คิดถึงเท่านี้ พงศกรก็กำหมัดแน่น หลังจากนั้นก็ใช้กำปั้นหนึ่งข้างทุบลงที่โต๊ะ
เนื่องจากออกแรงมากเกินไป ทำให้ข้อมือของเขาแตก เลือดสดไหลออกมา
แต่ราวกับว่าพงศกรไม่รู้สึก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออก
ไม่นาน ปลายสายก็รับโทรศัพท์ “คุณพงศกร”
“นายเช็คให้ฉันหน่อยว่าคู่สามีภรรยาเสนันท์ยังอยู่ที่บ้านหรือเปล่า?” พงศกรกำโทรศัพท์แน่น ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก
ปลายสายพยักหน้าตอบรับ “ครับ”
พงศกรวางโทรศัพท์ลง นัยน์ตาอึมครึมไร้แสงสว่าง
ผ่านไปประมาณสองถึงสามนาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พงศกรยกโทรศัพท์แนบข้างหูด้วยสีหน้าเฉยชา “เช็คเรียบร้อยหรือยัง?”
“เช็คเรียบร้อยแล้วครับคุณพงศกร คู่สามีภรรยาเสนันท์ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วจริงๆ ครับ ผมตั้งใจขึ้นไปด้านบนเพื่อสอบถาม ได้ยินเพื่อนบ้านได้บอกว่า คู่สามีภรรยาเสนันท์เมื่อเช้านี้ได้ขายไปบ้านแล้วย้ายออกไปอย่างเร็วเลยครับ ส่วนย้ายไปที่ไหน อันนี้ก็ไม่ทราบครับ”
หลังจากได้ยินเสร็จ ใบหน้าของพงศกรก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร มีแค่ความรู้สึกลึกๆ ไม่แยแส
อย่างที่คิด สามีภรรยาคู่นี้ก็ไปแล้ว
ดี ดีมาก
ปาจรีย์ เธอเก่งมาก!
พงศกรยิ้มอย่างดุร้าย แล้วตัดสายโทรศัพท์
ปาจรีย์นะปาจรีย์ เธอคิดว่าเธอหนีแล้ว ฉันจะหาเธอไม่เจอเหรอ?
รอก่อนเถอะ ต่อให้โลกนี้กลับด้านกัน เขาก็หาเธอจนเจอ
ถึงตอนนั้น เขาจะทำให้เธอเสียใจที่วันนี้เธอหนีไป!
อีกฝั่ง บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
มารุตผลักประตูเดินเข้าไปในห้องทำงานของนัทธี “ประธานนัทธีครับ ครอบครัวคุณปาจรีย์ออกไปเรียบร้อยแล้วครับ”
นัทธีที่กำลังจัดการเอกสาร เมื่อได้ยิน ก็ไม่ได้เงยหน้าแล้วตอบกลับ “รู้แล้ว”
หน้าที่ของเขาคือส่งครอบครัวของปาจรีย์พวกเขาออกไป ตอนนี้ครอบครัวพวกเขาไปแล้ว อย่างนั้นเรื่องอื่น เขาก็ไม่สนใจ
มารุตมองที่นัทธี “แต่ประธานนัทธีครับ คนที่เราให้ไปอยู่ที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ของคุณปาจรีย์ฝั่งนั้น เพิ่งส่งข่าวมาว่า มีคนไปสอดดูที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ของคุณปาจรีย์ครับ ผมเดาว่าน่าจะเป็นคนของคุณหมอพงศกรส่งไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้ นัทธีก็หยุดปากกาในมือ “ปกติ ปาจรีย์อยู่ที่โรงพยาบาลรุ้งจรัส ไม่เจอปาจรีย์ ไม่ช้าเขาก็ต้องรู้ อีกอย่างปาจรีย์รักพงศกรมากขนาดนี้ ต่อให้จะไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งจดหมายไว้ เพราะฉะนั้นจากที่พงศกรเห็นจากจดหมายที่ปาจรีย์ทิ้งไว้ หลังจากเดาได้ว่าการจากไปของเธอไม่ใช่การจากไปชั่วคราว อาจจะเป็นการจากไปตลอดชีวิต เขาต้องคิดว่าปาจรีย์ต้องเอาพ่อแม่ไปด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก บางทีเขาอาจจะรู้แล้ว ว่าฉันเป็นคนช่วยปาจรีย์”
“งั้นคุณหมอพงศกรจะไม่มาจัดการท่านเหรอครับ?” มารุตถามด้วยความเป็นห่วง
นัทธีกระตุกมุมปากอย่างเหยียดหยาม “พงศกรเป็นแพทย์ระดับสูง มีเครือข่ายกว้างขวาง ดังนั้นเลยมีกองกำลังมากมายในมือ ปาจรีย์ไม่สามารถรับมือกับเขาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันทำไม่ได้ พงศกรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันสักหน่อย ฉันกลัวการต้านทานกับเขาหรือยังไง?”
เมื่อถูกเขาพูดแบบนี้ มารุตก็คิดเหมือนกัน ก็พยักหน้าโดยไม่เป็นกังวลอีก
“เอาล่ะ นายไปทำงานเถอะ”
“ครับ” มารุตตอบรับ แล้วหันหลังออกไป
นัทธีหยิบโทรศัพท์ขึ้น แล้วเอนหลังพิง โทรหาวารุณี
วารุณีที่กำลังอยู่ในสนามแข่ง กำลังดูแลการแข่งขันอยู่กับลีน่า
เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เธอก็หยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นนัทธีที่โทรเข้ามา ก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ลีน่า” วารุณีตบไหล่ลีน่า
ลีน่าเงยหน้าขึ้นมองเธอ “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกฉัน” วารุณีชี้ไปที่โทรศัพท์
ลีน่ามองเห็นคำว่าสามีสองคำ บนจอโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ ก็ทำหน้าหยอกล้อ “จุ๊ๆๆ ตอนนั้นก็ติดกันทั้งคืน ตอนนี้ตอนกลางวันเวลาทำงานยังโทรตามติดอีก พวกเธอนี่จริงๆ ……”
“เอาล่ะ” วารุณีตัดบทเธออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อย่าพูดจาไร้สาระ นัทธีโทรมาหาฉันแค่จะแจ้งข่าวปาจรีย์ อย่าลืมสิ วันนี้คือวันที่ปาจรีย์จะออกไป “
เมื่อถูกเธอเตือนอย่างนี้ ลีน่าก็นึกขึ้นได้ทันที “ใช่ ฉันเกือบลืมแหนะ”
“เอาล่ะ ฉันไปรับโทรศัพท์ก่อน” วารุณีพูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
พวกเขาเป็นกรรมการ เพียงแค่กลับเข้ามาตามเวลาก็พอแล้ว ดังนั้นการออกไปรับโทรศัพท์กลางคัน ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน
ยังไงซะคนที่แข่งก็ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นผู้เข้าแข่งขัน
วารุณีถือโทรศัพท์เดินไปที่ระเบียง จึงกดรับโทรศัพท์ “ที่รัก”
“พวกปาจรีย์ไปกันแล้ว” เสียงอ่อนโยนของนัทธีกระจายออกมา
วารุณียิ้ม “เหรอคะ?ดีจัง ทุกอย่างราบรื่นดีใช่ไหม?”
“ก็ดี พอไปแล้วพงศกรก็รู้” นัทธีพยักหน้า
หลังจากที่วารุณีได้ยินว่าพงศกรรู้ว่าวารุณีไปกันแล้ว นอกจากถอนหายใจ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าพงศกรจะต้องรู้
ไม่รู้สิถึงจะแปลก
แล้วเธอก็เดาได้ว่า พงศกรต้องสงสัยว่าเอเป็นคนช่วยเคลื่อนย้ายปาจรีย์
ไม่แน่ อีกสักพักก็คงโทรมาซักถามเธอ ว่าเธอเอาปาจรีย์ไปซ่อนไว้ที่ไหน
แต่ครั้งนี้ การช่วยเหลือปาจรีย์ของเธอ ก็ชักนำมิตรภาพของเธอกับพงศกรนำไปสู่ ความแตกร้าวโดยสิ้นเชิง
ถอนหายใจอีกครั้ง วารุณีดึงมุมปาก ฝืนยิ้มออกมา “ขอแค่พงศกรไม่เข้ามาวุ่นวายก็พอ”
ตอนนี้เธอกลัวว่าพงศกรจะรับไม่ได้ที่ปาจรีย์จากไป แล้วจะบ้าคลั่ง ทำอะไรขาดสติขึ้นมา
ยังไงซะก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำ
เมื่อนึกถึงพงศกรที่ทำอารัณประสบอุบัติเหตุ ทำโรงงานเธอไฟไหม้ วารุณีก็ปวดหัวสุดๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีผมอยู่นะ เขามาวุ่นวายไม่ได้หรอก” นัทธีหรี่ตา พูดเสียงเย็นชา
วารุณียิ้ม “ค่ะๆๆ มีสามีฉันทั้งคน ฉันสบายใจอยู่แล้ว แต่นัทธีคะ ถ้าพงศกรทำเรื่องบ้าขึ้นมาจริงๆ ฉันหวังว่าคุณจะเบามือ อย่าทำเขาถึงชีวิตนะคะ”
นัทธีรู้ว่าทำไมวารุณีถึงต้องปกป้องพงศกร คิ้วขมวดพูด: “ตกลง ไม่ว่ายังไง ผมจะไม่เอาชีวิตพงศกร”
พงศกรเคยช่วยชีวิตเธอ เคยช่วยชีวิตลูกทั้งสอง
ดังนั้นเห็นแก่เรื่องนี้ เขาจะทำร้ายพงศกรถึงตายไม่ได้
แต่ทำให้พงศกรเสียใจไปตลอดชีวิต เขาทำได้
“งั้นก็ดีค่ะ” ได้รับการันตีจากฝ่ายชาย วารุณีก็โล่งใจ
หลังจากนั้น ทั้งสองก็คุยกันต่ออีกหน่อย จึงวางสาย
วารุณีเก็บโทรศัพท์ กลับไปที่สนามแข่ง
เมื่อลีน่าเห็นเธอกลับมา ก็กดเสียงต่ำและถาม: “เป็นไงบ้าง?”
“ปาจรีย์ออกไปแล้ว” วารุณีพยักหน้าตอบ
ลีน่าพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นก็ดี หวังว่าอยู่ที่นั่น หลังจากนี้เธอจะใช้ชีวิตอย่างสงบจิตสงบใจนะ ไม่ต้องคิดถึงพงศกรคนนั้นอีก ไม่งั้นเป็นโรคซึมเศร้าแน่”
“เฮ้อ ใช่ ฉันก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ทำไงได้?หนทางต่อไป ต้องเพิ่งตัวเองเดินเท่านั้น เราช่วยไม่ได้แล้ว” วารุณีส่ายหัว
ลีน่าพยักหน้า “พูดถูก เอาล่ะๆ หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ พูดจนฉันซึมเศร้าหมดแล้ว ดูแข่งก่อน “
“โอเค” วารุณีพยักหน้า หลังจากนั้นก็ดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง
อีกฝั่ง บนเครื่องบิน คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีที่มองปาจรีย์ร้องไห้จนหลับไป หลังจากมองตากัน ก็ถอนหายใจ
“ตาแก่ คุณพูดมาสิ พวกเราทำแบบนี้ มันถูกต้องจริงๆ ใช่ไหม?” คุณแม่ปารวีถามด้วยความกังวลใจ
คุณพ่อประสิทธิ์ลูบหน้าผาก “ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ถือว่าเราทำถูกแล้วแค่นั้น”
สองสามีภรรยาต่างทำอะไรไม่ถูก
ทันใดนั้นคุณแม่ปาจรีย์ก็เอามือปิดหน้าร้องไห้ “ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ เราไม่ควรเสียงไปช่วยพวกเขาในปีนั้น ถ้าไม่ช่วยพวกเขา การตายของพวกเขา ก็คงไม่มาตกอยู่กับเรา พวกเราคงไม่ถูกลูกพวกเขาเกลียดชัง และก็ไม่ต้องมาทำร้ายปาจรีย์อย่างวัน……”
คุณแม่ปารวีร้องสะอึกสะอื้น