หากกล่าวถึงทักษะการขี่ม้ายิงธนู จงหยวนไม่มีกองทัพใดเอาชนะกองทัพไต้โจวได้ เพื่อทำศึกกับเผ่าคนเถื่อน ชาวไต้โจวมิว่าบุรุษหรือสตรีล้วนร่ำเรียนการยิงธนูมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยสักคนก็ยิงทะลุใบหยางที่อยู่ห่างร้อยก้าวได้อย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ ส่วนบนสนามรบ การขี่ม้ายิงธนูมีขอบขั้นอยู่สามระดับ
ขั้นธรรมดาที่สุดคือ ‘การนั่งม้ายิงศร’ สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการนั่งบนหลังอาชาศึกให้มั่นคงแล้วยิงศรให้ได้ เป้าห่างร้อยเมตรต้องถูกห้าในสิบ เป้าห่างเจ็ดสิบเมตรต้องถูกเจ็ดในสิบ เป้าห่างห้าสิบเมตรต้องถูกเก้าในสิบ แน่นอนว่าไม่ต้องกล่าวถึงกองทัพไต้โจว แม้แต่ทหารชั้นยอดของกองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่น ก็ยัง ‘นั่งม้ายิงศร’ ถูกเป้าร้อยเมตรได้แปดเก้าดอกในสิบดอก
ขั้นที่สองก็คือ ‘การควบม้ายิงศร’ ทหารม้าต้องยิงศรโจมตีทุกทิศระหว่างที่อาชาศึกวิ่งด้วยความเร็วได้ อีกทั้งอัตราการเข้าเป้าอย่างน้อยก็ต้องถึงมาตรฐานของการนั่งม้ายิง เงื่อนไขอีกประการหนึ่งก็คือจังหวะที่อาชาศึกทะยานร่างและตกลงพื้นแต่ละครั้ง ทหารม้าต้องจับจังหวะพริบตานี้ยิงศรได้ครั้งละดอก โดยทั่วไปแล้วทหารม้าที่ทำได้ถึงขั้นนี้ก็เป็นทหารชั้นยอดที่ในใต้หล้ามีนับคนได้แล้ว แม้แต่ในกองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่นก็มีกำลังพลเพียงสามส่วนเท่านั้นที่บรรลุระดับนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ขั้นที่สามคือ ‘การห้อม้ายิงศร’ จะต้องยิงถูกเป้านิ่งได้จากทุกอิริยาบถ นี่เป็นทักษะที่ทหารธรรมดามิอาจทำได้ ทหารม้าที่มีความสามารถทำเช่นนี้ได้โดยทั่วไปมักเป็นมือธนูชั้นยอดที่มีจำนวนนับได้ของกองทัพหรือไม่ก็แม่ทัพทหารม้าผู้โดดเด่น
สิ่งที่น่ากลัวของกองทัพไต้โจวก็คือไพร่พลแทบทั้งหมดล้วนมีฝีมือบรรลุถึงขอบขั้น ‘ควบม้ายิงศร’ แล้วยังมีไพร่พลราวหนึ่งส่วนบรรลุถึงขอบขั้น ‘ห้อม้ายิงศร’ ฝีมือระดับนี้ไม่ต่างจากเผ่าคนเถื่อนผู้ใช้การขี่ม้ายิงธนูเป็นทักษะหาเลี้ยงชีพ
หลี่เสี่ยนเบิกตามองกองทัพไต้โจวตะลุยผ่านทัพหลังของต้ายงอย่างอิสระเสรี พวกที่อยู่ใกล้ใช้ดาบ พวกที่อยู่ไกลใช้ธนู ทลายแนวป้องกันด้านหลังย่อยยับอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ หัวใจเขาตกตะลึงยิ่งนัก เวลานี้เขาเข้าใจดีว่าความพ่ายแพ้มาเยือนแล้ว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น บางคนอาจรู้สึกไม่ยินยอม บางคนอาจหดหู่อย่างห้ามมิได้ แต่หลี่เสี่ยนเสียท่าในมือหลงถิงเฟยมามิรู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว เขาพ่ายแพ้จนเคยชิน เวลานี้จึงออกคำสั่งโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด พากองทัพต้ายงบุกทะลวงไปทางกองทหารใหม่ของเป่ยฮั่น
เวลานี้จิงฉือก็ฝ่าปราการที่ขวางกั้นมารวมพลกับหลี่เสี่ยนแล้วเช่นกัน เมื่อหลี่เสี่ยนเห็นจืงฉือก็ตะโกนสั่งเสียงดุดันอย่างมิยอมให้คัดค้าน “แม่ทัพจิง ท่านเป็นทัพหน้านำทหารฝ่าทัพศัตรู ถอยทัพไปทางอานเจ๋อ ข้าจะคุมท้ายเอง” กล่าวจบก็พาองครักษ์คนสนิทหลบไปด้านข้าง ให้ทหารต้ายงด้านหลังผ่านไปก่อน
จิงฉือลังเลอยู่ครู่เดียวก็บังคับอาชาพุ่งไปด้านหน้า เขารู้จักนิสัยของหลี่เสี่ยนดี จึงทราบดีว่าในเวลานี้หากตนเองแย่งจะเป็นฝ่ายคุมท้ายกองทัพ คงจะถูกหลี่เสี่ยนฟันสิ้นในดาบเดียว หากตนเองคำนึงถึงความปลอดภัยของหลี่เสี่ยน หนทางเพียงหนึ่งเดียวก็คือฝ่าวงล้อมแน่นหนานี้ไปให้เร็วที่สุด ทิศทางที่เขามุ่งหน้าบุกทะลวงไปมีแต่ทหารใหม่ของกองทัพเป่ยฮั่น เมื่อเผชิญหน้ากับจิงฉือผู้ดุร้ายโหดเหี้ยม พวกเขาต่างขลาดกลัวอย่างช่วยมิได้ จิงฉือแทบมิต้องเปลืองเรี่ยวแรงสักเท่าใดก็ทะลวงวงล้อมหนาออกมาสำเร็จ จากนั้นถอยทัพไปทางอานเจ๋อ
หลี่เสี่ยนนำองครักษ์คนสนิทคุมท้าย เขาแทบจะแบกรับแรงกดดันทั้งหมดจากกองทัพไต้โจวเอาไว้ ทั้งที่จำนวนคนเทียบกองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่นมิได้สักกระผีก แต่การโจมตีของกองทัพไต้โจวกลับโหมกระหน่ำจนแทบจะทำให้หลี่เสี่ยนต้องเมินเฉยต่อหลงถิงเฟยที่กำลังโจมตีกองทัพต้ายงจากสองฟากฝั่งอย่างดุดัน
หากให้กล่าวตามตรง กองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่นประมือกันมานานปีแล้ว ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกับยุทธวิธีรบของอีกฝ่ายดีอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้กองทัพต้ายงจะสูญเสียไพร่พลไม่น้อยจากการรับการโจมตีของกองทัพเป่ยฮั่น แต่ก็ยังรับมือได้คล่องแคล่ว แตกต่างจากฝั่งกองทัพไต้โจว พวกเขายิงศรฉวัดเฉวียนกำจัดทหารต้ายงที่รั้งท้ายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ไม่แสดงความร้อนรนออกมาแม้แต่น้อย พวกเขาตามติดอยู่ด้านหลังมิเลิกรา ไล่ล่าสังหารด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แต่โหดเหี้ยมไร้เมตตาจนทำให้คนหนาวสะท้าน แม้หลี่เสี่ยนจะเป็นผู้คอยคุมท้ายขบวนด้วยตนเอง แต่ก็ยังทำได้เพียงขวางการโจมตีของกองทัพไต้โจวอย่างฝืนกำลังเท่านั้น
ในใจหลี่เสี่ยนร้อนรนยิ่งนัก หากมิอาจผละหนีจากกองทัพศัตรูโดยเร็ว กองทัพต้ายงจะต้องเสียหายหนักหนาเป็นแน่ หลี่เสี่ยนตัดสินใจ ชักบังเหียนอาชาแล้วหวดแส้พุ่งเข้าใส่แนวหน้าของกองทัพไต้โจว องครักษ์คนสนิทข้างกายเขาติดตามมาอย่างรวดเร็ว เหล่าองครักษ์คนสนิทที่ตามติดหลี่เสี่ยนยกโล่หนังขึ้นกำบังฝนศรให้เขา ส่วนตวนมู่ชิวผู้ตามติดอยู่ข้างกายหลี่เสี่ยนง้างคันศรรอจังหวะยิง
กองทัพไต้โจวชะงักเล็กน้อย คล้ายประหลาดใจว่ากองทัพต้ายงเหตุไฉนจึงพุ่งสวนกลับมา ทว่าแทบจะในทันใดที่ขบวนแถวของกองทัพไต้โจวชะลอความเร็ว ทัพหน้าก็พลันแปรแถวกลายเป็นครึ่งวงกลมเหมือนตั้งใจจะล้อมกองทหารของต้ายงที่โจมตีสวนกลับมากองนี้ ห่าศรยิ่งโปรยปรายลงมาแน่นขนัด หมายจะกำจัดทหารกองนี้ให้สิ้นซาก แม้องครักษ์คนสนิทของหลี่เสี่ยนจะถือโล่ป้องกันอยู่ แต่ก็ยังคงมีทหารม้าเกราะสีแดงฉานไม่น้อยวางวายร่วงตกจากหลังม้า
เวลานี้เอง ตวนมู่ชิวพลันคำรามดุดันออกมาคำหนึ่ง สายคันศรส่งเสียงดังต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ลูกศรเก้าดอกจักพุ่งเข้าใส่กระบวนทัพของไต้โจวประหนึ่งเงาลวงตา ตวนมู่ชิวได้ฉายาว่าศรเงิน วิชายิงธนูย่อมบรรลุถึงขั้นยอดเยี่ยมล้ำเลิศแล้ว แม้แต่กองทัพไต้โจวผู้โดดเด่นในด้านการขี่ม้ายิงธนูก็มีน้อยคนจะเทียบชั้นได้
ชั่วขณะนั้น ทหารกล้าแห่งกองทัพไต้โจวจำนวนไม่น้อยที่พุ่งมาด้านหน้าต่างต้องศรพลัดตกจากหลังม้า กองทัพไต้โจวย่อมไม่คิดเอาตัวเข้าแลกกับการโจมตีเพียงชั่วครู่ของศัตรู ดังนั้นกองทัพไต้โจวจึงชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ทว่าในตอนนี้เอง หลี่เสี่ยนก็พุ่งเข้ามาในแนวหน้าของกองทัพไต้โจวแล้ว แหลนอาชากวาดขวาง โลหิตสาดกระเซ็น แม้แต่ทหารกล้าแห่งกองทัพไต้โจวผู้มีทักษะการต่อสู้ของตัวเองแข็งแกร่งที่สุดก็ยังสู้ไม่ได้
เวลาชั่วครู่นั้น การบุกโจมตีของกองทัพไต้โจวถูกบังคับให้หยุดลง แม้นี่เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ต่อจากนี้การโจมตีสวนกลับของกองทัพไต้โจวคงยิ่งเหี้ยมหาญมากขึ้น แต่บนสมรภูมิความเป็นกับความตายมักอยู่ห่างกันเพียงเส้นกั้น การชะงักชักช้าครั้งหนึ่งครั้งใดล้วนทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มิอาจเรียกคืนได้ ดังนั้นหลินปี้แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพไต้โจวจึงเคลื่อนไหวแล้ว
หลี่เสี่ยนเพิ่งแทงทหารไต้โจวผู้หนึ่งร่วงจากหลังม้า หูของเขาก็ได้ยินเสียงใสกังวานดุจกระดิ่งดังขึ้น หลังจากนั้นก็เห็นปลายหอกวาววับขาวโพลนแทงเข้ามาที่ลำคอของตน หอกนั้นแทงมาอย่างมิคาดคิด พู่แดงบนหอกถูกสายลมอ่อนพัดตั้งตรงประหนึ่งเหล็กกล้า แหลนอาชาในมือหลี่เสี่ยนยกขึ้นสกัด ทว่าเพียงชั่วพริบต าหอกสีเงินเล่มนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงาร้อยพันสาย
หลี่เสี่ยนรู้สึกว่าแหลนอาชามิกระทบถูกสิ่งกีดขวางแต่อย่างใด ฉับพลันรู้สึกว่าพละกำลังสลายสิ้นเพราะพลาดเป้า จากนั้นเขาพลันรู้สึกว่าง่ามนิ้วทั้งสองมือเจ็บแปลบ แหลนอาชาถูกพละกำลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งงัดขึ้นด้านบน ปลายหอกพาจิตสังหารท่วมท้นแทงลอดสองแขนเข้ามายังหน้าอกของหลี่เสี่ยนดั่งภาพลวงตา หอกสีเงินพากระแสลมรุนแรงมาพร้อมกับพลังอันแข็งแกร่งที่ทะลวงได้ทุกปราการ หากถูกหอกนี้แทงเข้า แม้มีชุดเกราะปกป้องก็น่ากลัวว่าคงจะบาดเจ็บหนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลี่เสี่ยนก็เป็นแม่ทัพพยัคฆ์ผู้อยู่ในสนามรบมานาน เขาขว้างแหลนอาชาในมือออกไปด้านหน้า ร่างกายบิดเอี้ยวบนหลังม้า ปลายหอกเฉียดผ่านซี่โครงซ้ายของเขา ระหว่างที่อาชาสองตัววิ่งตัดผ่านกัน หลี่เสี่ยนก็หยัดตัวลุกขึ้นนั่ง มือขวาคว้าออกไปรับแหลนอาชาที่ร่วงลงมาจากกลางอากาศ จากนั้นฉวยโอกาสแทงเข้าใส่ศัตรู หอกสีเงินตั้งรับแหลนอาชาอย่างมิยอมอ่อนข้อแม้สักนิด ชั่วเวลาเพียงพริบตาปะทะกันหลายครั้งหลายหน ทว่ากลับสูสีทัดเทียม
หลี่เสี่ยนอดใจมิไหวเงยหน้ามอง คนผู้นั้นก็กำลังมองมาหาเขาเช่นกัน ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ทั้งสองคนต่างตกตะลึงเล็กน้อย แม้เป็นแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรู แต่การที่แม่ทัพใหญ่จะประมือกันบนสนามรบก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อย ก่อนที่ทั้งสองจะประมือกัน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับอีกฝ่าย
ดวงตาหลินปี้วูบไหว ศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมิได้เปิดหน้ากากหมวกเกราะ แต่นางมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่าคนผู้นี้คือหลี่เสี่ยนแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้ายง เขาแตกต่างจากยามพบหน้ากันครั้งก่อน หลี่เสี่ยนในยามนั้นอันตรายและกดดันคล้ายกับเสือร้ายที่ขย้ำคนได้ตลอดเวลา แต่หลี่เสี่ยนในยามนี้สีหน้าแน่วแน่เด็ดเดี่ยว แม้กำลังพ่ายศึกแต่มิหดหู่ท้อแท้ ท่าทางเหมือนต่อให้ขุนเขาไท่ซานถล่มอยู่ตรงหน้าก็มิเปลี่ยนสีหน้านั่นทำให้หลินปี้นับถืออย่างอดมิได้ ชุดเกราะสีเพลิงชุ่มโชกโลหิตทั้งร่างยิ่งขับเน้นความองอาจห้าวหาญของหลี่เสี่ยน
หลี่เสี่ยนมองศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หอกเงินอาชาดำ เสื้อเกราะสีเขียวเข้ม แม้หน้ากากของหมวกเกราะจะไม่ได้เปิดอยู่ ทำให้มองไม่เห็นโฉมหน้า แต่ดวงตาหงส์ใสกระจ่างเยือกเย็นที่ถูกขวางด้วยหน้ากากคู่นั้น รวมถึงเรือนร่างอรชรแต่แข็งแกร่ง รวมถึงผ้าคลุมผืนใหญ่ปักลายหงส์ด้านหลังร่างล้วนบ่งบอกตัวตนของอีกฝ่าย เขาขยับปากโดยไร้เสียง “องค์หญิงจยาผิง”
ทั้งสองคนหวนนึกถึงภาพยามทั้งคู่ร่วมร่ำสุราเหนือเกลียวคลื่นทะเลตงไห่แทบจะในเวลาเดียวกัน ยามนั้นเคยกล่าวว่าเป็นตายมิอาฆาตแค้น แม้นรู้สึกดั่งสหายรู้ใจ แต่น่าเสียดายทั้งสองคนกลับเป็นศัตรู หลี่เสี่ยนกับหลินปี้ล้วนเป็นผู้แน่วแน่ในปณิธาน หลังจากเหม่อลอยเพียงชั่วพริบตาก็ได้สติกลับมาในทันใด หอกสีเงินกับแหลนอาชาแยกจากกัน สองอาชาสวนกันไปคนละทาง ก่อนที่ทั้งคู่จะบังคับอาชาให้หันกลับมาแทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงใสกังวานดังขึ้นหนหนึ่ง แหลนอาชากับหอกสีเงินปะทะกันอีกหน
เวลานี้องครักษ์คนสนิทของทั้งสองคนก็รุมล้อมเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกันแล้ว หลี่เสี่ยนแหงนหน้าคำรามยาว การบุกโจมตีครั้งนี้หยุดยั้งการจู่โจมของกองทัพไต้โจวได้ชั่วคราวแล้ว เมื่อบรรลุจุดประสงค์ หลี่เสี่ยนจึงไล่ตามท้ายขบวนของกองทัพต้ายงไปทันที แม่ทัพของกองทัพต้ายงออกมารับ จากนั้นพวกเขาก็หนีราวกับติดปีกบิน บางทีอาจเป็นเพราะหนีหลายหนแล้ว แม้จะห้ออาชาเร็วถึงขีดสุด กระบวนทัพก็ยังมิสับสนแม้แต่น้อย
หลินปี้รำพันเสียงเบาอย่างเศร้าใจ “ผ่านทางพบสหายรู้ใจ แม้นวันหน้าชิงชัยใจดุจเดิม” หลังจากนั้นก็เอ่ยเสียงดัง “ตามข้ามา ต่อให้ต้องไล่ตามไปถึงจี้ซื่อก็ต้องเอาชีวิตหลี่เสี่ยนมาให้จงได้”
กองทัพไต้โจวได้ยินพลันโห่ร้องเสียงดัง “สังหารหลี่เสี่ยน สังหารหลี่เสี่ยน” ทหารม้าไต้โจวไล่ตามกองทัพต้ายงโดยมิรอให้สั่ง
หลงถิงเฟยลอบคำนวณในใจ ศึกเมื่อครู่ แม้ได้ชัยชนะแล้วแต่กำลังหลักของทัพต้ายงยังอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นหากหลี่เสี่ยนไม่ตาย ศึกนี้ของตนก็กล่าวมิได้ว่าคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ ดังนั้นจึงตะเบ็งเสียงว่า “ทุกท่าน องค์หญิงทรงนำกองทัพไต้โจวเดินทางมาช่วยทำศึกแล้ว พวกเราไหนเลยจะยอมถูกผู้อื่นทิ้งไว้ข้างหลัง สังหาร”
ทหารทั้งหลายของกองทัพเป่ยฮั่นขานรับเสียงดังกึกก้อง ไล่ตามไปเข่นฆ่ากองทัพต้ายง