บทที่ 671 รักใคร่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 671 รักใคร่

อะไรของพวกเจ้า ทีแรกก็แลกโคมไฟกัน มิหนำซ้ำยังแลกเครื่องปรุงกันรึ

มู่ชิงเฉินเริ่มรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แล้วจู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกอิ่มขึ้นมาทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยด้วยซ้ำ

“เขากินเผ็ดไม่ได้” มู่ชิงเฉินเอ่ยพลางรีบคว้าขวดพริกเอาออกมา

เซียวเหิงหรี่ตามองกู้เจียวหนึ่งที

ขณะที่กู้เจียวกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ก็เจอกับสายตาของมู่ชิงเฉินจ้องเขม็งราวกับบอกว่าอยากเป็นริดสีดวงทวารอีกรึไง

กู้เจียว “…”

นี่เขายังจำได้อยู่อีกหรือ

“ขอ… ขอแค่ช้อนเดียว” กู้เจียวรีบตักพริกโยนลงชามของตัวเองอย่างรวดเร็วจนมู่ชิงเฉินห้ามไม่ทัน

กู้เจียวพอใจกับรสชาติของเกี๊ยวมาก ยิ่งใส่พริกเข้าไปยิ่งเพิ่มรสชาติ

ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนมู่ชิงเฉินยังคงนั่งนิ่ง

แม้ไม่อยากมองพวกเขา แต่ก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ทั้งแก้มป่องแล้วไหนจะท่าทางเคี้ยวตุ้ยๆ ของกู้เจียวให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

มู่ชิงเฉินคิดได้ดังนั้นก็รีบขมวดคิ้ว

เหตุใดเขาถึงมองผู้ชายน่ารักไปได้เล่า

เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ !

จากนั้นเขาเบนสายตาไปมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างหลงอี แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่สามารถใช้คำว่าน่ารักได้ ในกลับกันท่าทางของเขาทั้งอ่อนโยนและสง่างาม เปล่งรัศมีของท่านชายผู้สูงศักดิ์

มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขามาจากครอบครัวที่อบรมเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดี

แต่ไม่ว่าอย่างไร มู่ชิงเฉินก็นึกไม่ออกว่าเขาผู้นี้เป็นท่านชายคนไหนของตระกูลดังในเมืองเซิ่งตู

หรือว่า เขาจะไม่ใช่คนเซิ่งตู

ไม่สิ ทั้งสำเนียง ทั้งเจ้าตัวเองก็ยอมรับแล้ว

ระหว่างที่มู่ชิงเฉินกำลังนั่งคิดไม่ตก มู่ชวนและคนอื่นๆ ก็ตามมาสมทบพอดี

“พี่สี่! ลิ่วหลัง!”

กลายเป็นเซียวเหิงที่หันไปหามู่ชวนแทน

มู่ชวนขมวดคิ้วพลางนึกในใจ ข้าไม่ได้เรียกเจ้าสักหน่อย

“ลิ่วหลัง ข้าเรียกเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่ขานรับข้า” มู่ชวนเดินมาที่โต๊ะและแสดงท่าทีไม่พอใจ

กู้เจียวคีบเกี๊ยวเข้าปากแล้วหันไปตอบสั้นๆ “ข้ายุ่งอยู่”

ยังไม่ยอมรับอีกว่าตัวเองไม่ทันได้ฟัง

“กินอิ่มแล้วหรือยัง” เซียวเหิงถามกู้เจียว

“ยังกินได้อีกหน่อย” กู้เจียวตอบ

ที่เซิ่งตูแห่งนี้อะไรก็ดีไปหมด จะติดก็แค่ปริมาณข้าวที่น้อยไปนิด

“เหลือท้องไว้ทานอย่างอื่นบ้างก็ได้” เซียวเหิงยิ้มอ่อน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“อื้อ ได้สิ!” กู้เจียวตอบอย่างกระตือรือร้น

มู่ชิงเฉินเห็นดังนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเขาดูเป็นมิตรขนาดนี้

มู่ชวนหันไปมองเซียวเหิงหนึ่งที ก่อนถาม “นี่ใครรึลิ่วหลัง”

“นี่สหายใหม่ของข้า นามว่าหลงอี” กู้เจียวแนะนำเซียวเหิงให้ทุกคนรู้จัก

“ที่แท้ชื่อของเจ้าคือลิ่วหลัง” เซียวเหิงเอ่ย

กู้เจียวหันไปตอบอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว ข้ามีนามว่าลิ่วหลัง และนี่คือสหายของข้า”

“ข้าคือมู่ชวน”

“หยวนเซี่ยว”

“จ้าวเวย”

พวกเขาแนะนำตัวกันทีละคน

ส่วนมู่ชิงเฉินไม่เอ่ยอะไร เพราะไม่ได้อยากทำความรู้จักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

กระนั้น มู่ชวนก็พูดแทนเขาอยู่ดี

“พวกเราเรียนอยู่สำนักบัณฑิตเดียวกัน พี่สี่คนนี้ก็เช่นกัน แถมเขายังเป็นเพื่อนร่วมหอพักของลิ่วหลังด้วย!” มู่ชวนกล่าว

ฟังจบ สีหน้าของเซียวเหิงก็นิ่งลงทันที

กู้เจียวที่กำลังซดน้ำแกงอยู่ก็เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกล

ลางสังหรณ์บ้านแตกนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน

กู้เจียวรีบวางถ้วยลงพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยนอนที่หอพักเลยสักครั้ง!”

เซียวเหิงแอบถอนหายใจเบาๆ

ส่วนมู่ชิงเฉินก็มองกู้เจียวราวกับกำลังจับพิรุธ

กู้เจียวรีบกระแอมกลบเกลื่อน จากนั้นลุกขึ้นยืน “เอาละ ข้าอิ่มแล้ว! ไปกันเถอะ อ้อ จริงสิ อาจารย์อู่ไปไหนเสียแล้วล่ะ”

ทักษะการเปลี่ยนเรื่องคุยนี่ไว้ใจนางได้เลย!

“พวกเราแอบออกมาตอนที่อาจารย์กำลังดูกายกรรมอยู่!” มู่ชวนอธิบาย

เที่ยวงานรื่นเริงแบบนี้กับอาจารย์ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน

“ตรงนั้นมีงานแสดงบทกวีด้วยล่ะ พวกเราไปดูกันเถอะ!” จ้าวเวยเสนอความเห็น

ด้วยความที่พวกเขาเป็นบัณฑิตด้านบุ๋น ไม่แปลกที่จะมีความสนใจด้านบทกวี ขณะที่กู้เจียวมัวแต่คิดหาทางไม่ให้คุณสามีงอน ก็เลยไม่ปฏิเสธที่จะไปด้วยกัน

แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกัน

เซียวเหิงเดินประกบกู้เจียวฝั่งซ้าย มู่ชิงเฉินอยู่ฝั่งขวา

มู่ชวนและคนอื่นๆ จึงทำได้แค่เดินตามหลัง

“นี่ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสามคนนั้นดูแปลกๆ ” จ้าวเวยเป็นคนเริ่มถามก่อน

“แปลกตรงไหนรึ” มู่ชวนถาม

“นั่นสิ แปลกตรงไหน” หยวนเซี่ยวถามต่อ

จ้าวเวยย่นคิ้วลงขณะที่มองสามคนข้างหน้า “ข้าก็พูดไม่ถูก แบบว่า…พวกเขาสามคน…เดินเบียดกันเกินไป”

“พวกเราสามคนก็เดินเบียดเหมือนกันแหละ ถนนก็มีอยู่แค่นี้ แถมคนเดินพลุกพล่าน จะไม่ให้เบียดได้อย่างไร” หยวนเซี่ยวเถียงกลับ

“แต่มันไม่เหมือนกันนะ!” จ้าวเวยยังคงยืนกราน

“ไม่เหมือนตรงไหน” หยวนเซี่ยวถามแบบงงๆ

จ้าวเวยเกาศีรษะ “ก็แบบ…เฮ้อ ถ้าข้าอธิบายได้ก็คงไม่ถามพวกเจ้าหรอก”

“ช่างเถอะ” จ้าวเวยถอนหายใจ

ในกลุ่มเพื่อน จ้าวเวยคือคนที่มีนิสัยค่อนข้างคิดเล็กคิดน้อย

ขณะที่อีกสองคนเลือกที่จะสนใจบรรยากาศรอบๆ มากกว่าที่จะมายืนสังเกตว่าใครเบียดใครไม่เบียด

ประเพณีพื้นบ้านของแคว้นเยี่ยนค่อนข้างเปิดกว้างเมื่อเทียบกับอีกหกแคว้น เหล่าสตรีพากันเดินถือโคมไฟ ขณะที่ฝั่งผู้ชายไม่ค่อยไม่ใครทำแบบนั้นเท่าไหร่นัก แต่เซียวเหิงและกู้เจียวกลับต่างออกไป

พวกเขาทั้งคู่เดินถือโคมและเดินด้วยกัน ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

แล้วพวกเขาก็เดินมาถึงจุดที่แสดงบทกวี จัดขึ้นโดยภัตตาคารแห่งหนึ่ง นอกจากการแสดงบทกลอนแล้ว ยังมีคำปริศนาโคมไฟ เล่นเชื่อมคำ และปากู่เหวินอีกด้วย

คำปริศนาโคมไฟเป็นการเล่นที่ง่ายที่สุด อีกทั้งของรางวัลที่ได้ก็ดูธรรมดาที่สุดด้วย

รางวัลที่หนึ่งเป็นโคมไฟน้ำเต้าที่ทำจากแผ่นทองประดับด้วยลวดที่ทำจากทองแท้ เป็นของมีราคาสูง

โดยผู้ที่มีสิทธิ์ได้โคมนี้จะต้องเข้าร่วมแข่งขันแต่งกลอนปากู่เหวิน ใครเขียนออกมาได้ดีที่สุดก็จะได้รางวัลชิ้นนี้ไปครอง

กู้เจียวมองโคมน้ำเต้าตาเป็นมัน

จิ้งคงต้องชอบมากแน่ๆ

“เจ้าอยากได้รึ” เซียวเหิงกระซิบถามนาง

ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำเอากู้เจียวรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย นางรีบเอามือป้องหูแล้วพยักหน้า “อื้อ”

เซียวเหิงจึงเดินเข้าไปในอาคารพื้นที่แข่งขัน หาโต๊ะว่างแล้วนั่งลงอย่างไม่รอช้า

“เอ๋ หลงอีเดินเข้าไปแล้วรึ” มู่ชวนถาม

กิจกรรมอื่นถูกจัดนอกอาคาร มู่ชวนต้องการแค่เล่นคำปริศนาโคมไฟเท่านั้น

จากนั้น มู่ชิงเฉินก็เดินเข้าไปในอาคารด้วยอีกคน

“พี่สี่” มู่ชวนตกตะลึงกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันไปทางโคมน้ำเต้ารางวัลที่หนึ่ง พลางคิดในใจ ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหน พี่สี่อยากได้มันจริงๆ รึ

มู่ชิงเฉินเลือกที่นั่งที่ห่างจากเซียวเหิงออกไปราวสามสี่โต๊ะ

ทั้งสองก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างตั้งใจ

ไม่นาน ทุกสายตาก็จับจ้องมาทางนี้

บัณฑิตคนหนึ่งที่กำลังนั่งข้างหน้าต่างหันไปตบโต๊ะของเพื่อนที่มาด้วยกัน “เจ้าดูโต๊ะนั้นสิ ใช่ท่านชายชิงเฉินหรือไม่”

ทันทีที่เขาเอ่ยจบ คนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็หันไปทางเดียวกัน

อีกคนที่จำได้ว่าเป็นมู่ชิงเฉินแน่ๆ เอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนจะใช่จริงๆ ด้วย!”

“เดี๋ยวสิ เขามาที่นี่เพื่ออะไร คนอย่างเขาก็อยากได้โคมนั่นด้วยรึ”

“เขาคงไม่ได้มาพังงานใช่ไหม”

“นั่นสิ ระดับท่านชายอันดับหนึ่งยังมาเขียนปากู่เหวินถึงที่นี่ แล้วพวกเราจะเหลืออะไรล่ะ”

ไม่นานก็มีคนเริ่มยอมแพ้แล้ววางพู่กันลง

แค่ท่านชายชิงเฉินคนเดียวก็ตัดโอกาสชนะของพวกเขาไปมากแล้ว

ขณะเดียวกัน กู้เจียวและคนอื่นๆ ที่รออยู่ข้างนอกก็เล่นทายปริศนาโคมไฟจนได้รับรางวัลเป็นโคมไฟรูปร่างหลากสีต่างๆ มามากมาย แล้วพวกเขาก็เอาไปมอบให้กับเด็กผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา

เรื่องที่ท่านชายมู่ชิงเฉินอยู่ที่นี่เริ่มแพร่กระจายเป็นวงกว้าง จนมีผู้คนจำนวนมากเข้ามามุงดู

ในที่สุดหลังจากที่เสียงฆ้องดังขึ้น เจ้าของร้านก็ออกมาด้วยรอยยิ้มและหยิบโคมน้ำเต้าสีทองลงมา

“มีคนได้ที่หนึ่งแล้วสินะ! ใครกัน!”

“ไม่รู้สิ!”

“ต้องเป็นท่านชายชิงเฉินแน่ๆ !”

เจ้าของร้านมองไปรอบๆ ฝูงชน ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางกู้เจียวพร้อมกับตะเกียง แล้วเอ่ยอย่างสุภาพ “ใช่ท่านชายเซียวลิ่วหลังหรือไม่”

“ใช่แล้ว” กู้เจียวตอบ

“ยินดีกับท่านชายเซียวด้วย!” เจ้าของร้านเอ่ยพร้อมกับยื่นโคมน้ำเต้าให้ด้วยสองมือ

“เขาไม่ได้เข้าไปแข่งสักหน่อย!” เริ่มมีคนไม่พอใจแล้วตะโกนขึ้น

เจ้าของร้านคลี่ยิ้มให้กู้เจียว “สหายของท่านชายเซียวเป็นผู้ร่วมการแข่งขัน ปากู่เหวินของเขาได้รับคำชมจากท่านสมุหนายกหยาง และเขากำชับไว้ว่าจะมอบรางวัลนี้ให้กับท่านชายเซียว ดังนั้นโปรดท่านรับไว้ด้วย”

แล้วกู้เจียวก็รับโคมน้ำเต้าสีทองมา

คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันตะลึงหลังได้ยินชื่อของสมุหนายกหยาง

“สวรรค์โปรด! ท่านสมุหนายกหยางมาที่นี่ด้วยหรือ!”

“ถ้ารู้ว่าท่านจะมา ข้าคงไปเข้าร่วมแข่งแต่แรก! ชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการอะไรแล้วถ้าปากู่เหวินของข้าได้รับคำแนะนำจากท่านสมุหนายกหยาง!”

สมุหนายกหยางเป็นผู้นำในโลกวรรณกรรม ทุกคนที่มาเรียนที่เซิ่งตูล้วนปรารถนาที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่น่าเสียดายที่สมุหนายกหยางไม่รับลูกศิษย์เป็นการส่วนตัว

ไม่นาน เซียวเหิงและมู่ชิงเฉินก็เดินออกมา

พวกเขาตรงมาหากู้เจียวทั้งคู่

ความสงสัยของชาวบ้านก็คลี่คลายเมื่อเห็นมู่ชิงเฉินและกู้เจียวอยู่ในชุดเครื่องแบบของเทียนฉง

ใครบางคนเอ่ยขึ้น “ข้าบอกแล้วว่าต้องเป็นเขา มีแต่ปากู่เหวินของเขาเท่านั้นแหละที่เข้าตาท่านสมุหนายกหยาง”

ณ ห้องรับรองชั้นสอง สมุหนายกหยางกำลังนั่งอยู่บนเสื่อพร้อมกับกองปากู่เหวินของผู้ร่วมแข่งขันที่วางอยู่บนโต๊ะ

พร้อมทั้งมีบุรุษสูงวัยที่ดูน่าเกรงขามนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ท่านสมุหนายกหยาง ท่านอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบไม่วางมือลงเลยนะ” บุรุษสูงวัยหัวเราะ “คงประหลาดใจน่าดูสิท่า”

สมุหนายกหยางเอามือลูบเคราพร้อมกับตอบกลับ “นอกจากท่านชายใหญ่จิ่งแล้ว ข้าก็ไม่เคยพบใครที่มีความสามารถที่น่าทึ่งแบบนี้อีก”

“ตอนนี้เขาไปเป็นอันกั๋วกงแล้วนะท่าน” ท่ายชายใหญ่จิ่งคือชื่อเรียกของอันกั๋วกงเมื่อนานมาแล้ว “ผู้ใดกันที่มีฝีไม้ลายมือทัดเทียมกับท่านกั๋วกงอัน”

สมุหนายกหยางมองดูท้ายกระดาษที่ลงชื่อไว้พร้อมกับเปล่งชื่อนั้นด้วยท่าทีฉงน “หลงอี”

กู้เจียวเดินเล่นบนถนนพร้อมกับโคมไฟสองอันในมือ ข้างหนึ่งเป็นโคมดอกท้อ ส่วนอีกข้างเป็นโคมน้ำเต้าทอง ซึ่งดึงดูดความสนใจของคนเดินถนนจำนวนมาก

“ลิ่วหลัง โคมไฟนี้สวยจริงๆ !” หยวนเซี่ยวเอ่ยพลางชี้ไปที่โคมน้ำเต้าทออง

ของมันแน่อยู่แล้ว สามีข้าเป็นคนให้เชียวนะ

แววตาจิ้งจอกของมู่ชิงเฉินชำเลืองไปที่เซียวเหิงด้วยความสงสัย คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่

“หมูแผ่น! ทำสดๆ ใหม่ๆ เลย!”

เสียงเร่ขายหมูแผ่นดังขึ้น

เซียวลิ่วหลังหันไปเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าเดินเล่นไปก่อนนะ ข้าไปซื้อหมูแผ่น”

พอเซียวเหิงเดินออกไป มู่ชิงเฉินก็ถามกู้เจียวทันที “เจ้าชอบกินหมูแผ่นรึ”

คำถามนี้แปลกมากจนตัวเขาเองยังต้องขมวดคิ้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าหลงอีกำลังเอาใจเซียวลิ่วหลังอยู่

กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็เริ่มคิดว่าต้องระวังคำตอบของตัวเองมากขึ้น

ในตอนนั้นเอง มู่ชวนก็ตะโกนเรียกพวกเขาหลังจากที่เจอที่เล่นโคมปริศนาที่ใหม่ “พี่สี่ ลิ่วหลัง มาตรงนี้เร็วเข้า!”

“ไปกันเถอะลิ่วหลัง!” หยวนเซี่ยวเอ่ยชวน

กู้เจียวเบี่ยงเบนจากคำถามของมู่ชิงเฉินได้สำเร็จ

ร้านหมู่แผ่นขายดีมากจนมีผู้คนเข้ามารุมซื้อกันมากมาย และเซียวเหิงก็กำลังยืนต่อแถวเช่นกัน

เขายืนรออย่างใจจดใจจ่อ

ด้วยความที่ยังไม่ชินกับการใส่หน้ากาก เขาเผลอเอามือดันมันจนหลุดออกมาแล้วร่วงลงสู่พื้น

เขาก้มลง เหยียดปลายนิ้วเรียวออกเพื่อหยิบมันขึ้นมาก่อนจะปัดเศษดินเศษฝุ่นเบาๆ

ขณะเดียวกัน ฮูหยินคนหนึ่งเดินถือตะกร้าปักออกมาจากร้านขายเสื้อผ้า

แม้อาภรณ์ของฮูหยินคนนั้นจะไม่ได้ดูหรูหราสะดุดตานัก แต่ท่วงท่าของนางราวกับฮูหยินชั้นสูง

ฮูหยินคนนั้นเดินผ่านแผงขายหมูแผ่นและเดินขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ริมถนน

กลิ่นหอมของหมูแผ่นเตะจมูกฮูหยินจนต้องหันไปชำเลืองอย่างอดไม่ได้

ทันทีที่หันไป ร่างของฮูหยินก็เป็นอันแข็งทื่อไปในทันที

รถม้ากำลังเคลื่อนตัว

จังหวะนั้น ฮูหยินสูญเสียการทรงตัวจนร่างของนางเซล้มไปข้างหลัง

“หยุดรถก่อน! หยุดรถ!”

ฮูหยินตะโกนร้องเสียงดัง

สารถีหยุดรถตามคำสั่ง

หญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นฮูหยิน ลืมของที่ร้านหรือไม่ เดี๋ยวข้าไปหยิบให้”

นางไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนจะเปิดประตูรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปที่ร้านขายหมูแผ่น

ก่อนจะบุ่มบ่ามเข้าไปคว้าไหล่เด็กผู้ชายทุกคนที่กำลังต่อแถวซื้อของ

“ทำอะไรน่ะ”

“บ้าหรือเปล่า!”

ทุกคนเอาแต่ต่อว่าฮูหยิน

“เขาหายไปไหนแล้วล่ะ” ฮูหยินพึมพำ

“ฮูหยินตามหาใครอยู่หรือ” หญิงสาวเดินตามออกมาพร้อมกับเอ่ยถาม

“องค์ชายฉังซุน…ข้าเห็นองค์ชายฉังซุน…” ฮูหยินโพล่งราวกับคนเสียสติ

หญิงสาวหันไปมองรอบๆ ก่อนจะหันมากระซิบกับนาง “ฮูหยินตาฝาดไปหรือเปล่า องค์ชายฉังซุนไม่อยู่ที่นี่แล้ว ทรงไปพักผ่อนที่สุสานหลวงกับองค์หญิงใหญ่แล้ว”