บทที่ 833 หวานเอ๋อร์ระวัง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 833 หวานเอ๋อร์ระวัง

บทที่ 833 หวานเอ๋อร์ระวัง

ฉินเย่จือหัวเราะเบา ๆ ราวกับว่าเพลิดเพลินกับท่าทางตื่นตระหนกของกู้เสี่ยวหวาน เขายื่นมือออกไปลูบไล้แก้มนวลเนียนของกู้เสี่ยวหวาน

แท้จริงแล้วสัมผัสนั้นเนียนนุ่นราวกับไข่ต้ม

เมื่อกู้เสี่ยวหวานถูกสัมผัสแผ่วเบาด้วยปลายนิ้วร้อนผ่าว นางรู้สึกได้ถึงความเสียวซ่านที่วิ่งจากฝ่าเท้าแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย

ร่างกายชาวาบราวกับตนได้ตกลงไปในธารน้ำที่เย็นยะเยือก สายตาของนางจ้องมองไปที่ฉินเย่จือ ดวงตากลมโตราวกับลูกองุ่นกะพริบปริบ ๆ

ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากความตกใจ

ไม่มีความรังเกียจ ไม่มีการต่อต้าน ทางกลับกันมีร่องรอยของความปีติและความคาดหวังอยู่ในใจ

สัมผัสแผ่วเบาที่พวงแก้ม อ่อนโยนราวกับขนนกอันนุ่มนวล

ความหวาดกลัวที่มีเมื่อครู่จางหายไปอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเพียงว่า หัวใจของนางเต้นระรัวราวกับมีกวางกระโดดโลดเต้นอยู่ในนั้น

ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสราวกับดวงจันทร์ที่สว่างไสวยามค่ำคืน

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้ต่อต้าน ฉินเย่จือก็รู้สึกมีความสุข

การเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนก่อให้เกิดความรู้สึกโหยหา

เมื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวานที่ยังไม่ถึงวัยแต่งงาน ฉินเย่จือก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในทันใด

เขาอายุสิบเจ็ดปี เมื่อดูจากเวลาก็ถึงวัยของชายหนุ่มที่ควรจะแต่งงาน

แต่ตอนนี้เมื่อมองไปยังแมวตัวน้อยที่ยังไม่ถึงวัยแต่งงาน ดูเหมือนว่าหนทางในอนาคตของเขานั้นยังอีกยาวไกล

อย่างน้อยที่สุด กู้เสี่ยวหวานก็ไม่รังเกียจสัมผัสของเขา ตรงกันข้ามก็สามารถเห็นร่องรอยของความตื่นเต้นและความสุขในดวงตาของนางได้

การค้นพบดังกล่าวทำให้หัวใจของฉินเย่จือเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย มันหอมหวานราวกับว่ากินน้ำผึ้ง

รอยยิ้มในดวงตาของฉินเย่จือ เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยนด้วยความรักอันลึกซึ้งในดวงตาที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นก็สบเข้าสายตาอันอ่อนโยนของฉินเย่จือ

นางไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจสิ่งใดเลย แต่ในชาติก่อนนางไม่เคยคบหากับชายใดมาก่อน แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมูก็เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าหัวใจเต้นแรงมีความสุขอย่างไร

สำหรับคนที่ส่งยิ้มตรงหน้านาง สายตาของเขามีคามหมายอย่างไร

นางรับรู้หมดทุกอย่าง

กู้เสี่ยวหวานมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ด้วยรอยยิ้มมุมปาก ในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักนั้น เหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

เพียงแค่…

กู้เสี่ยวหวานนั่งอยู่บนตักของฉินเย่จือ นางก้มหน้างุดมองเท้าของตนเอง จากนั้นมองไปที่มือเล็ก ๆ ของนางซึ่งดูเหมือนลูกหนังที่ไม่มีลม

นางอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น แม้ว่าคนในสมัยโบราณจะแต่งงานเร็ว แต่ก็ยังต้องรอจนกว่าจะอายุสิบสามปีจึงจะแต่งงานได้

นั่นคืออีกสองปี

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางคิดจะแต่งงานตอนอายุสิบสาม มันทำให้นางหวาดกลัวแทบตาย อายุสิบสามปีก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยเรียน

อีกอย่าง… ความรักในตอนนี้ถือว่าความรักแบบเด็ก ๆ หรือเปล่า?

สำหรับกู้เสี่ยวหวานซึ่งเคยเป็นเด็กดีมาก่อนในชีวิตก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้นับเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ

กู้เสี่ยวหวานนั่งบนตักของฉินเย่จือจากรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ตอนนี้จึงเริ่มอึดอัดมากขึ้นและพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้น แต่ในที่สุด ฉินเย่จือก็สามารถคว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้ เขาจะปล่อยกู้เสี่ยวหวานไปได้อย่างไร

ฉินเย่จือจับมือของกู้เสี่ยวหวานไว้และวางลงบนหน้าอกของตนเองโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้ม

กู้เสี่ยวหวานเองก็คลี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ก็ดูค่อนข้างหงุดหงิด

นางยังเด็กมาก แต่ฉินเย่จืออายุสิบเจ็ดปีแล้ว

เมื่อถึงวัยแต่งงาน ฉินเย่จือก็อายุยี่สิบปี ชาติที่แล้วหากฝ่ายชายไม่พูดถึงทะเบียนสมรส บางคนแต่งงานและมีลูกตั้งแต่อายุสิบเก้าปี นับประสาอะไรกับอายุยี่สิบปี

เมื่อนึกถึงผู้คนที่นี่ พวกเขาทั้งหมดแต่งงานกันเร็ว และเป็นเรื่องเกินจริงเล็กน้อยที่ฉินเย่จือจะไม่แต่งงานในวัยนี้

ถ้าพ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องยุยงให้ฉินเย่จือแต่งงานแน่นอน

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเขาตายจากไปแล้ว และก่อนหน้านี้เขาก็เคยบอกไว้ว่าจะแต่งงานกับนาง

ครั้นนึกถึงสิ่งนี้กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกกังวล และเสียใจที่ฉินเย่จือที่เป็นคนดี ไม่มีใครเทียบได้จะเป็นของคนอื่นในอนาคต แต่ใครกันที่ทำให้นางยังเด็กขนาดนี้

มีเวลาอีกสองปี ฉินเย่จือยินดีที่จะรอหรือไม่?

กู้เสี่ยวหวานมีสีหน้าขมขื่นและเศร้าหมอง แต่ฉินเย่จือก็สังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว และรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

กู้เสี่ยวหวานจะไม่พูดว่าเขาแก่กว่าตนเอง และถ้าเขาต้องการแต่งงานกับภรรยาในตอนนั้น สิ่งนี้จะไม่ทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับตัวนางเองหรือ?

นางทำได้เพียงพูดอย่างไม่จริงใจ “ข้ากำลังสงสัยว่าทำไมกู้ซินเถาจึงกลับมาหาเจียงหย่วนอีกครั้ง”

กู้เสี่ยวหวานรู้อยู่แล้วว่าทำไมกู้ซินเถาถึงกลับไปหาเจียงหย่วน

ลูกเศรษฐีรุ่นสองมีสาวงามแห่แหนมาหาเขาตั้งกี่คน

ในสมัยปัจจุบันเป็นฉันใด ในสมัยโบราณก็เป็นฉันนั้น

อย่างไรก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับว่าทายาทของพวกเขากำลังเล่นกับนาง หรือเต็มใจที่จะแต่งงานกับนางจริง ๆ

“นอกจากนี้ ทำไมหลิวเทียนฉือคนนั้นถึงหายไป”

กู้เสี่ยวหวานไม่เห็นหลิวเทียนฉือมานานแล้ว และนางก็ไม่เคยเห็นเสี่ยวเถาสาวใช้ที่น่ารำคาญของนางมาที่สวนกู้เพื่อสร้างเรื่องน่ารำราญใจและยืนยันที่จะพาฉินเย่จือไป

เมื่อมองไปที่เจียงหย่วนที่มาที่นี่ในวันนี้ มันทำให้นางนึกขึ้นมาได้

ถ้าหลิวเทียนฉืออยู่ที่นี่ เจียงหย่วนจะมีเวลาออกมาเที่ยวกับกู้ซินเถาได้อย่างไร?

และอีกอย่าง ตอนนั้นคือช่วงบ่าย

เมื่อฉินเย่จือหันไปด้านข้างก็กล่าวว่า “หลิวเทียนฉือคนนั้น ได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน และครอบครัวของนาง นางจึงถูกเรียกตัวกลับไป”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า โดยลืมสิ้นไปแล้วว่าตนเองนั่งอยู่บนตักของฉินเย่จื่อ เมื่อเขาเห็นความลำบากใจของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือจึงใช้มือข้างหนึ่งประคองกู้เสี่ยวหวานอย่างเบามือ คราวนี้ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานสั่นอย่างรุนแรง ฉินเย่จือที่ไม่ได้เตรียมตัว ด้วยน้ำหนักตัวที่เทลงมาทำให้ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานโซเซและนางกำลังจะล้มลงกับพื้น

ฉินเย่จือรีบก้มลงทันที ยื่นมืออีกข้างออกแล้วดึงกู้เสี่ยวหวานกลับเข้าสู่อ้อมแขนของเขา

“หวานเอ๋อร์ระวัง”

เสียงนั้นดังขึ้นข้างหู ความกังวลลึก ๆ และการตำหนิตัวเองที่ออกมาจากถ้อยคำนั้นลอยกระทบหูของกู้เสี่ยวหวานเหมือนคำสาป

ก่อนที่นางจะตอบว่าไม่เป็นอะไร หัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่ไปทั่วใบหูและแก้มของนางอย่างรวดเร็ว