บทที่ 844 ฐานะของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 844 ฐานะของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

“เจ้าตัวคนเดียวหรือ”

หานเจวี๋ยถาม เขาก็ไม่ได้ถือสาหาความที่อริยะเทพอวี๋เจี้ยนทำตัวไร้มารยาทกับโจวฝาน ถึงอย่างไรอริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็ไม่ได้ทำร้ายโจวฝาน

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยว่า “เคยบุกเบิกฟ้าดินขึ้น ต่อมารู้สึกว่ายุ่งยาก จึงทอดทิ้งไป อยู่ได้ไม่ถึงหมื่นล้านปี โลกนั้นก็ล่มสลายไป”

เขาเล่าอย่างสงบไร้อารมณ์ ราวกับโลกแห่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลย

โจวฝานฟังแล้วขมวดคิ้ว

แต่คำว่าหมื่นล้านปีสามคำนี้ก็ทำให้เขาไม่กล้าเป็นอริกับอีกฝ่ายแล้ว

มีชีวิตอยู่มาหมื่นล้านปี ผีเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าจะจัดที่พักให้เจ้าสักแห่ง ยามปกติห้ามมารบกวนสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนแค่นเสียง “วางใจเถอะ นอกจากเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ มรรคาสวรรค์ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่ทำให้ข้าสนใจได้แล้ว”

โจวฝานได้ยินก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “อย่าได้หมายตาเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ นี่คือยอดสมบัติของศิษย์ข้า”

“รู้แล้ว ข้าก็ไม่ถึงขั้นจะไปแย่งชิงสมบัติวิเศษจากชนรุ่นหลัง ไปเถอะ นำทางไป”

“อืม”

ทั้งสองเลือนหายไปจากในตำหนัก

โจวฝานเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่าคนเมื่อครู่คือผู้ใด

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยพาอริยะเทพอวี๋เจี้ยนมายังวังเยือนอริยะ แนะนำเขาต่อเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย

“อริยะเทพอวี๋เจี้ยน…”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมีสีหน้าตกใจ มีท่าทีนบน้อมให้เกียรติขึ้นมาทันที

ชัดเจนยิ่งนัก เขาเคยได้ยินนามนี้มาก่อน

หานเจวี๋ยมองอริยะเทพอวี๋เจี้ยน เอ่ยว่า “ต่อไปเจ้าก็พำนักฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่เถอะ”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพยักหน้ารับ

เขาหันหลังเดินไปที่มุมหนึ่ง นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ไม่ได้รังเกียจอะไรเช่นกัน

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยอีกสองสามประโยคก็จากไป

ในไม่ช้าการมาเยือนของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็แพร่ไปถึงแวดวงอริยะแล้ว ทำให้เหล่าอริยะยิ่งเชื่อมั่นในคำพูดหานเจวี๋ยมากขึ้น

เขาสามารถชักจูงอริยะมหามรรคมาได้จริงๆ!

สองหมื่นปีต่อมา

หงหยวนมาถึง นางหงายฝ่ามือขวาขึ้น ปล่อยโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่งออกมา หย่อนลงข้างๆ มรรคาสวรรค์ มีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของมรรคาสวรรค์แล้ว

หงหยวนเป็นฝ่ายติดต่อไปหาจอมอริยะเสวียนตู แจ้งว่าตนมาเพราะได้รับคำเชิญจากหานเจวี๋ย

เหล่าอริยชนตื่นเต้นขึ้นมา มีอริยะมหามรรคมาอีกรายหนึ่ง!

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังนำโลกใบหนึ่งมาด้วย!

โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์ได้ ข่าวแพร่ออกไปเร็วยิ่ง

ชั่วขณะนั้น แดนเซียนเกิดกระแสความเปลี่ยนแปลง มีข่าวลือสารพัด

….

ชั่วพริบตาเดียว

หานเจวี๋ยปิดด่านครบอีกห้าหมื่นปี

หลังจากบรรลุยอดมหามรรค ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของหานเจวี๋ยลดฮวบลงอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญที่ช้าลง แต่จู่ๆ เขาก็จับทิศทางในการฝึกไม่ได้

ไม่รู้ว่าสมควรฝึกบำเพ็ญอย่างไร

เขาลืมตาขึ้น เริ่มวิเคราะห์ตกตะกอนมรรคจิต

ยอดมหามรรคยังสามารถฝึกบำเพ็ญต่อไปได้แน่นอน ไม่มีทางหยุดนิ่งเด็ดขาด

มหามรรคไม่สามารถช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้อีกแล้ว

เขาสมควรใส่ใจอะไร

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปยังโลกอนธการ

ก่อนหน้านี้หลอมปรับเปลี่ยนดวงดาว แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไร

หานเจวี๋ยเริ่มทดลองอย่างต่อเนื่อง ดวงดาวบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถใช้พลังยอดมหามรรคหลอมปรับเปลี่ยนได้อีก ปราณอนธการกลายสภาพเป็นมิติอนธการ เสถียรมั่นคงอย่างยิ่ง ยกระดับขึ้นไม่ได้แล้วเช่นกัน

หลังผ่านการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายหานเจวี๋ยก็ค้นพบแนวทาง

ขยายโลกอนธการ!

ต้องบุกเบิกห้วงมิติในวิญญาณ ทำให้มันขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อมิติอนธการขยายตัวไป จะชักนำให้ปราณอนธการกำเนิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด เชื่อมโยงกับมิติอนธการ

เมื่อปราณอนธการเพิ่มมากขึ้น ตบะของหานเจวี๋ยก็จะก้าวหน้าตาม

ไม่ทราบเช่นกันว่าการขยายตัวของโลกอนธการจะมีขีดจำกัดหรือไม่ แต่ตอนนี้สามารถฝึกบำเพ็ญไปก่อนได้

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เข้าฝันหงหยวน พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง นับว่าพบหน้ากันแล้ว

หงหยวนลงหลักปักฐานเสร็จสิ้น ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าอริยะ ผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์ก็ไม่ได้ไปก่อความวุ่นวายที่โลกของหงหยวนดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หลังสิ้นสุดแดนความฝัน หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

เมื่อเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ไม่ทราบเช่นกันว่าสถานการณ์ในแวดวงสหายจะเป็นอย่างไร หานเจวี๋ยจะสอดส่องโดยตรงเลยก็ได้ แต่แบบนั้นยุ่งยากเกินไป อีกอย่างรูปแบบจดหมายก็น่าสนใจกว่า

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[หานทั่วบุตรชายของท่านหวนคืนสู่ฟ้าบุพกาล]

[อี๋เทียนสหายของท่านหวนคืนสู่ฟ้าบุพกาล]

[เจียงเจวี๋ยซื่อสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมิ่ง] x19

[ตี้เจียงสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผานกู่สหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผานกู่สหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

….

[หวงจุนเทียนสหายของท่านผสานรวมกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[นักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

….

หานทั่วกับอี๋เทียนฝ่าออกมาได้แล้วหรือ

เห็นทีว่าระยะนี้การป้องกันของดวงจิตมหามรรคตนนั้นจะหละหลวมไป

สิบสองบรรพชนจอมเวทและผานกู่อยู่กันพร้อมหน้า นี่คือสัญญาณก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้น

หานเจวี๋ยไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งในศึกระหว่างเทพมารฟ้าบุพกาลและขุนพลศักดิ์สิทธิ์

ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ล้วนเป็นศัตรูของเขา

หากฐานะของเขาเปิดเผยออกไป เทพมารฟ้าบุพกาลต้องร่วมมือกันจัดการเขาแน่ เช่นนั้นไม่สู้ปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนตายไปข้าง แล้วเขาค่อยจัดการขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทีหลัง

ส่วนผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์ หานเจวี๋ยไม่ได้วิตกมากนัก ศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างทยอยกลับมาแล้ว หากว่ายั่วโทสะจนจอมเทวาฟ้าบุพกาลลงมือจริงๆ อย่างมากเขาก็แค่รับตัวศิษย์ทั้งหมดกลับสู่อาณาเขตเต๋า

แต่เขาคิดว่าจอมเทวาฟ้าบุพกาลคงไม่ถึงขั้นออกโรงเอง ตัวเขาเป็นตัวตนสูงสุดในฟ้าบุพกาลอยู่แล้ว อีกทั้งหานเจวี๋ยก็ทำไปเพื่อป้องกันตัว จอมเทวาฟ้าบุพกาลจะลงมือได้อย่างไร

อีกอย่าง หานเจวี๋ยยังมีที่พึ่งอย่างผานกู่อยู่

ผานกู่ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในปัจจุบันนี้เป็นเพียงร่างแยก ต่อให้ถูกทำลาย ผานกู่ตัวจริงก็ยังอยู่

หากจอมเทวาฟ้าบุพกาลกล้าลงมือกับมรรคาสวรรค์ ผานกู่ไหนเลยจะอยู่เฉยได้

หานเจวี๋ยมีสัญชาตญาณบางอย่าง รู้สึกว่าผานกู่ไม่น่าจะด้อยไปกว่าจอมเทวาฟ้าบุพกาลมากนัก

ยังมีบรรพชนเต๋าที่ลึกลับไม่อาจหยั่งรู้ได้คนนั้นอีก

สองคนนี้สิถึงจะเป็นที่พึ่งพาอย่างแท้จริงของมรรคาสวรรค์

หลังตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยเข้าฝันจอมเทพข่งเซวี่ย

ช่วงนี้เจ้าคนผู้นี้อยู่ไม่นิ่งอีกแล้ว บาดเจ็บมาอีกแล้ว!

หรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคที่โจมตีเขาจะเป็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์

หานเจวี๋ยไปพบจอมเทพข่งเซวี่ยด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ในแดนความฝัน艾琳小說

จอมเทพข่งเซวี่ยลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย เขามีสีหน้าอับอายขึ้นมาในทันใด

ทุกครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะมาเข้าฝันเขาเสมอ ถึงแม้จะเป็นความห่วงใย แต่ก็ทำให้เขารู้สึกขายหน้ายิ่งนักอยู่ดี

จอมเทพข่งเซวี่ยรีบกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้พ่ายแพ้ให้ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน อีกทั้งไม่ได้ถูกอริยะมหามรรคสะกดข่ม แต่เป็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์!

“หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ แข็งแกร่งเหลือเกิน! เพียงหนึ่งในนั้นถลึงตาใส่ข้าคราหนึ่ง วิญญาณของข้าก็แทบจะกระเจิดกระเจิงแล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ จอมเทพข่งเซวี่ยอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้

เขาไม่เคยพบพานเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน

หานเจวี๋ยถาม “เจ้าจะพิสูจน์มหามรรคยามใด”

จอมเทพข่งเซวี่ยตอบว่า “ใกล้แล้ว ข้าผ่านการตรวจตราของขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาได้ ต่อไปก็ฝึกฝนอย่างสบายใจได้แล้ว ได้ยินว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องการทำลายเทพมารฟ้าบุพกาล มรรคาสวรรค์ รวมถึงเทพมารอนธการอันแสนลึกลับด้วย เป็นความจริงหรือไม่”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ อย่างไรก็ตามเจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“ท่านคิดเห็นอย่างไรกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์”

จอมเทพข่งเซวี่ยถามอย่างระมัดระวัง สรรพสิ่งร่ำลือเกี่ยวกับฐานะของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีประโยคที่เจ้าชะตาอนธการเอ่ยไว้ก่อนดับสูญ ทำให้สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลคิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือดวงจิตมหามรรค

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ระเบียบฟ้าบุพกาลถูกกระตุ้นจึงส่งตัวพวกเขาออกมาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา อย่าได้ถามมาก อย่าได้คิดมาก”

เมื่อจอมเทพข่งเซวี่ยได้ฟัง ในใจพลันคาดเดาไปมากมายนัก

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับ “รีบพิสูจน์มหามรรคเสีย หากได้รับบาดเจ็บก่อนพิสูจน์มหามรรคอีก ข้าคงต้องพิจารณาคุณสมบัติของเจ้าใหม่จริงๆ”

………………………………………………………………