูลจีกับตระกูลหลีเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฮ่องเต้ฉงจงมาด้วยกัน ตระกูลจีรับใช้สายบุ๋น ตระกูลหลีรับใช้สายบู๊ ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊สมัครสมานสามัคคีกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ราชสำนักเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำศึกที่ใดล้วนได้รับชัยชนะ จิตใจชาวประชาหนักแน่น ขวัญกำลังใจสูงส่ง มิตรสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น

ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ ตระกูลจียังคงเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียงอย่างไม่มีผู้ใดอาจสั่นคลอน ส่วนตระกูลหลีด้วยเพราะมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ทำให้เป็นที่หวาดระแวงของฮ่องเต้ทั้งสองรัชสมัย เมื่อมาถึงรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์นี้ ได้มีการยกตระกูลตัวหลัวขึ้นมาคานอำนาจกับตระกูลหลี โดยส่วนตัวแม่ทัพตัวหลัวกับตระกูลจีมีสัมพันธ์ต่อกันที่ไม่เลว แต่เมื่ออยู่ในราชสำนัก อำนาจของตระกูลหลีนับว่าถูกลดทอนลงไปมากจริงๆ

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ตระกูลหลีก็นับว่าเป็นตระกูลสามีที่หาได้ยากยิ่ง เพราะต่อให้กวาดตามองไปทั่วต้าเหลียง ก็หาตระกูลใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เทียบเทียมตระกูลจีไม่ได้ นอกจากจีหว่านอวี๋จะแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องแต่งเข้าตระกูลที่ฐานะต่ำต้อยกว่า แต่ตระกูลจีจะทำใจส่งคุณหนูผู้แสนบอบบางไปทนทุกข์กับกฎเกณฑ์ในวังหลวงได้อย่างไร

บุตรชายคนโตตระกูลหลีผู้นี้ไม่เลวทั้งนิสัยและความรู้ เขาไม่ได้เดินไปตามทางสายบู๊ แต่ศึกษาเล่าเรียนทางสายบุ๋น ได้เป็นปั้งเหยี่ยนในการสอบเคอจวี่เมื่อคราที่แล้ว เวลานี้ทำหน้าที่เป็นอาลักษณ์อยู่ในสำนักศึกษาฮั่นหลิน ได้ยินว่าทั้งหงหลูซื่อ[1]และกรมพิธีการต่างหมายตาเขา อยากแย่งตัวไปอยู่ในหน่วยของตนด้วย

“นับว่าเป็นคนหนุ่มมีความสามารถ” จีเหล่าฮูหยินเอ่ย

ทุกคนพยักหน้าตาม ใช่แล้ว ถ้าไม่เทียบกับคนสติไม่ดีอย่างหมิงซิวนั่น คุณชายหลีผู้นี้ก็นับว่ามีความสามารถน่าชื่นชมแล้ว

หนำซ้ำเขายังเป็นบุตรชายคนโตสายหลัก หากจีหว่านแต่งงานกับเขา วันหน้าก็จะได้เป็นนายหญิงแห่งจวนหลี่กั๋วกง

“อีกคนเป็นใครมาจากไหนหรือ” จีเหล่าฮูหยินถาม

หลี่ซื่อตอบว่า “เป็นหลานชายคนรองสายหลักของผังไท่ซือเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยพอรู้จักจวนไท่ซืออยู่บ้าง ท่านตาของศิษย์น้องหญิงเล็กก็คือผังไท่ซือนี่เอง ดูจากฐานะครอบครัวและลำดับรุ่นแล้วไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แค่เพียงไม่รู้ว่าที่ตนแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักของบุตรเขยผังไท่ซื่อมา ผังไท่ซือจะผูกใจเจ็บจนเมื่อแต่งงานไปจะสร้างความลำบากให้หว่านอวี๋หรือไม่

ผังไท่ซือมีบุตรชายสายหลักเพียงคนเดียว หลานชายคนรองสายหลักผู้นี้ก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวกับบุตรชายสายหลักของเขาอีก หลานชายคนโตเกิดจากอนุ ในอนาคตไม่อาจสืบทอดตระกูลได้ ดังนั้นต่อให้เป็นหลานชายคนรอง เมื่อหว่านอวี๋แต่งงานเข้าไป วันหน้าก็จะยังคงได้เป็นนายหญิงแห่งตระกูลผังอยู่ดี

ต่อให้เป็นคนเลือกมากเช่นจีซวง เวลานี้ก็จำต้องยอมรับว่าหลีซื่อตั้งใจเฟ้นหาสามีในอนาคตให้หว่านอวี๋จริงๆ

ส่วนคนที่เลือกให้จีหรูเย่ว์นั้นไม่ได้โดดเด่นเท่าของหว่านอวี๋ ตระกูลที่นางไปเป็นนายหญิงได้ ฐานะไม่สูงส่งพอ ตระกูลที่ฐานะสูงส่งพอ หรูเย่ว์ก็ไปเป็นนายหญิงของตระกูลไม่ได้ แต่แน่นอนว่าทุกคนย่อมเป็นคุณชายสายหลัก บุตรสาวตระกูลจี ต่อให้เป็นบุตรสาวสายรองก็ยังฐานะสูงส่งกว่าคุณหนูสายหลักตระกูลอื่นมากนัก

ไม่นานก็มีการเอ่ยถึงแม่ทัพน้อยตระกูลมู่

“สองแคว้นแต่งงานสานสัมพันธ์กันได้แล้วหรือ” จีเหล่าฮูหยินถาม

หลี่ซื่อบอกว่า “หากแต่งไม่ได้ หงฮูหยินคงไม่เอาภาพเหมือนของเขามาให้พวกเราดูเจ้าค่ะ ข่าวตามซอกเล็กซอกน้อยเหล่านี้ นางว่องไวกว่าพวกเรามากนัก”

จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า

[1] หงหลูซื่อ คือหน่วยงานราชการสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ดูแลเรื่องระเบียบธรรมเนียม การประชุม การเข้าเฝ้าในท้องพระโรง