บทที่ 673 ฝีมือเหนือชั้น (1)
“โห พวกเขาได้เจอกับเหล่านักบวชเส้าหลินจริงหรือนี่” ภายในศาลา หมิงจวิ้นอ๋องมองดูไปที่กลุ่มคนในสนามตีคลีด้วยความสนใจ “มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วสินะ”
เดิมทีหมิงจวิ้นอ๋องไม่ได้สนใจสำนักบัณฑิตใดมากนัก แต่ใครที่ทำให้เขาเสียหน้าหน้าสำนักบัณฑิตเทียนฉง ไม่มีอะไรทำให้เขามีความสุขมากไปกว่าทำให้เด็กคนนั้นเสียหน้าแล้ว
หมิงจวิ้นอ๋องหยุดพูดเรื่องในวังทันที แล้วโบกมือให้คนรับใช้ให้ยกขนมและผลไม้ขึ้นมา เพราะเขาอยากเห็นนักบวชเส้าหลินฟาดเจ้าเด็กคนนั้น!
นักบวชเส้าหลินทั้งสี่ที่อยู่กลางสนามใบหน้าถมึงทึง แต่ละคนต่างมีรอยแผลธรรมรงค์บนศีรษะ เรียงจากขวาไปซ้ายก็มีรอยแผลเป็นเป็นรูปวงแหวนหนึ่งวง เป็นรูปแหวนสองวง เป็นรูปแหวนสามวง ส่วนนักบวชเส้าหลินที่ดูแข็งแกร่งมากที่สุด มีรอยแผลเป็นรูปวงแหวนหกวง
“เจ้าว่าพระพวกนี้ดูน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม” มู่ชวนกระซิบถามกู้เจียว
“เจ้าไม่กลัวไม่ใช่หรือ” กู้เจียวถาม
มู่ชวนยืดหลังตรงทันที พลางเอ่ยเสียงแข็ง “ข้า…ข้าไม่กลัว! ใครบอกว่าข้ากลัว!”
กู้เจียวเหลือบมอง “หยุดสั่นขาก่อนค่อยพูดสิ”
มู่ชวน “…”
นักบวชเส้าหลินต่างเพียงแต่สบตาเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยอะไรกับพวกเขา ว่ากันตามเรียกว่ายั่วยุมากกว่า
พูดตามตรง มู่ชวนนั้นก็กลัวอยู่นิดหน่อยจริงๆ น่ากลัวยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับเหล่าทหารม้าของตระกูลหันเสียอีก
จ้าวเวยประหม่าเล็กน้อยไม่ต่างจากเขานัก แต่ด้วยความที่เขามีประสบการณ์ในสนามตีคลีมากกว่ามู่ชวน เขาจึงไม่แสดงอาการออกมามากนัก
ในรอบแรกจะจับฉลากว่าฝั่งไหนจะได้เริ่มเปิดสนามก่อน ทุกครั้งหลังจากมีทำประตู อีกฝ่ายจะเป็นผู้เปิดสนามครั้งต่อไป และฝ่ายที่กำลังจะเปิดสนามในตอนนี้คือสำนักบัณฑิตเทียนฉง
โดยทั่วไปแล้ว มู่ชิงเฉินอยู่ในตำแหน่งตัวรุกหลักของคณะตีคลี ไม่ค่อยได้มีโอกาสในการเริ่มเปิดการแข่งขัน ทว่าเป็นเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป หลังจากหารือเสร็จ จึงตัดสินใจว่าให้เขาเป็นคนเริ่มเปิดสนาม
ตั้งแต่ลงสนามจนกระทั่งฆ้องดังใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทว่าทุกคนต่างก็รู้สึกราวกับเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างกังวลจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“เอ๊ะ เป็นไปได้อย่างไร” ใต้เท้ารองจิ่งนั่งอยู่หน้ารั้วกั้น สายตากำลังมองไปนักบวชเส้าหลินในสนาม “จะซวยอะไรขนาดนี้”
วันนี้ฮูหยินรองมีธุระ ไม่สามารถเดินทางมาด้วยได้ ด้านซ้ายมีอันกั๋วกงกำลังนั่งรถเข็น ส่วนด้านหลังอันกั๋วกงที่ยืนอยู่คือมู่หรูซินในชุดสีเขียวและกระโปรงสีขาว
เมื่อมู่หรูซินได้ยินดังนั้นก็มองใต้เท้ารองจิ่งอย่างสับสน “อะไรรึ มีอะไรผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ”
ใต้เท้ารองจิ่งถอนหายใจ “นักบวชเส้าหลินพวกนั้นเก่งมาก สำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”
มู่หรูซินเบิกตากว้างและถาม “ใต้เท้ารองอยากให้สำนักบัณฑิตเทียนฉงชนะหรือเจ้าคะ”
ใต้เท้ารองจิ่งพึมพำ “ไม่ใช่หรอก ต่อให้นักบวชเส้าหลินอ่อนข้อให้เหมือนไม่ได้ออกแรงสักนิด ก็ใช่ว่าบัณฑิตไม่กี่คนนี้จะสู้ได้”
ทันทีที่เอ่ยจบ อันกั๋วกงค่อยๆ กำหมัดและสั่นเล็กน้อย
เสียงฆ้องดังขึ้น
มู่ชิงเฉินหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเหวี่ยงแขนอย่างมั่นคงและตีลูกคลีเพื่อเริ่มการแข่งขัน
“พี่รอง พี่รอง เร็วๆ หน่อยสิเจ้าคะ!”
ข้างนอกสนามตีคลี ซูเสวี่ยดึงแขนคุณหนูรองของตระกูลตนเบียดเข้าไปในกลุ่มผู้คน หยิบบัตรออกมาและขอผ่านเข้าไป
“ช้าหน่อย” มือของคุณหนูรองซูเริ่มรู้สึกเจ็บจากการถูกดึง
ซูเสวี่ยบอก “เมื่อครู่ฆ้องดังแล้ว เริ่มแข่งคลีม้าแล้ว!”
คุณหนูรองซู ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ย “เริ่มแล้วอย่างไรเล่า ทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนี้”
“ข้าอยากเจอเซียว…เจอพี่สี่” ซูเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ได้เจอพี่สี่มานานแล้ว หลังจากที่เขาย้ายสำนักบัณฑิต”
คุณหนูรองซูถอนหายใจ “ถ้าท่านพ่อรู้ว่าพวกเราโดดวิชาหมากรุกของอาจารย์ฟู่แล้วมาดูคลีม้า ท่านพ่อคงลงโทษพวกเราแน่นอน”
ซูเสวี่ยจูงมือนางเดินไปทางสำนักบัณฑิตเทียนฉง “ไม่หรอก! ไปกันเถอะ!”
มู่ชิงเฉิน เปิดการแข่งขันได้อย่างสวยงาม ทั้งเรื่องความเร็วและความแม่นยำ
คนที่รับลูกได้คือจ้าวเวย
จ้าวเวยเรียนคลีม้ามาตั้งแต่เด็ก จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องของทักษะแล้ว หลังจากเขารับลูกคลีที่มู่ชิงเฉินเปิดได้สำเร็จ ก็มองไปทางมู่ชวนที่อยู่ข้างหน้าเขา
มู่ชวนพยักหน้าให้เขา
จ้าวเวยจ่ายลูกให้มู่ชวน มู่ชวนจ่ายให้กู้เจียว แต่มู่ชิงเฉินได้เข้ามารอยู่ที่ประตูของคู่ต่อสู้อยู่แล้ว
กู้เจียวส่งลูกคลีให้เขา มู่ชิงเฉินรับมาได้ก็เอาไม้ฟาดลูกบอลไปทางประตู
ทั้งสี่คนเข้าขากันอย่างลื่นไหลและสมบูรณ์แบบ ในที่สุดผู้ชมต่างก็ได้เห็นสำนักบัณฑิตเทียนฉงเล่นคลีม้าอย่างจริงจังเสียที
ทว่าเมื่อลูกคลีกำลังจะเข้าประตู เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
นักบวชเส้าหลินกระโดดขึ้นหลังม้ามา ทะยานตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะใช้ไม้ตีลูกคลีของมู่ชิงเฉินออกไปก่อนที่มันจะเข้าไปที่ประตู
ลูกคลีถูกตีออกไปไกลยิ่งนัก ไกลเกือบครึ่งสนาม
จ้าวเวยและมู่ชวนโดนโต้กลับ พวกเขารีบเข้าไปแย่งลูกคลี แต่ยังไม่ทันได้เห็นเงาลูกด้วยซ้ำ เสียงฆ้องจากจุดยืนของผู้ตัดสินก็ดังขึ้น
เข้าประตูรึ
ทั้งสองตกตะลึง
สำนักบัณฑิตเส้าหลินขึ้นนำ และได้รับธงแรกของการแข่งขันไป
“ไม่จริง เข้าได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น” มู่ชวนสับสน
เขาและจ้าวเว่ยกำลังไล่ตามลูกอยู่ดีๆ ลูกกลิ้งย้อนกลับเข้าไปในประตูเองอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าลูกคลีไม่ได้กลิ้งย้อนกลับ แต่นักบวชเส้าหลินนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนไม่มีใครมองเห็นพวกเขา
จ้าวเวยขมวดคิ้วและมองยังนักบวชเส้าหลินที่ท่าทีหยิ่งผยอง เขานึกย้อนพลางเอ่ย “ไม่ใช่แค่เร็วเท่านั้น แต่พวกเขามีแผนการเล่น! เมื่อครู่พระที่มีรอยแผลเป็นวงแหวนสามวงบังสายตาของพวกเราด้วยม้าของเขา เขาทำเหมือนกำลังจะเข้าไปแย่งลูก พวกเราจึงคิดว่าลูกคลีอยู่ที่นั้น ที่จริงลูกอยู่ในมือของพระที่มีรอยแผลเป็นวงแหวนหกวงแล้วข้างหน้าแล้ว”
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของจ้าวเวยแล้ว มู่ชวนก็เริ่มเสียความมั่นใจ “รอบจัดขนาดนั้นเชียวหรือ”
เนื่องจากคู่ต่อสู้ทำประตูได้ พวกเขาจึงยังได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
คราวนี้เป็นจ้าวเวยที่ตีลูกเปิด
จ้าวเวยส่งลูกคลีให้มู่ชวน แต่ก่อนที่มู่ชวนจะแกว่งไม้ตี นักบวชเส้าหลินก็โฉบผ่านเขามา
นักบวชเส้าหลินแย่งลูกคลีไป
มู่ชิงเฉินถูกโจมตีจากทั้งสองทิศทาง ไม่อาจสลัดตัวหลุดออกมาได้
กู้เจียวใช้ทักษะที่เรียนรู้มาจากสวี่ผิงเข้าสกัดลูก
นางส่งลูกให้มู่ชิงเฉิน และมู่ชิงเฉินก็จ่ายต่อให้จ้าวเวย
จากนั้นลูกก็ถูกแย่งไปอีกครั้ง
เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง สำนักบัณฑิตเส้าหลินยิงประตูได้เช่นเคย
สำนักบัณฑิตเส้าหลินยิงประตูอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน เร็วกว่าสถิติที่ราชาม้าเคยทำไว้ในนัดนั้นด้วยซ้ำ
มู่ชวนและจ้าวเวยเหนื่อยจนหายใจหอบรัว เหงื่อเริ่มผุดขึ้นใบหน้าของมู่ชิงเฉินกับกู้เจียว
ทุกคนขี่ม้าเข้ามา รอให้กรรมการเอาลูกคลีออกมา
มู่ชวนถามออกมาด้วยเสียงหอบกระชั้น “พวกนี้เป็นพระประสาอะไรกัน โหดเกินไปแล้ว ลิ่วหลัง เหตุใดเจ้าไม่ขี่ราชาม้ามาที่นี่”
กู้เจียวบอก “ม้ายังเด็กเกินไป ขี่ไม่ได้หรอก”
มู่ชวนพึมพำ “ครั้งที่แล้วเจ้าก็ขี่มันไม่ใช่หรือ”
มู่ชิงเฉินเอ่ยอย่างใจเย็น “เงียบน่า”
มู่ชวนหยุดพูด
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของม้า แต่อยู่ที่คนต่างหาก
นักบวชเส้าหลินเหล่านี้เก่งกาจยิ่งนัก พวกเขาแต่ละคนต่างมีพลังปราณภายในแก่กล้า พละกำลังไม่เป็นรองใคร แต่ละลูกที่พวกเขาตีออกไป ไม่มีใครสามารถรับได้ด้วยซ้ำ
“แขนเจ้าไปไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” มู่ชิงเฉินถามกู้เจียว
ตอนนี้กู้เจียวสกัดลูกได้มากที่สุด
กู้เจียวจับแขนขวาที่แทบจะชาไปทั้งแขน “ไม่เป็นไร” เดี๋ยวก็ดีขึ้น
การแข่งขันเริ่มต้นอีกครั้ง
มู่ชิงเฉินเปิดลูกแรก
การแข่งขันตีคลีนั้นห้ามใช้กำลังภายใน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดกติกา นักบวชเส้าหลินพวกนี้ฝึกฝนร่างกายตลอดทั้งปีและพัฒนาทักษะไม่หยุด ทุกท่วงท่าที่แกงไกวล้วนแต่ดูเหมือนใช้กำลังภายในทั้งนั้น
มู่ชิงเฉินโดนแย่งลูกไปตามคาด
มู่ชวนอยู่ใกล้ที่สุด เขาก็แย่งลูกกลับมาได้ จ้าวเวยจ่ายลูกไปด้านข้าง ทั้งสองช่วยกันขวางนักบวชเส้าหลิน
พวกเขาแย่งลูกสำเร็จ!
นักบวชเส้าหลินจ้องมองด้วยความโกรธ ก่อนเหวี่ยงไม้ของตัวเองออกไป
“ข้าเอง!” มู่ชวนก้าวไปข้างหน้าพร้อมจับไม้ไว้มั่น
และแล้วก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นักบวชเส้าหลินคาดการณ์ไว้แต่ต้นแล้วว่าจะถูกขวาง จึงออกแรงเต็มที่
ร่างของมู่ชวนถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป
ทันใดนั้นสีหน้าของจ้าวเวยก็เปลี่ยนไป “มู่ชวน!”
มู่ชวนตกจากหลังม้าและล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง