บทที่ 716 ความปรารถนาที่จะปลดพันธนาการ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 716 ความปรารถนาที่จะปลดพันธนาการ (2)

“ศิษย์พี่ มีอันใดผิดไปหรือขอรับ?”

หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกสับสนไม่เข้าใจเช่นกัน เขาเพิ่งเตรียมใจให้พร้อมที่จะยอมเสี่ยงเข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี!

“มาลองดูกันว่า พวกเราจะเข้าไปโดยใช้แผนภาพไท่จี๋ได้หรือไม่?”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แย้มยิ้มพลางตอบกลับ ทันใดนั้นพลังหยินและหยางก็โคจรอยู่ในฝ่ามือของเขา

ต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง พลังขุ่นและเย็นแห่งแดนยมโลกก็ยังคงวนเวียนอยู่ และจู่ๆ กระแสวังวนลึกก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศเบาบางพร้อมกับมีแสงสีทองบางเบาสาดส่องอยู่ภายในนั้น

จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และหลี่ฉางโซ่วก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้าด้วยกัน

ในขณะนั้นพวกเขาก็ไม่สงสัยใดๆ อีกต่อไปและก้าวเข้าไปพร้อมๆ กัน

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จงใจใช้สิ่งนั้นเพื่อทดสอบเขา

เขาต้องการยืนยันให้แน่ใจว่า เขาสามารถเข้าและออกจากโลกใบเล็กในแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีได้อย่างอิสระด้วยแผนภาพไท่จี๋ที่เป็นสมบัติเซียนเทียนขั้นสูงสุดได้หรือไม่

ผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็ทำให้มั่นใจอย่างน่าประหลาดใจ และยังคงรักษาชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่าแผนภาพเอาไว้ได้

ในยามนั้น ลำแสงโดยรอบส่องประกาย และพวกเขาทั้งสองคนก็เข้าไปในหมอกโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่สัมผัสเซียนรับรู้ของพวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ไกลถึงร้อยจั้งและทัศนวิสัยของพวกเขาก็ยังยิ่งน่าอนาถมากขึ้นไปอีก

ชั่วเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขาดการติดต่อกับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา ทำให้เขาอดจะรู้สึกกังวลมากมายในใจไม่ได้…

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ขยับก้าวเข้าไปใกล้หลี่ฉางโซ่วและยกมือขึ้นเพื่อประคองแขนของหลี่ฉางโซ่ว

จากนั้นพลังสีดำและสีขาวก็หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขาและเข้าห่อหุ้มร่างของพวกเขาทั้งสองเอาไว้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “ธาตุทั้งห้าที่นี่ขาดหายไป หยินและหยางยุ่งเหยิง ทว่ายังคงมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากหลงเหลืออยู่”

“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วขอบคุณเขาจากใจและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่

จู่ๆ ก็มีจุดแสงเล็กๆ ปรากฏขึ้นในหมอก ราวกับว่ามันกำลังนำทางพวกเขาไปข้างหน้า แล้วพวกมันก็รวมกัน ก่อตัวขึ้นเป็นภาพทีละภาพที่ฉายแสงกะพริบวิบวับอยู่ในหมอกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความทรงจำว่าใครเคยตกลงมาที่นี่

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเลื่อนขึ้นลงไปมาในขณะที่เขามองดูภาพต่างๆ เหล่านี้ทีละภาพ

เขาค่อยๆ สัมผัสพวกมันอย่างระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่า พวกมันไม่เป็นอันตรายและไม่มีข้อมูลใดๆ ที่เขาไม่อาจทนรับได้ จากนั้นเขาก็สัมผัสถึงเนื้อหาต่างๆ ของภาพเหล่านั้น

นี่คือ…

ความทรงจำของราชินีโฮ่วถู่!

ภาพแรกเป็นภาพสะท้อนบนผิวน้ำ โฮ่วถู่ใช้รูปลักษณ์ของบรรพชนเผ่าเวท ซึ่งเป็นร่างกายของมนุษย์ที่มีหางเป็นงู และมีมือมากมายหลายมือทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่จับงูเอาไว้ นางกำลังจับจ้องร่างของนางเองในน้ำอย่างสงสัยใคร่รู้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในมุมของเงาสะท้อนบนผิวน้ำ เขาเห็นหงส์ศักดิ์สิทธิ์สยายปีกและบินร่อนไปทั่วเวหา และที่ข้างหลังก็มีชาวเผ่าเวทที่ดูแปลกประหลาดสองสามคนกระโดดขึ้นและไล่ตามมันไปให้ทันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด…

อา กิจวัตรการล่าสัตว์ที่อบอุ่นและผ่อนคลายของชาวเผ่าเวทในสมัยโบราณนี่เอง

ภาพที่สอง ยังคงเป็นภาพสะท้อนของผิวน้ำ ในขณะนั้น โฮ่วถู่ได้กลายร่างเปลี่ยนเป็นร่างเต๋าเซียนเทียน ซึ่งเป็นร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์

นางมีเรือนร่างผอมเพรียวบางและสง่างาม เปล่งประกายความงดงามตามธรรมชาติอย่างไม่อาจพรรณนาได้

นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองดิน และกำลังสางเส้นผมยาวสลวยอยู่ริมแม่น้ำเงียบๆ นางแช่เท้าสะอาดที่เรียบลื่นของนางอยู่ในน้ำเย็นของแม่น้ำ และกำลังส่งเสียงร้องเพลงพื้นเมืองเบาๆ อย่างผ่อนคลายสบายๆ

ภาพเหตุการณ์ต่อไปก็เป็นเฉกเช่นเดิม ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ที่โฮ่วถู่อยู่ริมน้ำ

จนถึงภาพเหตุการณ์ที่สิบสาม มันเป็นภาพทะเลเลือดที่พลุ่งพล่าน เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ลอยวนเวียนและส่งเสียงร้องครวญครางอยู่เหนือทะเลเลือด

จากนั้นพวกมันก็ถูกคลื่นเลือดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลืนกินโดยตรง!

ในบรรดาเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่นั้น มีเผ่าเวท มนุษย์ และเผ่าพันธุ์วิญญาณจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งก็เป็นเผ่าปีศาจด้วยเช่นกัน

บรรพชนหมิงเหอ!

ดูเหมือนว่าจะมีเสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากส่วนลึกในใจของหลี่ฉางโซ่ว แล้วจากนั้นภาพนั้นก็แตกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ทันที…

ครั้นเมื่อภาพถูกปะติดปะต่อรวมเข้าด้วยกันขึ้นอีกครั้ง หลี่ฉางโซ่วก็ผงะงันไปเช่นกัน

เขาเห็นแผนภาพไท่จี๋และร่างที่คุ้นเคย ยืนอยู่บนแผนภาพไท่จี๋ และเขาก็เห็นศพของนักพรตเต๋าชรา ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวภายใต้แผนภาพไทจี๋…

จากนั้น นักพรตเต๋าหนุ่มก็หันกลับมาจากแผนภาพไท่จี๋พร้อมด้วยเจดีย์เสวียนหวงที่อยู่เหนือศีรษะ เขาถือไม้เฉียนคุนเอาไว้ในมือ และกล่าวเบาๆ

“ผู้อาวุโสโฮ่วถู่ ท่านอาจารย์สั่งให้ข้านำประโยคหนึ่งมาบอกให้ท่านฟัง”

ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ก็หยุดลงทันที และหมอกโดยรอบก็สลายไป

หลี่ฉางโซ่วและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เดินไปที่เนินทรายสีเหลืองอ่อน เบื้องหลังของพวกเขาก็คือ หมอกที่พร่ามัว และเบื้องหน้าของพวกเขาก็คือ ทะเลทรายที่กว้างไกลสุดสายตาไร้ขอบเขตสิ้นสุด

“ศิษยพี่?” หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เขา

“ในตอนนั้นท่านได้ลงมือจัดการเหตุการณ์เรื่องนั้นด้วยหรือไม่ขอรับ?”

“ฮ้าว…”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูหาวยาวเวลานานและโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า

เขากล่าวว่า “มันไม่ควรค่าให้กล่าวถึง มันเป็นเพียงผลสำเร็จเล็กๆ ที่ท่านอาจารย์ขอให้ข้าช่วยเท่านั้น

ในเวลานั้น ราชินีโฮ่วถู่ไม่มีสมบัติใดๆ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงอาศัยพลังเวทของเผ่าเวทเพื่อต่อสู้กับบรรพชนหมิงเหอเท่านั้น

บรรพชนหมิงเหอ อาศัยประโยชน์ของทะเลเลือดและอ้างว่า หากทะเลเลือดจะไม่มีวันเหือดแห้ง หมิงเหอก็จะไม่มีวันตาย

นอกจากนี้เขายังมีบงกชแดงเพลิงแห่งกรรมระดับสิบสองคอยให้การปกป้องคุ้มครองตัวเขาเอง

เขายังมีนักฆ่าหลักสองอย่าง คือ กระบี่หยวนตู๋ และกระบี่ขุมนรกอเวจี และเขายังมีแม้แต่เผ่าอสุราคอยช่วยเหลืออีกด้วย…

ในเวลานั้น บรรพชนหมิงเหอมีความสามารถมากพอที่จะท้าทายลิขิตฟ้าบัญชาสวรรค์ได้

ดังนั้นท่านอาจารย์จึงสั่งให้ข้ามายืมสมบัติของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพื่อปราบปรามบงกชแดงเพลิงแห่งกรรมและกระบี่ทั้งสอง เพื่อให้เต๋าสวรรค์สามารถส่งสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงลงมาได้สำเร็จและผ่าสหายเฒ่าผู้นั้นได้โดยตรง.. ”

หลี่ฉางโซ่วถามอีกครั้งว่า “ศิษย์พี่ แล้วในตอนนั้น ท่านได้บอกอะไรแก่ราชินีโฮ่วถู่หรือขอรับ?”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวว่า “ทำตามหัวใจของท่านเอง แล้วท่านจะบรรลุผลสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องในอนาคตของท่าน”

หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างละเอียดรอบคอบอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเขามืดมนในคราแรก จากนั้น เขาก็เอามือวางบนหน้าผากของเขา และสอดมือเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ หมอบลงช้าๆ

“มีอันใดผิดไปหรือ?”