ตอนที่ 208-2 บรรลุ
จีหมิงซิวกำลังจะเดินไปซื้อ วั่งซูก็หันไปเห็นโคมไฟปลาหลีสีแดงดวงหนึ่งแล้วตะโกนขึ้นมาอีก “ปลา! ปลาตัวใหญ่ตัวอ้วน! ข้าจะเอาปลา”
จีหมิงซิวไปซื้อ ‘ปลา’ มาอีกรอบ
วั่งซู “ข้าไม่เอาปลาแล้ว! ข้าจะเอาสุนัขตัวน้อย!”
จีหมิงซิว “…”
จิ่งอวิ๋นเลือกมังกรทองตัวน้อยตัวหนึ่ง มังกรทองตัวน้อยทำออกมาราวกับมีชีวิต เสมือนจะพ่นไฟออกมาได้ สะดุดตาคนยิ่งนัก มังกรทองตัวน้อยไม่มีราคาระบุไว้ ต้องประมูลแข่งกัน
เถ้าแก่หยิบมังกรทองตัวน้อยมาวางไว้บนแท่น เขามองดูฝูงชนที่กระเหี้ยนกระหือรือแล้วก็ยิ้ม ประสานมือบอกว่า “ทุกคนเงียบหน่อยอย่าเสียงดัง โคมมังกรทองเป็นสมบัติประจำร้านของเรา ผู้ใดให้ราคาสูงก็จะได้ไปครอง ราคาเริ่มที่หนึ่งร้อยอีแปะ”
สิ้นเสียงพูด คุณชายท่าทางสง่างามคนหนึ่งก็ชูพัดในมือ “ห้าร้อยอีแปะ!”
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮา
โคมกระดาษดวงหนึ่งเท่านั้น เจ้าให้ราคาสูงเช่นนี้ในคราวเดียว ผลาญสมบัติที่บ้านมากเกินไปหรือไม่
เถ้าแก่ฉีกยิ้ม “คุณชายท่านนี้ให้ห้าร้อยอีแปะ มีสูงกว่านี้อีกหรือไม่ หากไม่มีคุณชายท่านนี้ก็จะได้กอดโคมมังกรกลับไปแล้ว”
“หนึ่งตำลึง!” บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งให้ราคาสูง
คุณชายถือพัดไม่ยอมอ่อนข้อ “หนึ่งตำลึงห้าร้อยอีแปะ!”
“สามตำลึง!” มีคนตะโกนราคาสูงกว่าเดิมออกมาอีก
“ห้า…ห้า…ห้าตำลึง!” คุณชายถือพัดตะโกนหน้าแดง
เฉียวเวยจิ๊ปากส่ายหัว โคมกระดาษดวงเดียวให้ราคาห้าตำลึง คนพวกนี้บ้าไปแล้วจริงๆ
“ห้าสิบตำลึง”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ
ฝูงชนเงียบกริบในพริบตา
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวเหมือนเห็นผี เจ้าหมอนี่รู้หรือไม่ว่าห้าสิบตำลึงคือเงินเท่าใด เงินนั่นให้ครอบครัวของป้าหลัวมีกินได้ตั้งหลายปีเชียวนะ!
ทุกคนหันไปมอง ‘คนบ้า’ อย่างพร้อมเพรียงทั้งที่มิได้นัดกันไว้ เขาสวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัว เรือนร่างสูงโปร่งแข็งแกร่ง บนใบหน้าสวมหน้ากากหยกชิ้นหนึ่ง หน้ากากบดบังครึ่งบนของใบหน้าเผยออกมาเพียงปลายคางคมสันเกลี้ยงเกลากับริมฝีปากแดงที่เม้มอยู่นิดๆ หล่อเหลาเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาทั้งสองข้างของเขาราวกับบ่อน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้น เพียงมองก็ทำให้คนนึกครั่นคร้าม
สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่า โคมดวงนี้ เขาจะเอาแน่แล้ว ไม่ว่าจะเพิ่มราคาอีกเท่าใด เขาก็มีปัญญาเพิ่มให้สูงยิ่งกว่า
ดูจากอาภรณ์ที่เขาสวมอยู่ก็ทราบ นั่นเป็นเนื้อผ้าที่ซื้อหาในร้านผ้าธรรมดาไม่ได้
เถ้าแก่เคาะโต๊ะ “ห้าสิบตำลึง ยังมีสูงกว่าหรือไม่ หากไม่มีโคมมังกรก็เป็นของคุณชายท่านนี้แล้ว”
“ข้าให้หนึ่งร้อยตำลึง”
น้ำเสียงโอหังดังขึ้นกลางฝูงชน
ผู้คนแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวดวงหน้าหล่อเหลา สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างแช่มช้า เขาก็คือแม่ทัพน้อยมู่แห่งจวนเทพสงครามของหนานฉู่นั่นเอง
แม่ทัพน้อยหมู่หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ท่าทางมิธรรมดา มองปราดเดียวก็ทราบว่าไม่ใช่คุณชายจากตระกูลขุนนางทั่วไป
ราคาพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยตำลึงในพริบตา ทุกคนรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ มองไปทางทั้งสองคนอย่างสงสัยใคร่รู้ อยากทราบว่าสุดท้ายผู้ใดกันแน่จะได้ชัย
จีหมิงซิวทักทายอย่างไม่แยแส “แม่ทัพน้อยมู่อารมณ์ดีเสียจริง”
แม่ทัพน้อยมู่ยิ้มแต่เหมือนไม่ยิ้มเดินมาหยุดข้างกายเขา แล้วหันไปมองเฉียวเวยกับลูกที่อยู่อีกข้างของเขา จากนั้นก็หัวเราะ “ข้าได้ยินว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลโคมไฟ หากพลาดวันนี้ไป จนกระทั่งข้าออกจากเมืองหลวงก็ไม่มีเทศกาลโคมไฟแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนข้าจะยอมพลาดง่ายๆ เล่า”
ทุกคนได้กลิ่นดินระเบิดจางๆ ลอยออกมา คล้ายกับว่าคุณชายน้อยคนนี้รู้จักกับครอบครัวนี้มาก่อน อีกทั้งความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ดีอะไรด้วย
แม่ทัพน้อยมู่เห็นเพียงพอนที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง เพียงพอนสองตัวถูกแต่งตัวจนหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่เขาจำได้ว่าตัวที่อยู่ในอ้อมแขนของเด็กชายตัวจ้อยก็คือเพียงพอนเมฆาที่เขาเลี้ยงมา ส่วนตัวที่อยู่ในอ้อมแขนของเด็กหญิงเหมือนจะเป็นเพียงพอนหิมะธรรมดาทั่วไป หน้าตาเหมือนเพิ่งอายุครบเดือน ยังเป็นลูกเพียงพอน
แต่เขารู้สึกเลือนรางว่าเคยเห็นลูกเพียงพอนตัวนี้มาก่อน
จิ่งอวิ๋นไม่ชอบแววตาที่เขามองต้าไป๋ มันเหมือนกับว่าดขาจะมาแย่งต้าไป๋จากไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งก็หันไปมองเวทีแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สองร้อยตำลึง”
ทุกคนตกตะลึง เฉียวเวยก็ตะลึง หากนางฟังไม่ผิด ลูกชายเพิ่งจะ…เพิ่มราคา
เถ้าแก่อึ้ง “คุณชายน้อยผู้นี้…จะให้สองร้อยตำลึงหรือ”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “ใช่แล้ว”
สายตาประหลาดของเถ้าแก่เลื่อนไปจับบนใบหน้าของจีหมิงซิว จีหมิงซิวบอกว่า “ลูกชายข้าให้ราคาแล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรือ”
“ได้ ได้ ได้ยินขอรับ!” เถ้าแก่ปาดเหงื่อเย็นทิ้ง “ยังมีผู้ใดให้สูงกว่าหรือไม่ หากไม่มีโคมดวงนี้ก็…”
“สามร้อยตำลึง” แม่ทัพน้อยมู่ชูนิ้วขึ้นมา
จิ่งอวิ๋นไม่ลังเลสักนิด “สี่ร้อยตำลึง”
แม่ทัพน้อยมู่ยิ้ม “ห้าร้อยตำลึง”
ทุกคนกวาดสายตามองแม่ทัพน้อยมู่อย่างดูแคลน แย่งโคมกับเด็ก หน้าไม่อายเกินไปหรือไม่
หนังตาของจิ่งอวิ๋นไม่กระตุกสักนิด “หกร้อยตำลึง”
รอยยิ้มของแม่ทัพน้อยมู่จางลงเล็กน้อย “เจ็ดร้อยตำลึง”
จิ่งอวิ๋น “แปดร้อยตำลึง”
แม่ทัพน้อยมู่ยิ้มไม่ออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว “ในเมื่อเจ้าชอบถึงขนาดนี้…”
จิ่งอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “หากไม่มีเงินล่ะก็ ท่านพ่อของข้าให้ท่านยืมได้นะ”
แม่ทัพน้อยมู่มุมปากกระตุก “หนึ่งพันตำลึง!”
ทุกคนตกตะลึง
หนึ่งพันตำลึง ซื้อโรงงานทำโคมได้แห่งหนึ่งแล้ว คนผู้นี้โง่หรือเปล่า
ทุกคนหันไปมองจิ่งอวิ๋นอย่างสงสัยใคร่รู้ รอคอยให้เขาทำอะไรให้ประหลาดใจสักอย่าง ผู้ใดจะคาดคิดว่าจิ่งอวิ๋นกลับเอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบายๆ เพียงหนึ่งประโยค “โคมเป็นของท่านแล้ว”
แม่ทัพน้อยมู่อึ้งงัน
เฉียวเวยอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นมาหอม ไม่เสียทีเป็นบุตรชายของนาง จัดการศัตรูย่อมต้องมีเล่ห์เหลี่ยมและใจเหี้ยมเช่นนี้ ผู้ใดใช้ให้เขายิงธนูใส่นาง ตอนนี้ดีแล้ว ใช้เงินหนึ่งพันตำลึงซื้อโคมหนึ่งดวง กลับไปถึงหนานฉู่ ไม่ถูกคนหัวเราะเยาะตายก็ให้มันรู้ไปสิ
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ลูกชายข้ารู้ความเช่นนี้เชียว โบราณเคยมีนิทานเรื่องข่งหรงยอมสละสาลี่ วันนี้ลูกชายข้ายอมสละโคม แม่ทัพน้อยมู่ ชื่นชมโคมของท่านให้ดีๆ เล่า ไม่ต้องขอบคุณ”
เถ้าแก่ถือโคมมังกรทองน้อยเดินไปตรงหน้าเขา “คุณชาย หนึ่งพันตำลึง”
แม่ทัพน้อยมู่มองโคมธรรมดาที่ธรรมดาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วดวงนั้น หน้าของแม่ทัพน้อยมู่ดำเหมือนถ่าน!
เงาดำสายหนึ่งก้าวออกมาจากตรอก มองครอบครัวสี่คนที่ค่อยๆ เดินไกลออกไป แล้วยกมุมปากจางๆ “นี่ไม่ใช่รอจนได้โอกาสพอดีหรือ”
“ท่านพ่อ อุ้ม” วั่งซูเดินจนเหนื่อยแล้ว จึงซุกเข้าไปหาจีหมิงซิวอย่างเกียจคร้าน
จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นมา เจ้าตัวน้อยตัวไม่เบาเลย อุ้มแล้วปวดแขนนัก
เฉียวเวยจูงจิ่งอวิ๋นเดินอยู่ด้านหน้า
พวกเขาเดินไปได้ระยะหนึ่ง สองหูของจีหมิงซิวก็กระดิก เท้าหยุดนิ่ง
ก้าวเท้าของบุรุษอาภรณ์สีดำก็หยุดตาม
จีหมิงซิวไม่หันกลับไป แต่ทิ้งมือขวาลงแล้วส่งสัญญาณมือ
ฝูงชนดุจเกลียวคลื่น แทบจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ทว่าตอนที่บุรุษอาภรณ์สีดำจะไล่ตามมาต่อ มีดบินดอกเหมยดอกหนึ่งก็ลอยเข้ามาตรงหน้า แววตาของบุรุษผู้นั้นสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นคว้าไว้ทัน
ทว่าจู่ๆ มีดบินดอกเหมยก็ระเบิดออก ผงสีขาวพัดเข้าใส่หน้า เขารีบสะบัดแขนเสื้อ ยกขึ้นมาปิดปากกับจมูก ชั่วจังหวะที่เสียสมาธิ พอหันไปมองในฝูงชนอีกหน ก็ไม่มีเงาของพวกเฉียวเวยอยู่แล้ว
เขามองมีดบินดอกเหมยบนพื้น แล้วยกมุมปากขึ้นนิดๆ “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้าคนตีเหล็กคนนั้นสินะ”
…
ครอบครัวสี่คนเดินเที่ยวมาจนสุดถนนเส้นยาว จิ่งอวิ๋นเลือกโคมพยัคฆ์ดวงหนึ่ง วั่งซูเลือกโคมท้อทองคำใบน้อย ทั้งสองคนถือโคมไฟอย่างเบิกบานใจเป็นที่สุด หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็พาเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปซื้อขนมอีกกองพะเนิน ใส่ถุงเงินใบน้อยของวั่งซูจนเต็มแน่น
“จะกลับบ้านหรือยัง” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวทัดเส้นผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงของนางไปไว้หลังใบหู “อยากกลับแล้วหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า ที่ๆ ควรเที่ยวก็เที่ยวหมดแล้ว ของที่ควรกินก็กินแล้ว ที่ควรดื่มก็ดื่มแล้ว ไม่มีสิ่งใดไม่พอใจแล้ว
จีหมิงซิวจูงมือนาง ทั้งครอบครัวขึ้นไปนั่งบนรถม้า เฉียวเวยเปิดผ้าม่านมองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่าน “นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนเสียหน่อย”
จีหมิงซิวลูบมือของนาง “ไปเรือนสี่ประสาน”
“เหตุใดต้องไปเรือนสี่ประสาน” เฉียวเวยถาม
“ใกล้” จีหมิงซิวตอบ
ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าพอๆ กันหรือ
รถม้าจอดที่เรือนสี่ประสาน ลี่ว์จูยิ้มแย้มเดินออกมาต้อนรับ “นายน้อย! ฮูหยินน้อย! จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็มาด้วยหรือ”
คนของเรือนสี่ประสานได้ยินเสียงก็พากันวิ่งออกมา นับตั้งแต่แต่งงาน จีหมิงซิวก็ไม่ได้มาเยือนเรือนสี่ประสานอีก อย่าให้พูดว่าพวกเขาคิดถึงมากเพียงใด
วั่งซูมือหนึ่งอุ้มเสี่ยวไป๋ มือหนึ่งหิ้วโคมท้อทองใบน้อย กระโดดโลดเต้นเข้าไปในเรือน “ท่านลุงหยาง! พี่ลี่ว์จู! พี่ยวนยาง! พี่เชวี่ยเอ๋อร์…” เรียกทุกคนจนครบอย่างปากหวาน
ทุกคนดีใจจนหุบปากไม่ลง
พ่อครัวหยางหยอกล้อ “เหตุไฉนจึงซื้อลูกท้อมาเล่า”
วั่งซูโอ้อวดสมบัติ “ท่านพ่อซื้อให้ข้า!”
ลี่ว์จูพาพวกเขาไปยังเรือนตะวันออก “ดึกป่านนี้แล้ว คิดว่านายน้อยกับฮูหยินจะไม่มาแล้วเสียอีก เตรียมจะลงกลอนประตูกันอยู่แล้ว”
“เจ้ารู้หรือว่าพวกเราจะมา” เฉียวเวยฉงนเล็กน้อย นางหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้าง ไม่ได้บอกว่ามาเพราะใกล้หรอกหรือ
ลี่ว์จูชะงัก แล้วยิ้มอย่างเก้อเขิน “บ่าวรู้ที่ไหนเล่า บ่าวเพียงแต่ตั้งตาคอยอยู่ทุกวัน! รีบเข้าในห้องเถิด ด้านนอกเย็น”
ทั้งครอบครัวเข้าไปในเรือนตะวันออก กำแพงของเรือนตะวันออกแปะอักษรคำว่ามงคลสีแดงตัวโตเอาไว้ บนโต๊ะก็วางเทียนหอมคู่มังกรหงส์ ฟูกเตียงกับม่านมุ้งล้วนเป็นสีแดงเหมือนกันหมด เต็มไปด้วยสีสันแห่งการเฉลิมฉลองคล้ายเรือหอใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง
แจกันดอกไม้บนโต๊ะปักกิ่งเหมยงาม ดอกไม้ปลายกิ่งแย้มกลีบบาน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเหมยออกมา
วั่งซูมองห้องที่เปลี่ยนโฉมใหม่ แล้วตะโกนอย่างดีอกดีใจ “สวยยิ่งนัก!”
พวกลี่ว์จูเป็นคนตกแต่ง พอถูกชม ลี่ว์จูก็ชอบใจอย่างยิ่ง ยิ้มกว้างถามว่า “หิวแล้วหรือยังเจ้าคะ บ่าวให้ห้องครัวทำมื้อดึกให้หน่อยดีหรือไม่”
“ดีสิ!” วั่งซูผู้ไม่มีวันกินอิ่มทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้
เฉียวเวยลูบพุงที่เหมือนปลาปักเป้าน้อยของนาง แล้วบอกว่า “วันนี้ห้ามกินแล้ว กินมากไปจะนอนไม่หลับ พรุ่งนี้เช้าค่อยให้ลุงหยางทำของอร่อยให้เจ้า”
วั่งซูเบ้ปาก “แต่ถังหูลู่ของข้ายังไม่ทันซื้อเลย”
จีหมิงซิวบอกว่า “พี่สือชีไปซื้อให้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าลืมตาขึ้นมาก็จะเห็นถังหูลู่”
“จริงหรือ” วั่งซูดวงตาเป็นประกาย
จีหมิงซิวพยักหน้า
วั่งซูกระโดดลงมาบนพื้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปนอน!”
ลี่ว์จูพาเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปอาบน้ำ ยวนยางกับเชวี่ยเอ๋อร์ยกน้ำร้อนมา เฉียวเวยแช่น้ำร้อนอย่างสบายตัว เมื่อออกมาจีหมิงซิวก็อาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังนั่งรออยู่ในผ้าห่มสีแดงสด
ร่างกายของทั้งสองคนล้วนสวมชุดนอนสีแดง คล้ายย้อนกลับไปยังคืนแต่งงานวันนั้น
เฉียวเวยแกะผ้าเช็ดผมที่ห่ออยู่บนศีรษะ เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงมาประหนึ่งผืนผ้าไหมสีดำคลี่ลงมาอย่างกะทันหัน มันเงาและนุ่มสลวย “ลูกเล่า”
จีหมิงซิววางหนังสือลง “นอนแล้ว ลี่ว์จูเฝ้าอยู่ห้องนั้น”
เฉียวเวยจึงวางใจ เดินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้ผ้าแห้งซับเรือนผมที่เปียกชื้นอย่างแผ่วเบา
จีหมิงซิวเดินมาด้านหลังนางแล้วหยิบผืนผ้าไปจากมือ เช็ดให้นางอย่างละเอียดลออ ปลายนิ้วอบอุ่นสัมผัสผ่านเรือนผม นวดบนหนังศีรษะเย็นเฉียบของนางเบาๆ อบอุ่นจนหัวใจของนางร้อนวาบขึ้นมาเล็กน้อย
สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของจีหมิงซิวปรากฏความอ่อนโยนเสี้ยวหนึ่ง เขาเช็ดผมให้นางอย่างแผ่วเบา อาจเป็นเพราะอบอุ่นเกินไป เฉียวเวยจึงอ้าปากหาว จากนั้นสะลึมสะลือหลับไป
เฉียวเวยตื่นขึ้นมาก็พบว่าโคมในห้องถูกดับแล้ว นางนอนอยู่ใต้ร่างของเขา ส่วนเขากำลังจุมพิตนาง
จีหมิงซิวเห็นประกายในดวงตาของนาง “ตื่นแล้วหรือ”
เฉียวเวยขานตอบ พอนางตระหนักได้ว่าเขากำลังจะทำสิ่งใดก็ตื่นจากความง่วงงุนมามากกว่าครึ่ง ดวงตาสีดำสนิทสุกใสคู่นั้นลืมขึ้นมองเขานิ่งๆ
“จะต่อหรือไม่” จีหมิงซิวถามเสียงเบา
เฉียวเวยอ้าปาก คิดเหตุผลที่จะไม่ทำต่อไม่ออก เด็กๆ หลับแล้ว ไม่มีเรื่องด่วนเกิดขึ้นกะทันหัน ระดูของนางก็หมดแล้ว เหมือนว่าสมควรจะร่วมหอแล้วจริงๆ
แต่นาง…ประหม่าเล็กน้อยอย่างมิรู้สาเหตุ
คนที่ประหม่ามีเพียงนางคนเดียวเสียที่ไหน
เรื่องในค่ำคืนนั้น ตัวเขาเองก็จดจำมิได้สักนิดเหมือนกัน สำหรับเขาแล้ว นี่ก็ไม่ต่างจากครั้งแรก
จีหมิงซิวเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกลัว”
มือเรียวของเฉียวเวยจับคอเสื้อของเขา ตอบด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ท่าน ท่านทำเบาๆ”
“ได้”
…