บทที่ 890 กับดักอันตราย
บทที่ 890 กับดักอันตราย
หลังจากพากันเข้ามาในเรือน ชิวฮัวเล่ยหย่อนตัวเองลงบนเก้าอี้ เวลาผ่านไปพอสมควร ความหงุดหงิดของนางก็เริ่มเบาบางลง “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากมาได้ ช่างเป็นความสำเร็จที่น่ายกย่องไม่ว่าเราจะเป็นมิตรหรือศัตรูต่อกัน”
“ข้าแค่โชคดี ข้าควรจะขอบคุณที่เจ้าดูแลข้าตลอดทาง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย” ซูอันกล่าวด้วยความจริงใจ
“เฮอะ เจ้ากำลังทำให้ข้าดูเหมือนคนทรยศของสำนักศักดิ์สิทธิ์” ชิวฮัวเล่ยตอบ “เจ้าสามารถหนีจากความตายได้เพราะความสามารถของเจ้าเอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ซูอันพยักหน้า “แน่นอน ๆ”
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบ ๆ พวกเขาไม่ต้องการคำพูดเพื่อแสดงถึงความคิดที่แท้จริงต่อกัน
ชิวฮัวเล่ยกระแอมไอเบา ๆ “เจ้ามอบวิชาวัฏจักรหงส์อมตะให้จักรพรรดิไปจริง ๆ เหรอ?”
“อืม” ซูอันตอบ
แน่นอน ไม่มีทางที่เขาจะบอกใคร ๆ ว่าตัวเองได้ดัดแปลงวิชาวัฏจักรหงส์อมตะก่อนมอบให้จักรพรรดิ
“ถ้านั่นเป็นแผนของเจ้ามาโดยตลอด เจ้าควรมอบมันให้เจ้าสำนักของข้าแทนจะดีกว่า ใครจะรู้ เจ้าอาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าสำนัก ดีกว่าเป็นเพียงแค่ขุนนางระดับล่างเท่านั้น” ชิวฮัวเล่ยรู้สึกเสียดาย
“แต่นั่นอาจทำให้จักรพรรดิกวาดล้างสำนักของเจ้า” ซูอันตอบ
ชิวฮัวเล่ยเงียบไป
เป็นความจริงที่ว่า ในปัจจุบันสำนักศักดิ์สิทธิ์ไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องตัวเองจากจักรพรรดิได้ “แต่ทำไมจักรพรรดิถึงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่? เว้นแต่…หรือว่า? วิชาวัฏจักรหงส์อมตะไม่สามารถให้ความเป็นอมตะได้งั้นเหรอ?”
ซูอันยิ้มอย่างคลุมเครือ “ข้าลืมไปแล้วว่าข้าถูกถามคำถามนี้มากี่ครั้ง แต่มันเป็นความจริง วิชาวัฏจักรหงส์อมตะไม่สามารถให้ความเป็นอมตะได้จริง”
นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แม้แต่วิชาวัฏจักรหงส์อมตะที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถให้ความเป็นอมตะได้หากใช้วิธีบ่มเพาะของคนปกติ
“แล้วทำไมเจ้าไม่เปิดเผยข้อมูลนี้มาก่อน? ทำไมถึงต้องยอมวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเอาชีวิตรอด?” ชิวฮัวเล่ยบ่น ขณะที่นางนึกถึงอันตรายที่เขาพบระหว่างทาง
“ก่อนหน้านี้ต่อให้ข้าพูดไปมันก็ไม่มีใครเชื่อหรอกจริงไหม?” ซูอันกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ชิวฮัวเล่ยรู้ความจริงในข้อนั้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าเป็นราชเลขาของรัชทายาท?”
“ถูกต้อง”
“ราชเลขาต้องคอยอยู่รับใช้ตอนกลางวันหรือกลางคืน?”
ซูอันมองนางอย่างแปลกใจ “แน่นอนว่ากลางวัน วังตะวันออกอยู่ภายในวังชั้นใน พวกเขาจะปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นอยู่ข้างในตอนกลางคืนได้อย่างไร?”
“นั่นก็ดีแล้ว” ชิวฮัวเล่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูอันงงงวย “ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงถามข้าแบบนี้ล่ะ?”
“เปล่า แค่ถามเฉย ๆ” ดวงตาของชิวฮัวเล่ยเป็นประกาย หลังจากลังเลเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “เอาเป็นว่าเจ้าไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับบทบาทในฐานะราชเลขาของรัชทายาทให้มากนัก เมื่อทำหน้าที่เสร็จในแต่ละวันก็จงรีบกลับบ้านซะ อย่ารั้งอยู่ในนั้นนานเกินไป”
ซูอันมองนาง “เจ้าพูดแบบนี้เพราะเจ้ารู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“ไม่ได้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก แค่มีข่าวลือว่านางกำนัลและขันทีมักจะหายตัวไปในวังตะวันออก ข้าแค่กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าด้วย”
ซูอันรู้สึกอบอุ่น “ขอบคุณฮัวเล่ย แต่ข้าปกป้องตัวเองได้”
“ดีแล้ว” ชิวฮัวเล่ยตอบ ดูเหมือนนางไม่อยากอยู่ต่ออีก “ข้าโล่งใจที่เจ้าไม่เป็นไร งั้นข้าจะกลับแล้ว”
“ทำไมเจ้าต้องรีบกลับด้วย?” ซูอันไม่เต็มใจให้นางจากไป
ชิวฮัวเล่ยหันไปรอบ ๆ และยิ้มให้เขาอย่างคลุมเครือ “เจ้าเพิ่งทำอย่างว่ากับผู้หญิงคนอื่น แล้วตอนนี้เจ้ากำลังจะทำอะไรกับข้าอีกเหรอ? เจ้าไม่รู้สึกเหมือนกำลังหลงตัวเองมากเกินไปหรืออย่างไร?”
ซูอันฝืนยิ้ม “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
ชิวฮัวเล่ยพ่นลม “มันดึกแล้ว ข้าต้องรีบกลับ ข้ามีธุระมากมายของสำนักที่ต้องจัดการ”
“ถ้าเช่นนั้นหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรในอนาคต เจ้าก็บอกข้ามาแล้วกัน” ซูอันเสนออย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางแล้ว ข้าสามารถดูแลเจ้าได้”
ชิวฮัวเล่ยมองไปรอบ ๆ “ขุนนางคนสุดท้ายที่ทำงานกับเราถูกกำจัดทั้งตระกูล เจ้าอยากเดินตามรอยเท้าของเขาเหรอ?”
ซูอันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ข้าช่วยเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่สำนักของเจ้า”
“เฮอะ ช่วยข้ามันก็เท่ากับช่วยสำนักของข้าไม่ใช่เหรอ?”
ชิวฮัวเล่ยรู้สึกว่าอารมณ์ของนางเริ่มปลอดโปร่งขึ้น “ก็ดีที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าลงแรงมีมิตรไมตรีกับเจ้า เราจะได้พบกันอีกถ้าโชคชะตากำหนดไว้”
พูดจบนางเตะเท้ากับพื้นแล้วโผทะยานไปในอากาศ
ซูอันโบกมือให้นางอย่างรวดเร็ว “อ้อ ข้าลืมบอกไปว่าวันนี้คิ้วของเจ้าดูสวยกว่าปกติ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ชิวฮัวเล่ยหันกลับมาและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ไม่เสียแรงแล้วที่ข้าแต่งหน้ามา…
เมื่อซูอันเข้าไปในวังในเช้าวันรุ่งขึ้น สมองของเขาก็เต็มไปด้วยภาพร่างที่เย้ายวนของเจิ้งตานเช่นเดียวกับรอยยิ้มของชิวฮัวเล่ยก่อนที่นางจะจากไป
ผู้หญิงแต่ละคนมีเสน่ห์เฉพาะตัวของตัวเองอย่างแท้จริง และเป็นการยากที่จะบอกว่าใครเหนือกว่า
ไม่นานเขาก็ไปถึงพระราชวังตะวันออก หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว เขาถูกนำตัวไปยังห้องหนังสือของรัชทายาท
“รัชทายาทอยู่ภายใน โปรดรายงานด้วยตัวท่านเอง”
ซูอันพยักหน้า ขณะยืนอยู่นอกประตู เขาประกาศว่า “ราชเลขาองค์รัชทายาทที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ ซูอันขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”
“เข้ามา! เข้ามา!” เสียงขององค์รัชทายาทดังขึ้น
เขาสามารถจินตนาการได้ว่ารัชทายาทตื่นเต้นเพียงใดจากน้ำเสียง ซูอันหัวเราะคิกคักและผลักประตูเข้าไป แต่ต้องตื่นตัวทันทีเมื่อมีสายลมกรรโชกแรงปะทะสวนออกมา
ซูอันรีบก้าวหลบไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เขาเห็นของเหลวสีเหลืองสกปรกเทลงมาจากถังเหนือประตูพร้อมด้วยกลิ่นฉุนที่เขาสามารถบอกได้ว่ามันคือกลิ่นอะไร
เห็นได้ชัดว่ามีคนวางถังปัสสาวะไว้เหนือประตู เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาก็จะถูกถังฉี่คว่ำใส่ แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ก็น่าอับอายอย่างยิ่ง
เขานึกถึงคำเตือนของซ่างหงและภาพของซือคุนก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ชายหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะ คราวที่แล้วเจ้าหนีไปจากเมืองจันทร์กระจ่างค่อนข้างเร็ว แต่ครั้งนี้มาดูกันว่าข้าจะรับมือกับเจ้าอย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกทักษะนกเป็ดน้ำสีครามและผลักของเหลวสีเหลืองสกปรกออกไปด้วยความเร็ว
มีคนสองคนหัวเราะคิกคักอยู่หลังประตู เห็นได้ชัดว่าคนอ้วนคือรัชทายาท ในขณะที่ชายข้าง ๆ หล่อเหลากว่ามาก แม้ว่าสายตาที่ชั่วร้ายของเขาจะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียไป แต่ก็ดูสบายตามากกว่าคนอ้วนตัวโตที่อยู่ข้าง ๆ
ชายอีกคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือคุน เขารู้สึกโกรธเคืองเมื่อได้ข่าวว่าซูอันได้รับมอบหมายให้เป็นราชเลขาของรัชทายาท ซูอันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับตำแหน่งขุนนาง?!
มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอันธพาลข้างถนน! ไม่เพียงแต่มันจะได้ครอบครองเทพธิดาที่ตัวเขาเองใฝ่ฝันมานานเท่านั้น แต่บัดนี้มันได้รับมอบหมายให้เป็นราชเลขาของรัชทายาทตำแหน่งที่ทัดเทียมเท่ากับเขา!
โชคของไอ้นี่ช่างเหลือเชื่อ! เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงตัดสินใจจัดถังปัสสาวะนี้เพื่อให้ซูอันได้รับความเสื่อมเสีย
รัชทายาทเป็นคนคิดน้อยอยู่แล้วและชอบเรื่องกลั่นแกล้งประเภทนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงง่ายที่จะชักชวนให้ร่วมมือ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเป้าหมายของตัวเองจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เขาได้จัดค่ายกลธาตุลมไว้ที่ทางเข้าประตู ถังปัสสาวะนี้ควรเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะระดับหกก็ไม่สามารถหลบหลีกได้!