บทที่ 847 เทพมารดับสูญ แรงกดดันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 847 เทพมารดับสูญ แรงกดดันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ผ่านไปห้าร้อยปีเต็ม หานเจวี๋ยถึงทำให้เสื้อคลุมเลิศธุลีแดงจดจำเจ้าของได้สำเร็จ

เรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสื้อคลุมเลิศธุลีแดงสลายตัวไป อยู่ในสภาพล่องหน แนบติดร่างของเขา เขาไม่จำเป็นต้องถอดเสี้อคลุมห้วงกาลวิถีออก

กล่าวก็คือ เขาสวมเสื้อคลุมวิเศษไว้ถึงสองตัว ป้องกันสองชั้น!

ไร้ช่องโหว่ให้โจมตี!

สมบูรณ์แบบ!

ตอนนี้หานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

เขาเปิดใช้แบบจำลองการทดสอบทันที ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนระดับยอดมหามรรคหนึ่งหมื่นคน

เขายืนเฉยๆ ปล่อยให้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนโจมตี

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกเขาถึงจะทำลายเสื้อคลุมเลิศธุลีแดงได้

เกราะป้องกันที่แน่นหนา

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็วางใจแล้ว

เขาหลับตาลงฝึกบำเพ็ญต่อ

….

ศึกที่อาณาเขตปฐมภพจบลงโดยที่เทพมารฟ้าบุพกาลถูกกวาดล้างจนหมด ผู้แข็งแกร่งอย่างเทพมารปฐมภพและผานกู่ก็ดับสูญเช่นกัน

ศึกนี้เปลี่ยนรูปการณ์ของฟ้าบุพกาลไปอย่างสิ้นเชิง สร้างความตื่นตะลึงให้แก่สรรพสิ่งฟ้าบุพกาล

เทพมารฟ้าบุพกาลเชียวนะ!

นับตั้งแต่สรรพสิ่งถือกำเนิด แทบทั้งหมดล้วนเคยได้ยินตำนานเทพมารฟ้าบุพกาลมาจนเติบใหญ่ เทพมารทั้งหมดคือตัวตนสูงสุดในใจของเหล่าสรรพสิ่ง

ไม่น่าเชื่อเลยว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะกวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาลมากมายได้ภายในศึกเดียว!

ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลตกอยู่ในความฮือฮา

หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไป ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากคือลิงโลด ถึงอย่างไรขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่คุกคามพวกเขา

เทพมารฟ้าบุพกาลถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลก็ได้โอกาสผงาดขึ้นมา!

เทพมารฟ้าบุพกาลครอบครองอาณาเขตแห่งหนึ่งไว้ได้ ทันทีที่ดับสูญลง อิทธิพลและอำนาจจะปั่นป่วนแค่ไหนก็ยากจะคำนวณได้

ในเวลาเดียวกันนี้ สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลให้ความสนใจกับมรรคาสวรรค์

เทพมารฟ้าบุพกาลสิ้นท่าแล้ว ต่อไปก็ถึงคราวของมรรคาสวรรค์

กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับมรรคาสวรรค์เดิมทีถูกพัฒนาการของมรรคาสวรรค์ในช่วงนี้ทำให้ตื่นตะลึง ถึงขั้นที่คิดว่ามรรคาสวรรค์อาจจะมีโอกาสปักหลักมั่นคงได้ แต่เมื่อเห็นจุดจบอันน่าอนาถของเทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว พวกเขาก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่ามรรคาสวรรค์ต้องตายแน่แล้ว

ข่าวแพร่ไปถึงภายในมรรคาสวรรค์ สรรพสิ่งในแดนเซียนต่างทราบเรื่องนี้แล้ว ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ในอันตราย

เหล่าอริยะต่างเทศนาธรรมภายในอาณาเขตเต๋าของตน ถือโอกาสปลอบขวัญผู้สดับมรรคไปด้วย ถ่ายทอดกันไปปากต่อปาก แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมในแดนเซียน

ส่วนหมื่นโลกาที่อยู่ด้านล่างแดนเซียนไม่ทราบถึงเรื่องนี้เลย ระดับแตกต่างกันมากเกินไป ข่าวเล็ดรอดไปไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง

ภายในตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยะมาชุมนุม แม้แต่อริยะของสำนักซ่อนเร้นก็มากันทั้งสิ้น

ทุกคนล้วนพูดคุยถึงศึกที่อาณาเขตปฐมภพ

“ไม่คิดเลยว่าจะสิ้นชีพกันหมดจริงๆ แม้แต่ผานกู่ก็ดับสูญเช่นกัน”

“นั่นสิ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่าเทพมารฟ้าบุพกาลจะสามารถคุกคามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ ได้ยินว่าหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ครบถ้วน”

“เฮ้อ อีกเดี๋ยวก็ถึงคราวของพวกเราแล้ว”

“อย่าพูดเลย จู่ๆ ข้าก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา”

“กลัวอันใดเล่า นี่ไม่นับว่าสบโอกาสพอดีหรือ เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลพ่ายแพ้ หากพวกเราเอาชนะได้ เช่นนั้นจะเกรียงไกรเลื่องลือขนาดไหนกัน”

“อวดอ้างอันใดอยู่ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราล้วนจะเป็นเพียงผู้ชมที่คอยให้กำลังใจเท่านั้น คอยมองอริยะสวรรค์เกรียงไกรรวมถึงอริยะมหามรรคทั้งสามท่านออกโรง”

หากมิใช่เพราะเหล่าอริยะสำนักซ่อนเร้นล้วนเปี่ยมความมั่นใจในตัวหานเจวี๋ย เกรงว่าตอนนี้ภายในตำหนักคงจะเงียบสงัดวังเวงและกดดัน

พวกเขาคาดเดาไว้แล้วว่าเทพมารฟ้าบุพกาลจะพ่ายแพ้ แต่ไม่คิดว่าจะสิ้นชีพกันถ้วนหน้า

ไม่รอดเลยสักตน!

ความรู้สึกตื่นตระหนกและกดดันที่มาจากจุดจบของศึกนี้แข็งแกร่งเหลือเกิน ตอนที่พวกเขาเพิ่งทราบข่าวนี้ ต่างรู้สึกหายใจแทบไม่ออก

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “ปิดเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลชั่วคราว เปิดให้สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์กลับมาเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ออกไป”

ผานซินและจิ้นเสินพยักหน้ารับ

จอมอริยะเสวียนตูเตรียมการต่อไป อริยะแต่ละคนล้วนได้รับจัดสรรหน้าที่เป็นระเบียบขั้นตอน อีกทั้งความสุขุมเยือกเย็นของเขาก็ทำให้เหล่าอริยะสบายใจมากขึ้น

พวกเขาทำได้เพียงเลือกเชื่อใจในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกร

….

หานเจวี๋ยปิดด่านครบห้าหมื่นปีอีกครั้ง เขาลืมตาขึ้น ไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารที่ถือกำเนิดใหม่ออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถาม “นายท่าน ขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาโจมตี ท่านมีความมั่นใจหรือไม่”

นางทราบสถานการณ์ศึกที่อาณาเขตปฐมภพผ่านทางหมื่นโลกาฉายชัด เป็นกังวลอย่างยิ่ง

ลี่เหยาก็มองหานเจวี๋ยเช่นกัน

หานเจวี๋ยตอบสั้นๆ “ไม่มี”

“หา?”

อู้เต้าเจี้ยนลนลานขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเรารีบหนีกันเถอะเจ้าค่ะ!”

หานเจวี๋ยแสดงสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

ลี่เหยากล่าวอย่างจนปัญญา “หากว่าไม่มีความมั่นใจจริงๆ ท่านเจ้าสำนักยังต้องรอให้เจ้าเตือนอีกหรือ”

อู้เต้าเจี้ยนกระจ่างขึ้นมาในทันใด

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “สงบใจฝึกบำเพ็ญไปเถอะ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้คนสุดท้ายของพวกเราแน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านี้ มีเคราะห์ภัยที่มหันต์กว่านี้รอให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าอยู่ คงไม่ใช่ว่าจะให้ข้าออกโรงจัดการด้วยตัวเองเสียทุกเรื่องไปตลอดกระมัง”

ลี่เหยาพยักหน้ารับ

อู้เต้าเจี้ยนละอายใจ

จะว่าไป ศิษย์สำนักซ่อนเร้นอย่างพวกเขายังไม่เคยช่วยแบ่งเบาภาระของหานเจวี๋ยเลย

หานเจวี๋ยพูดคุยกับพวกนางอีกสองสามประโยค ก็กลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรี

เขาเงยหน้ามองออกไปในฟ้าบุพกาล

อาศัยเจตจำนงทอดมองฟ้าบุพกาลจากมุมสูง หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังมุ่งหน้าเข้าใกล้มรรคาสวรรค์ ทั้งหมดเรียงแถวเป็นเส้นตรง ไม่คดงอเลยสักนิด

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังมาแล้วจริงๆ!

ถึงแม้หานเจวี๋ยจะเตรียมตัวพร้อมนานแล้ว แต่พอจะเปิดศึกเข้าจริง ก็ยังคงประหม่าอยู่บ้าง

แม้ว่าหานเจวี๋ยจะใช้ชีวิตมากว่าสามล้านปีแล้ว แต่กลับเผชิญศึกใหญ่เช่นนี้น้อยยิ่งนัก

ตื่นเต้น!

คาดหวัง!

ประหม่า!

และกระวนกระวายเล็กน้อย!

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หากข้าทำลายล้างหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จะตายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

หานเจวี๋ยโล่งใจ

เขาเปลี่ยนคำถาม ‘หากข้าทำลายล้างหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จอมเทวาฟ้าบุพกาลจะออกโรงด้วยตัวเองหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

นี่จอมเทวาฟ้าบุพกาลจะไม่ลงมือเลยหรือ

เป็นเต่าหดหัวหรือไร

ผิดปกติ

‘หลังจากข้าทำลายล้างหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจอมเทวาฟ้าบุพกาลถึงไม่ลงมือ’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[มีตัวตนลึกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง]

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

จะเป็นผานกู่ หรือว่าเป็นบรรพชนเต๋า หรือว่าเป็นทั้งสองร่วมมือกัน

ตอนนี้หานเจวี๋ย วางใจอย่างเต็มที่แล้ว

อันที่จริงต่อให้จอมเทวาฟ้าบุพกาลลงมือ เขาก็ไม่กลัว

อย่างมากก็แค่หดหัวอยู่ในอาณาเขตเต๋า

หานเจวี๋ยจับตามองฟ้าบุพกาลต่อ

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังเร่งความเร็วขึ้น!

เร็วขึ้นเรื่อยๆ!

หานเจวี๋ยลุกขึ้นมา พามหาอริยะสวีหุนออกจากมรรคาสวรรค์ มายังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เข้าสู่ตำหนักเอกภพ

มหาอริยะสวีหุนประหม่าสุดขีด เขาทราบดีว่าเหตุใดหานเจวี๋ยถึงพาเขาออกมา

ก่อนหน้านี้เขาก็สอดส่องฟ้าบุพกาลเช่นกัน ได้เห็นถึงความอหังการของขุนพลศักดิ์สิทธิ์

‘นายท่าน ท่านพาข้าออกมาทำไม ข้าก็แค่ตัวรับเคราะห์…’

มหาอริยะสวีหุนโอดครวญอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

ครั้งก่อนที่นักพรตเต๋าเสินเผามาโจมตี เขาขายขี้หน้ายิ่ง คิดหาทางกู้หน้าคืนมาตลอด ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเคราะห์ภัยมาเยือนมรรคาสวรรค์ ผลคือน่าหวาดกลัวกว่าก่อนหน้านี้นับหมื่นนับพันเท่า!

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้กัน

มหาอริยะสวีหุน รู้สึกว่าท่ามกลางความมืดมิดมีผู้ทรงพลังกำลังเพ่งเล็งตนอยู่

จอมอริยะเสวียนตูเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น ก็ลุกขึ้นมาทันที

ในอดีตที่ผ่านมาเขาไม่เคยลุกขึ้นมาเลย เห็นได้ชัดว่าในใจเขาแบกรับแรงกดดันไว้

อย่ามองเพียงว่าตามปกติแล้วเขาสงบนิ่งเรียบเฉย ความจริงแล้วเขารู้สึกกดดันมากที่สุด เขาดูแลปกครองภาพรวมของมรรคาสวรรค์ ไม่อาจปล่อยให้ล่มสลายได้

จอมอริยะเสวียนตู เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “สหายเต๋าหาน มีเรื่องใดหรือ”

ในใจเขาประหม่าสุดขีด กลัวหานเจวี๋ยจะบอกว่าสู้ไม่ไหว ต้องการหลบหนี

หากเป็นเช่นนั้น เขาจะเผชิญหน้ากับสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์อย่างไร จะเผชิญหน้ากับอริยะรายอื่นอย่างไร

หานเจวี๋ยนั่งลงข้างกายเขา กล่าวว่า “เรียกเหล่าอริยะมารวมตัวเถิด ขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังมาแล้ว มารอคอยขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยกัน”

………………………………………………………………