”คุณหนูใหญ่!” หลังจากได้ยินคำพูดของหนีเฟิ่ง ลูกศิษย์ของตระกูลหนีต่างก็รู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง
แม้แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสหลายคนก็ยังเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมา ”เฟิ่งเอ๋อร์ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย ทุกคนรู้เรื่องสภาพร่างกายของเจ้าดี”
”ท่านลุง ท่านป้า ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้าเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อน้องอวิ๋นพูดเช่นนั้น หากข้าไม่ทำอะไรสักอย่างจริงๆ วิญญาณร้ายพวกนั้นก็จะกลายเป็นฝ่ายชนะ” หลังจากหนีเฟิ่งพูดจบ นางก็ไอออกมาสองครั้งราวกับต้องการแสดงให้เห็นว่าร่างกายของนางอ่อนแอเพียงใด
ทันทีที่เห็นภาพนี้ เหล่าผู้อาวุโสก็ข่มความโกรธเอาไว้ไม่ไหว ”หากเฟิ่งเอ๋อร์สามารถใช้แสงแห่งพระพุทธคุณและแสดงพลังธรรมะของหงส์เพลิงได้ เช่นนั้นทุกคนจากจวนตระกูลจูเก่อจะต้องถูกจับกุม! มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะยุติธรรมกับเฟิ่งเอ๋อร์!”
”แม้ว่าหนีเฟิ่งจะไม่สามารถใช้แสงแห่งพระพุทธคุณได้ แต่อย่างไรมันก็ยังเป็นความผิดของข้าเพียงคนเดียวมิใช่หรือ ทำไมท่านถึงต้องนำคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?!” แน่นอนว่าจูเก่ออวิ๋นย่อมไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขนั้นได้ เขารู้สึกว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ผู้อาวุโสพวกนี้ล้วนแต่ถูกหนีเฟิ่งหลอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็จะปกป้องหนีเฟิ่งโดยไม่รู้ตัว! คำว่า ’หงส์เพลิง’ มีอิทธิพลต่อตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมากเกินไปหรือเปล่า
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างที่จูเก่ออวิ๋นคาดไม่ถึง ผู้อาวุโสจางมองเขา และพูดขึ้นว่า ”ถ้าผลออกมาว่าเจ้าเป็นฝ่ายผิด และคนจากจวนตระกูลจูเก่อไม่ถูกจับกุมตัว เราจะสงบความโกรธของผู้คนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้อย่างไร ถ้าเราปล่อยคนที่ตั้งคำถามกับหงส์เพลิงไปง่ายๆ เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะมิตกอยู่ในความวุ่นวายหรือ?! อาอวิ๋น เจ้าเป็นทายาทของตระกูลจูเก่อ เจ้าต้องระมัดระวังคำพูดของตัวเอง ไม่มีใครสามารถปิดบังความจริงจากคนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ ในเมื่อพวกเรายอมรับคำขอของเจ้าที่จะให้เฟิ่งเอ๋อร์พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางด้วยการใช้แสงแห่งพระพุทธคุณและแสดงพลังธรรมะออกมา ดังนั้นเจ้าเองก็ควรจ่ายให้สมน้ำสมเนื้อเช่นกัน”
นี่เป็นกฎของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
แน่นอนว่าหนีเฟิ่งย่อมรู้เรื่องกฎนี้
ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าเขาย่อมไม่มีทางตอบตกลง
จูเก่ออวิ๋นกัดฟันกรอด หากมีแค่เขาคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่การเอาคนทั้งตระกูลจูเก่อมาเป็นเดิมพันนั้น…
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจูเก่ออวิ๋น จิตใจอันเยาว์วัยของเขาเต็มไปด้วยความกังวลนับไม่ถ้วน…
”พวกข้ายอมรับข้อเสนอ” ฮูหยินจูเก่อเดินออกมาจากด้านหลังของเขา มือทั้งสองข้างของนางยังคงถูกมัดเอาไว้ แต่ท่าทางของนางกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก ”อาอวิ๋น ตระกูลจูเก่อของเรากระทำการทุกสิ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด การรู้ความจริงแต่หวาดกลัวที่จะเปิดโปงมัน และปล่อยให้คนชั่วก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่ใช่วิสัยของตระกูลจูเก่อ ให้พวกเขาเริ่มลงมือได้เลย ตระกูลจูเก่อลงเรือลำเดียวกัน แม้จะถูกจับพวกเราก็ไม่กลัว แล้วนับประสาอะไรกับแค่คำขู่แค่นี้!”
ราวกับตอบสนองกับคำพูดของฮูหยินจูเก่อ เด็กกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งจึงทยอยกันลุกขึ้นยืนทีละคน
พวกเขายังเด็กมาก ตระกูลจูเก่อเข้าสู่ช่วงตกอับเร็วเกินไป ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะเกิดมาในตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้รับความเคารพนับถือเหมือนอย่างตระกูลหนี
แต่เด็กชายตัวน้อยเหล่านี้ได้เรียนหลักการบางอย่างมาตั้งแต่ยังเด็ก ยกตัวอย่างเช่นหลักในการเป็นผู้พิทักษ์
เมื่อเห็นบรรดาน้องชายของตัวเอง ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นก็แดงก่ำ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เหลือก้าวออกมาข้างหน้า การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาปรารถนาที่จะอยู่และตายไปพร้อมกับสายเลือดของตระกูลจูเก่อ
จูเก่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เต็มไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ”เอาล่ะ ก็อย่างที่ท่านแม่ของข้าพูด ตระกูลจูเก่อยอมรับเงื่อนไขที่ว่ามา หนีเฟิ่ง ทีนี้ก็ถึงคราวที่เจ้าต้องแสดงแสงแห่งพระพุทธคุณและพลังธรรมะออกมาแล้วมิใช่หรือ”
หนีเฟิ่งหรี่ตาลง นางนึกไม่ถึงว่าตระกูลจูเก่อจะมีความกล้าถึงเพียงนี้
แต่พวกเขาคิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถเปิดโปงนางได้ด้วยวิธีนี้
พวกเขาอาจทำสำเร็จหากเป็นเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้มันต่างจากตอนนั้น
ถึงนางจะไม่ใช่หงส์เพลิงที่กลับชาติมาเกิด แต่นางก็ยังเป็นดอกบัวทองคำของพระพุทธศาสนา ในฐานะพระอรหันต์แล้ว แม้ว่านางจะยังไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้โดยสมบูรณ์ และกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมในพระพุทธศาสนาได้ แต่การแสดงแสงแห่งพระพุทธคุณออกมาก็ยังนับว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับนาง
หนีเฟิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปทางฮูหยินจูเก่อพร้อมกับแสร้งแสดงสีหน้ากังวลออกมา ”ข้าไม่เคยนึกอยากให้สถานการณ์มาถึงขั้นนี้เลยเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่อยากจับคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงขังไว้จนกว่าเมืองจะปลอดภัย แล้วจึงค่อยปล่อยพวกเขาออกมา แต่ในเมื่อท่านป้ายืนกรานเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีทางเลือก”
หลังจากพูดจบ หนีเฟิ่งก็พนมมือเข้าหากัน ริมฝีปากของนางขยับระหว่างพึมพำอะไรบางอย่างออกมา ปลายนิ้วของนางกระตุกเล็กน้อย แขนเสื้อยาวของนางลอยล่อง พลังวิญญาณสายหนึ่งค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากร่างของนาง
ทุกคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันเป็นสิริมงคลที่ไหลออกมาจากร่างของนางได้ มันให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างมาก
ไม่นานนัก แสงแห่งพระพุทธคุณก็ส่องลงมาจากท้องฟ้าและเข้าปกคลุมร่างของนางไว้ มองจากไกลๆ แล้วนางดูเหมือนกับเทพธิดาไม่มีผิด แม้แต่ช่องว่างระหว่างนิ้วมือของนางก็ยังสว่างเรืองรอง
ลำแสงจางๆ นั้นก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายที่ด้านหลังของนาง มันคือพลุไฟแห่งพลังสันสกฤต และเป็นพลังธรรมะของพระพุทธองค์ที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้!
มีเพียงผู้ที่มีชะตาทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!
เป็นไปได้อย่างไร?!
มันไม่ควรจะกลายเป็นเช่นนี้!
หัวใจของจูเก่ออวิ๋นเริ่มรู้สึกหนักอึ้ง
เขามองกลับไปที่สหายของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าเช่นเดียวกันกับเขา!
ตอนที่พวกเขาอยู่ในสุสานหลวง สิ่งที่ร่างของหนีเฟิ่งปล่อยออกมาคือปราณของซากศพไม่ผิดแน่ นางจะยังมีแสงแห่งพระพุทธคุณ และสามารถแสดงพลังธรรมะของพระพุทธองค์ออกมาได้อย่างไร?!
จูเก่ออวิ๋นก้าวถอยหลังอย่างแรงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหนีเฟิ่งที่ยังคงมีรอยยิ้มบางอยู่บนใบหน้า
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ
เขาตกหลุมพรางของนางเข้าเสียแล้ว!
เขาควรปล่อยให้หนีเฟิ่งได้ทำตามใจตัวเองเช่นนี้จริงๆ หรือ
จูเก่ออวิ๋นกำหมัดแน่น ทำไมเขาถึงได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้!
เขาเดาออกว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นพลังธรรมะของพระพุทธองค์ คนพวกนั้นก็มีแต่จะเคารพบูชาหนีเฟิ่งมากยิ่งขึ้น
นางจงใจทำตามที่เขาพูด!
เป็นอย่างที่คิด หลังจากได้เห็นแสงแห่งพระพุทธคุณ บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสก็ตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขณะที่มองภาพนั้นจนกระทั่งหนีเฟิ่งดึงพลังธรรมะกลับเข้าไปในตัว
จากนั้นพวกเขาถึงค่อยๆ ตั้งสติกลับมาสู่โลกความจริงได้ในที่สุด และเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความชื่นชมว่า ”พลังธรรมะของหงส์เพลิงเป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างเป็นบุญของตระกูลแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยิ่งนัก ชีวิตนี้ข้าคงตายตาหลับได้แล้วหลังจากได้เห็นภาพนี้!”
”เฟิ่งเอ๋อร์ผู้น่าสงสาร นางเป็นหงส์เพลิงที่กลับชาติมาเกิดตัวจริงเสียงจริง แต่นางกลับถูกสงสัยอยู่เสมอ” ใครคนหนึ่งมองไปที่หนีเฟิ่งด้วยความทุกข์ใจ
หนีเฟิ่งไอออกมาเบาๆ สองครั้ง นางดูไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ ”ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตราบใดที่ข้าสามารถสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน และสามารถปกป้องเมืองนี้ได้ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้าแต่อย่างใด”
”เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าควรนั่งพักเสียก่อน” ผู้อาวุโสจางบอก ก่อนจะหันหน้ามามองจูเก่ออวิ๋นทันที ”ทีนี้เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า ยังคิดที่จะบอกว่าเฟิ่งเอ๋อร์เป็นตัวปลอมอยู่หรือไม่ อาอวิ๋น เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ดูเจ้าในตอนนี้สิ ต่อให้เจ้าลงไปที่ปรโลก ท่านพ่อของเจ้าก็คงอับอายขายหน้าในตัวเจ้ายิ่งนัก!”
หนีเฟิ่งกระตุกแขนเสื้อของผู้อาวุโสจาง ”ลุงจาง อย่าโทษน้องอวิ๋นเลยเจ้าค่ะ เขาถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดอุบายนี้ขึ้นมา แต่เขาถูกสิงมานานเกินไป คงยากที่เราจะสามารถช่วยฟื้นสติของเขากลับมาได้”
”ฟื้นสติของเขากลับคืนมาหรือ” ลูกศิษย์ของตระกูลหนีตะโกนขึ้น ”คนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงควรถูกฆ่าทันที! ตระกูลจูเก่อยืนกรานที่จะปกป้องลูกหลานของตัวเอง! ตอนนี้เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น การจับกุมพวกเขาเพียงอย่างเดียวจะไปพออะไร! จูเก่ออวิ๋น เจ้าวิญญาณร้ายจอมยุแยงตะแคงรั่ว เตรียมตัวตายซะเถอะ!”
ลูกศิษย์จำนวนห้าหกคนชักกระบี่ออกมาราวกับสายฟ้าแลบ แล้วแทงตรงไปที่จูเก่ออวิ๋น!
ทันใดนั้น!
มือเรียวขาวจับข้อมือของหนึ่งในลูกศิษย์ที่ถือกระบี่เอาไว้ แรงจากมือข้างนั้นแข็งแกร่งมากเสียจนลูกศิษย์คนนั้นไม่สามารถขยับได้แม้แต่ครึ่งชุ่น!
ตอนต่อไป →