ภาค 4 ตอนที่ 123 ข้าเริ่มฝึกฝนแล้ว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

มีพระประสงค์ของฮ่องเต้ การเคลื่อนไหวของราชสำนักจึงเร็วยิ่ง สามวันให้หลังการพระราชทานรางวัลให้แก่คุณหนูจวินก็สั่งลงมา

รางวัลพระราชทานมหาศาลนัก ประกาศแก่ใต้หล้าให้ประชาชนได้รู้ อีกทั้งนอกจากเงินทองหยกแพรพรรณ แล้วยังให้ราชทินนามยศองค์หญิงเสี้ยนจู่ชื่อหนึ่งให้ด้วย

“องค์หญิงซานหยาง”

เฉินชีบอกข่าวที่ได้รับมา

“ค่อนข้างใกล้บ้านของพวกเรา”

“ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้อำเภอซานหยางก็เป็นของพี่สาวข้าแล้วรึ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยขึ้นด้านข้าง

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า

“ฝันไปแล้ว” เขาเอ่ย “นี่เป็นเพียงราชทินนามชื่อหนึ่งเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด กินไม่ได้ใส่ไม่ได้” จ้าวฮั่นชิงเบะปากเอ่ย

หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงชิทีหนึ่ง

“เจ้ารู้อะไรเล่า แน่นอนกินได้ใส่ได้สิ” นางว่า “องค์หญิงเสี้ยนจู่เป็นบรรดาศักดิ์ เหมือนกับเฉิงกั๋วกงเช่นนั้น มีเบี้ยหวัดแล้วยังมีบารมีอีก”

“พี่สาวข้าทั้งไม่ขาดแคลนเงินทั้งไม่ขาดแคลนบารมี” จ้างฮั่นชิงเอ่ย

พี่สาวเจ้าร้ายกาจนักสิ! หลิ่วเอ๋อร์ไม่ทันรู้ตัวคิดอย่างโมโหฮึดฮัด แต่ก็ได้สติกลับมาอีกหน พี่สาวของนางก็คือคุณหนูของตน คุณหนูของตนย่อมร้ายกาจ

จะถูกยัยคนนี้ทำให้โกรธจนตายแล้วจริงๆ งานเยินยอคุณหนูเช่นนี้เป็นงานที่นางทำชัดๆ

หลิ่วเอ๋อร์กระทืบเท้าทีหนึ่งมองไปทางคุณหนูจวิน

“คุณหนูท่านร้ายกาจจริงๆ เจ้าค่ะ ได้เป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่แล้ว” นางเอ่ยขึ้นสีหน้าเริงร่า

คุณหนูจวินขานอ้อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“องค์หญิงยศเสี้ยนจู่หรือ” นางเอ่ยขึ้น “ไม่เลว ร้ายกาจมาก”

จูจั้นที่เงียบอยู่ด้านข้างประหนึ่งไม่อยู่เงยหน้าขึ้นมองนาง

องค์หญิงยศเสี้ยนจู่ ธิดาจักรพรรดิยศกงจู่ ธิดาชินอ๋องยศจวิ้นจู่ ธิดาของจวิ้นอ๋องยศเสี้ยนจู่ นางเดิมทีก็ยศจวิ้นจู่ และแน่นอนเคยเป็นกงจู่

อดีตองค์หญิงยศกงจู่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงยศเสี้ยนจู่ สำหรับนางแล้วคงเป็นเรื่องที่น่าขำยิ่งแล้วก็น่าเศร้ายิ่งสินะ

“ก็ไม่นะ” คุณหนูจวินเอ่ยบอก “ก็ค่อนข้างดีใจอยู่”

เวลานี้นางกลับมาอยู่ในห้องแล้ว หลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงอยู่ในลานไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันอยู่ ฟางจิ่นซิ่วตลอดมาไม่สนใจสองคนนี้ ส่วนเฉินชีไปเต๋อเซิ่งชางพบฟางเฉิงอวี่

ราชโองการนี่จะประกาศออกมาแล้ว ย่อมต้องขอบคุณพระกรุณาธิคุณ ต้องเข้าเฝ้า ต้องร่วมฉลองกับประชาชน เรื่องที่ต้องตระเตรียมมากมายนัก ฟางเฉิงอวี่กับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกำลังหารือทำงานยุ่งอยู่

ในห้องเงียบสงบ ในลานคนเดินไปมา เสียงพูดคุยไม่เบาไม่ดังเติมความครึกครื้นแต่ไม่เอะอะ ทำให้คนมีความสุขและสงบ

“องค์หญิงยศกงจู่เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ตายไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “ข้าเหมือนจากองค์หญิงยศกงจู่องค์หนึ่งกลายเป็นชาวบ้านตัวเปล่าที่สิ่งใดล้วนไม่มีทั้งสิ้น ยามนี้ทีละก้าวๆ ได้บรรดาศักดิ์เสี้ยนจู่มาอีกหนแล้ว”

นางมองไปทางจูจั้น จากนั้นเลิกคิ้วยิ้ม

“เสี้ยนจู่ได้มาแล้ว กงจู่ยังไกลอีกหรือ?”

“เจ้าช่าง…” จูจั้นเห็นท่าทางไม่จริงจังนี่ของนาง ไม่ทันรู้ตัวก็จะโพล่งออกมาอย่างคุ้นชิน พูดออกไปครึ่งหนึ่งก็พลันกลืนกลับไป กัดถูกโคนลิ้นจนสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวอยู่บ้าง แต่ยังพยามยามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมไว้สุดกำลัง

“…. คิดเช่นนี้ก็ดี” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด

“นี่ จูจั้นท่านอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ” นางเอ่ย “ไม่ต้องพูดไม่ออกจากใจเช่นนี้”

สายตาจูจั้นมองไปด้านข้าง

“พูดไม่ออกจากใจที่ไหน” เขาเอ่ย “นี่ดีมากจริงๆ”

คุณหนูจวินแววตาวูบไหวนิดหนึ่ง

“นั่นดีกับจวินจิ่วหลิงหรือดีกับฉู่จิ่วหลิงล่ะ?” นางเอ่ยถาม

หน้าจูจั้นแดงทันทีจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีขาวอีก แววตาอับอายหงุดหงิดทั้งยังโมโหอยู่บ้าง มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำหมัด

“เจ้า เจ้ามีธุระก็พูดธุระ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “อย่ารังแกคนเช่นนี้”

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด จากนั้นรีบกลั้นไว้

“ถ้าอย่างนั้น ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้า?” นางเอ่ยถาม

จูจั้นงุนงงวูบหนึ่ง เมื่อครู่พูดธุระกันจบทุกคนก็แยกย้ายแล้ว มีเพียงเขาเดินตามเข้ามา

ตามเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

หน้าเขาแดงอีกครั้ง จะพูดอธิบายอะไรสักประโยคก็เห็นท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสตรีคนนี้ คำอธิบายอะไรหลอกนางได้เล่า?

จูจั้นอ้าปากพะงาบๆ หมุนตัวก้าวยาวเดินออกไป

คุณหนูจวินขำแล้วก็จนปัญญาอยู่บ้าง

“เปลี่ยนมานุ่มนิ่มได้อย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “รังแกเขา จนทำให้ในใจข้าละอายอยู่บ้างแล้ว”

นางหมุนตัวมากำลังจะขึ้นชั้นบน ฝีเท้าดังตึงๆ ของคนนุ่มนิ่มผู้นั้นก็เดินกลับมาอีกหน

“ใช่ ข้าไม่ฏิเสธ” จูจั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะถามข้าว่าดีหรือไม่ดีกับจวินจิ่วหลิง ข้าก็ยังตอบเจ้าได้ว่าข้าไม่ดีกับนาง”

คุณหนูจวินมองเขาพลางส่ายศีรษะ

“ไม่ ท่านดีกับข้ายิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “สิ่งที่รับปากล้วนทำได้ นอกจากนี้ยังจริงใจ ดีทีเดียว”

“พูดประชดอะไร” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ

“ไม่ได้พูดประชดนะ ความจริงล้วนมองเห็นได้” คุณหนูจวินผายมือเอ่ย

จูจั้นมองนาง

“สรุปคือเจ้าจะคิดว่าข้าก่อนหน้ายโสภายหลังเคารพก็ดี หรืออย่างไรก็ช่าง ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้าหงึกๆ

“ข้าเข้าใจได้” นางเอ่ยตอบ “ท่านรู้จักฉู่จิ่วหลิง ส่วนจวินจิ่วหลิงเป็นคนแปลกหน้าของท่าน ท่าทีย่อมไม่เหมือนกัน”

ถึงกับคุยง่ายเช่นนี้…

หรือว่านางคุยง่ายเช่นนี้มาตลอด แค่ความรู้สึกของตนไม่เหมือนเดิม?

ช่าง…

มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวจูจั้นกำหมัดแล้วคลายออกแล้วกำหมัดอีกครั้ง ก้มศีรษะมองหลังเท้า

“แต่ หลังจากนี้ จะเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องคิดเหลวไหลรู้สึกว่าสองคนอะไรท่าทีอะไร” เขาพูดแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไรอีก จึงสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งเงยศีรษะขึ้น “อย่างไร ข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว”

“แน่นอนไม่มีทาง” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างตั้งใจ “ตั้งแต่วันแรกที่ท่านรู้จักข้า ข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นจวินจิ่วหลิงหรือฉู่จิ่วหลิง ข้าชินแล้ว ท่านเพียงยังไม่คุ้นชินเท่านั้น รอคุ้นชินก็ดีแล้ว”

จูจั้นเท้าเหยียบบนพื้นขยี้ไปมาขานอ้อทีหนึ่ง

“จะคุ้นชินแน่” เขาเอ่ย

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

“จะขึ้นมานั่งหน่อยไหม?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยถาม

จูจั้นขานอ้อ

“ไม่ต้อง ข้าอยู่ข้างนอกเฝ้าแล้วกัน ข่าวประกาศออกไปแล้ว คนแซ่ลู่ต้องคิดร้ายอีกแน่” เขาเอ่ย มองนางเร็วไวทีหนึ่ง “เจ้า เจ้าพักเถอะ”

พูดจบก็หมุนตัวก้าวเร็วไวเดินออกไปแล้ว

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขาแล้วส่ายศีรษะยิ้ม ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ

ใช่แล้ว ค่อยๆ คุ้นชินเถอะ จูจั้นยืนอยู่ตรงทางเดินพรูลมหายใจ

คุ้นชิน คุ้นชินไม่ง่ายจริงๆ

นางก็คือองค์หญิงจิ่วหลิงหรือ องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นเช่นนี้หรือ

จูจั้นมองท้องฟ้า

องค์หญิงจิ่วหลิงเป็นอย่างไรเล่า? ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกจดจำไม่ได้

ทำให้คนปวดหัวสับสนจริงๆ ไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไร คิดอะไรบ้าง

ความจริงตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาเขาควรคิดเรื่องมากมาย แต่สิ่งใดดันไม่ได้คิดเลย ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ไม่รู้ว่าควรคิดสิ่งใด

ก็เหมือนตอนนี้เช่นนี้ นอกจากกัดฟันสูดลมหายใจเกาศีรษะก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง

“ท่านต้องการยาหรือไม่?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู

จูจั้นเงยศีรษะขึ้นอย่างฉับไว เห็นหลิ่วเอ๋อร์กับจ้าวฮั่นชิงยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดนัก

ในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งด้วย

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยขึ้นหงุดหงิดอับอายอยู่บ้าง

“ท่านชาย ข้าเห็นท่านประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวขมวดคิ้วก้มศีรษะ โรคประสาทกำเริบใช่หรือไม่?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แกว่งขวดกระเบื้องในมือ “นี่เป็นยาลูกกลอนสงบจิตที่ทำขึ้นใหม่ๆ แพงมากนะ ขายให้ท่านหนึ่งเม็ดราคาถูกหน่อย”

จูจั้นสบถทีหนึ่งยกเท้าก้าวไวๆ จากไปแล้ว

หลิ่วเอ๋อร์เบะปากกับจ้าวฮั่นชิง

“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” นางว่า “คุณหนูของข้าเดี๋ยวก็ไม่ต้องการเขาแล้ว เขาเสียสติเป็นบ้าก็ปกติ”

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้าหงึกๆ แสดงว่าเห็นด้วย

“ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากพี่สาวไม่ต้องการข้าแล้วข้าจะเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น

ฟางจิ่นซิ่วที่ได้ยินเสียงดังเดินออกมาสำรวจด้านนี้พลันกลอกตาทีหนึ่ง

พวกคนไม่ปกติฝูงหนึ่ง!

………………