บทที่ 850 ยากจะเชื่อ บรรพชนเทพปฐมกาล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 850 ยากจะเชื่อ บรรพชนเทพปฐมกาล

ภายในตำหนักเอกภพ

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลดกระบี่พิพากษาอนธการในมือลง เมื่อครู่เขาใช้กระบี่พิพากษาอนธการเป็นตัวกลาง สำแดงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพออกมา พิฆาตหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบี่เดียว

เขายอมรับ เมื่อครู่เขาทุ่มพลังทั้งหมดอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่สั่นคลอนมรรคาสวรรค์ได้

ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องผิดหวัง เป็นเช่นเดียวกับในแบบจำลองการทดสอบ สังหารในเสี้ยววินาที!

เหล่าอริยะยังไม่ได้สติกลับมา ล้วนแต่ตกตะลึงกับกระบี่เมื่อครู่นั้น แต่ละคนนิ่งเงียบดั่งจักจั่นในฤดูหนาว

เหล่าตานเบิกตากว้าง สั่นสะท้านไปทั้งตัว

เหล่าจื่อครอบครองมรรคกระบี่ เขาย่อมคุ้นเคยกับมรรคกระบี่เป็นธรรมดา แต่ปราณกระบี่ที่หานเจวี๋ยสำแดงออกมาเมื่อครู่ทำให้เขาตกตะลึง

ไม่ใช่แค่พลังของมรรคกระบี่อย่างแน่นอน!

น่ากลัวยิ่งกว่ามรรคกระบี่ของเหล่าจื่อเสียอีก!

ประเด็นสำคัญที่สุดคือ เหล่าตานสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้ว

หรือว่า…

เขาไม่กล้าคิด

เหล่าอริยะก็สัมผัสได้เช่นกันว่ากลิ่นอายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์พลันเลือนหายไป แต่ละคนจ้องมองหานเจวี๋ย ความตกตะลึงในใจยากจะบรรยายออกมาได้

โจวฝานทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ถามด้วยความระมัดระวัง “อาจารย์ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์…”

หานเจวี๋ยนั่งลง ตอบว่า “สังหารไปแล้ว ก่อนหน้านี้มีผู้ใดเดาไว้หรือไม่ว่าข้าจะสังหารหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ภายในกระบี่เดียว”

ตูม!

ความตื่นเต้นเข้าปกคลุมตำหนักเอกภพ เหล่าอริยะบ้าคลั่งไปแล้ว!

ถูกต้อง!

บ้าไปแล้ว!

ช่วงหลายแสนปีมานี้ แรงกดดันที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สร้างให้พวกเขามหาศาลเกินไปจริงๆ!

โดยเฉพาะศึกที่อาณาเขตปฐมภพก่อนหน้านี้ เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนที่นำทัพโดยผานกู่ถูกกวาดล้างอย่างทรงพลัง แรงกดดันที่ตามมาบรรลุถึงขีดสูงสุด!

ถึงแม้พวกเขาจะฝากความหวังไว้ที่หานเจวี๋ย แต่เดิมทีนึกไว้ว่าต้องมีศึกดุเดือดสักฉาก…

ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด!

สังหารได้ในเสี้ยววินาที!

พิฆาตหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ในกระบี่เดียว!

อริยะทั้งหมดตื่นเต้นตกตะลึง ถึงขั้นที่รู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง

“ตายแล้วจริงๆ น่ะหรือ”

“แค่กระบี่เดียวเท่านั้น อริยะสวรรค์เกรียงไกร ท่านอยู่ในระดับใดกันแน่”

“จริงหรือเท็จ”

“สัมผัสถึงกลิ่นอายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แล้วจริงๆ…”

“ไม่เหลือสักคนเลยหรือ นี่ก็ออกจะเกินจริงไปแล้ว อริยะสวรรค์เกรียงไกรร้ายกาจนัก ข้ายอมสยบแล้ว”

เหล่าอริยะพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น สวีตู้เต้าและผานซินคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย สีหน้าคลั่งไคล้เทิดทูน

บรรดาอริยะจากสำนักซ่อนเร้นก็เริ่มคุกเข่าคารวะเช่นกัน ทำให้อริยะที่เหลือจำเป็นต้องคุกเข่าตาม

ชั่วขณะนั้นเหลือเพียงจอมอริยะเสวียนตูและเหล่าตานที่ยังยืนอยู่

จอมอริยะเสวียนตูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค้อมคำนับ

อริยะคนอื่นๆ ยังพอว่า บ้างก็นับถือหานเจวี๋ยเป็นนายอยู่แล้ว บ้างก็เป็นอริยะใหม่ เติบโตมากับตำนานของหานเจวี๋ย คุกเข่าคารวะหานเจวี๋ยก็เหมือนคุกเข่าคารวะบรรพชน

หากว่าจอมอริยะเสวียนตูคุกเข่า ภายหน้าจะลุกขึ้นมาไม่ได้อีกเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ทราบแล้วว่าการประชุมอริยะในครั้งต่อไป เขาไม่มีคุณสมบัติพอจะนั่งข้างๆ หานเจวี๋ยอีก

ส่วนเหล่าตานเดิมทีไม่ใช่อริยะมรรคาสวรรค์อยู่แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องคุกเข่า เพียงแต่ตัวเขาก็ไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้แล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ลุกขึ้นให้หมดเถอะ คุกเข่าอันใดกัน ยังไม่แน่ว่ามหันตภัยจะสิ้นสุดลงแค่นี้”艾琳小說

เหล่าอริยชนได้ยินก็พากันลุกขึ้นมา

ในเวลาเดียวกันนี้

นอกมรรคาสวรรค์

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนและหงหยวนตื่นตะลึงอยู่เนิ่นนาน ถึงได้เรียกสติกลับมาได้

“หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้วหรือ” หงหยวนถามด้วยความประหม่า

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพยักหน้ารับอย่างเฉยชา

จะเป็นไปได้อย่างไร!

เหตุใดเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนกรีดร้องอยู่ในใจ

เขาไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนเลย วินาทีนี้ ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยที่อยู่ในใจเขาเพิ่มสูงขึ้นมาในทันใด

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวใครคนหนึ่งขึ้นมา

เลื่อมใส!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนคาดคิดถึงจุดจบไว้นับไม่ถ้วน ถึงขึ้นที่จินตนาการฉากที่หานเจวี๋ยมีชัยไว้

แต่ไม่คิดเลยว่าหานเจวี๋ยจะสังหารขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบี่เดียว ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ทันได้แตะต้องมรรคาสวรรค์เลยด้วยซ้ำ!

จุดนี้เกินจริงยิ่งกว่าผานกู่ล้างบางเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนในปีนั้นเสียอีก!

เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนในเวลานั้นตบะห่างชั้นจากขุนพลศักดิ์สิทธิ์มากนัก จำนวนก็เทียบไม่ได้!

ผานกู่ก็ไม่ทรงพลังเท่าหานเจวี๋ย!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนอดถามไม่ได้ “นี่สิ้นสุดลงแล้วหรือ”

ครั้งนี้ถึงตาหงหยวนวางท่าเย็นชาบ้างแล้ว เอ่ยว่า “อาจจะกระมัง”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนด่าในใจ

ยายเฒ่าคนนี้ช่างวางท่าเสียจริง

เกือบจะเทียบชั้นกับข้าได้แล้ว!

….

ณ ห้วงมิติลึกลับ

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตะลึงไปพักหนึ่ง ถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ท่านเอ่ยว่า…”

เขาไม่เอ่ยจนจบ เกรงว่าจะล่วงเกินเงาร่างลึกลับเข้า

เงาร่างลึกลับเงียบไปพักหนึ่ง ถึงเอ่ยขึ้นว่า “เรามองข้ามไปจริงๆ หานเจวี๋ยคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ข้ามองให้กระจ่างไม่ได้ บางทีเขาอาจจะเป็นเทพมารอนธการ”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “ข้าเฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นมา น่าจะมิใช่เทพมารอนธการ อาจจะเป็นผู้ทรงพลังบางท่านกลับชาติมาเกิดกระมัง”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกไป จะใช่เทพมารอนธการหรือไม่ ข้าไม่สนใจ เพียงแต่เคราะห์ภัยของมรรคาสวรรค์ยังไม่สิ้นสุด”

“ตัวตนเบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้นหรือ”

“เจ้ารอดูไปเถิด”

เงาร่างลึกลับไม่พูดมากต่อไปอีก

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจำเป็นต้องมองไปที่ฉากมายา เห็นเพียงว่าบริเวณช่องโหว่เวิ้งว้างที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หายไปปรากฏแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วนขึ้น ราวกับมีบางสิ่งพยายามรวมตัวขึ้นอีกครั้ง

นั่นคือสิ่งใด

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหรี่ตามอง

ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น หานเจวี๋ยก็เช่นกัน

หลังจากหานเจวี๋ยนั่งลงแล้วก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียว

เนื่องจากสงบเกินไป!

หลังจากหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ

คล้ายว่าหานเจวี๋ยจะสัมผัสถึงอะไรได้ เงยหน้าขึ้นทันที

สายตาของเขามองทะลุผ่านทั่วทั้งฟ้าบุพกาล ขึ้นไปเหนือมหามรรคสามพันวิถี

เจ็ดกฎระเบียบสูงสุดที่อยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี!

ระเบียบสูงสุดสายหนึ่งเริ่มสั่นไหวขึ้นมานิดๆ แผ่แสงเจิดจ้าออกมา กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงสู่ฟ้าบุพกาล

ลำแสงสายนี้ร่วงหล่นลงสู่ช่องโหว่ห้วงมิติเวิ้งว้างที่เหล่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนหน้านี้ ดูดซับแสงดาวทั้งหมดที่อยู่รอบข้าง

ครืน…

แดนต้องห้ามอันธการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้แต่มรรคาสวรรค์ก็ไหวสะเทือนไปด้วย ราวกับปวงสวรรค์หมื่นโลกาเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหว จักรวาลของโลกมนุษย์บังเกิดคลื่นผันผวนรุนแรง ราวกับจะพังถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

สรรพสิ่งแตกตื่น

เหล่าอริยะที่อยู่ในตำหนักเอกภพหวั่นวิตกขึ้นมาอีกครั้ง พากันมองไปที่หานเจวี๋ย

มองเห็นสีหน้าหานเจวี๋ยไม่แปรเปลี่ยน พวกเขาจึงเบาใจลงอีกครั้ง

มีอริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ มรรคาสวรรค์ไม่มีทางล่มสลาย!

อริยะทั้งหมดล้วนคิดเช่นนี้

เนื่องจากปราณกระบี่สายนั้นของหานเจวี๋ยสร้างแรงสะเทือนเหลือเกิน

[บรรพชนเทพปฐมกาลเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

หานเจวี๋ยมองแจ้งเตือนแถวหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขารีบเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาทันที ค้นหาบรรพชนเทพปฐมกาล

[บรรพชนเทพปฐมกาล: ยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ ดวงจิตมหามรรค ดวงจิตแรกฟ้าบุพกาล ผู้ควบคุมมหามรรค ผู้นำดวงจิตมหามรรค เนื่องจากท่านทำลายล้างหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จึงเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

ผู้นำดวงจิตมหามรรค!

ในที่สุดก็โผล่หางออกมาแล้ว!

หานเจวี๋ยอดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ ในเมื่อรู้ชื่อแล้ว ภายหน้าก็สามารถสาปแช่งได้แล้ว

ต่อให้สาปแช่งไม่ได้ หานเจวี๋ยก็ยังเข้าฝัน สังหารด้วยอาณาเขตต้องห้ามอันธการได้

ผู้นำดวงจิตมหามรรคก็ไม่ได้บรรลุระดับผู้สร้างมรรคาเช่นกัน หานเจวี๋ยมั่นใจยิ่ง หากมีผู้สร้างมรรคาปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่าจริงๆ เขาคงตกใจตายแน่

หานเจวี๋ยกำลังปีนป่ายสู่จุดสูงสุด และจุดสูงสุดก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว!

เขาไม่คิดมากอีก มองไปยังโพรงห้วงอวกาศเวิ้งว้างที่เหล่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์หายไปอีกครั้ง

กระทั่งปรากฏเงาร่างใหญ่โตรำไรท่ามกลางลำแสงที่ส่องลงมาจากกฎระเบียบสูงสุด

หายเจวี๋ยสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของอีกฝ่ายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

เหล่าอริยะมีสีหน้าแตกตื่น

สีหน้าจอมอริยะเสวียนตูมืดครึ้ม พึมพำออกมา “บรรพชนเต๋า!”

เมื่อเอ่ยคำว่าบรรพชนเต๋าออกมา เหล่าอริยะพากันหน้าถอดสี!

ในเวลานี้เอง!

หานเจวี๋ยพลันลุกขึ้นมา นำกระบี่พิพากษาอนธการออกมาอีกครั้ง ผสานร่างจำลองเทพมารหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบเก้าร่างในชั่วพริบตา จากนั้นก็สำแดงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพผ่านกระบี่พิพากษาอนธการ

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด หานเจวี๋ยไม่มีทางให้โอกาสเขาได้แข็งแกร่งขึ้น!

ต่อสู้กันอย่างยุติธรรมอย่างนั้นหรือ

ไม่มีทาง!

ตายซะเถอะ!

………………………………………………………………