บทที่ 852 สั่นสะเทือนฟ้าบุพกาล!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 852 สั่นสะเทือนฟ้าบุพกาล!

ภายในตำหนักเอกภพ เหล่าอริยะเงยหน้าขึ้น มองเห็นสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้ามา แต่ละคนสูงใหญ่นับหมื่นจั้ง ดูราวกับฟากฟ้าแห่งฟ้าบุพกาลกำลังจะถล่มลงมา!

หานเจวี๋ยก็เงยหน้ามองเช่นกัน กุมกระบี่พิพากษาอนธการไว้อีกครั้ง

เหล่าอริยะไม่สบายใจ

หยางเช่อถามอย่างระมัดระวัง “จำนวนของขุนพลศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นใช่หรือไม่”

กลิ่นอายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์แกร่งกล้าเกินไป ทันทีที่จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาสัมผัสโดนพลันรู้สึกร้อนลวก ตกใจจนดึงจิตศักดิ์สิทธิ์กลับมาทันที

“มากขึ้นจริงๆ”

“ไหนเลยจะใช่แค่มากขึ้น เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวต่างหาก”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ได้สูญสิ้นไปหมดแล้วหรือ”

“ตกลงเป็นใครกันแน่ที่ควบคุมขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่”

“เหตุใดต้องทำลายมรรคาสวรรค์ของพวกเราให้ได้”

เหล่าอริยะคับแค้นต่อความอยุติธรรม เวลานี้ลืมเลือนความหวาดกลัวและกังวลไปแล้ว มีเพียงความโกรธเคืองไร้สิ้นสุด

พวกเขาอดมองไปทางเหล่าตานไม่ได้

เหล่าตานรับรู้ได้ถึงโทสะของพวกเขา อดไม่ได้ที่จะกระอักกระอ่วนขึ้นมา “มองผู้เฒ่าทำไม ผู้เฒ่าไหนเลยจะทราบได้”

หานเจวี๋ยไม่สนใจท่าทีของอริยะคนอื่นๆ เขาผสานร่างจำลองเทพมารหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบเก้าร่างอีกครั้ง เตรียมตัวพร้อมแล้ว

เขาชูมือข้างที่กุมกระบี่พิพากษาอนธการขึ้น ปลายกระบี่จ่อชี้ไปทางหลังคาของตำหนักเอกภพ

เมื่ออยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม หานเจวี๋ยพลันสำแดงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพออกมา

ตูม!

ปราณกระบี่ทะยานสู่ฟ้า ทำลายยอดหลังคามรรคาสวรรค์ พุ่งออกจากมรรคาสวรรค์อย่างรวดเร็ว ด้วยการควบคุมของหานเจวี๋ย ปราณกระบี่ไม่ได้ทำลายรากฐานของมรรคาสวรรค์เลย พุ่งเข้าสู่ความมืดมิดอย่างรวดเร็ว

เป็นเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้!

เร็วเหลือเกิน!

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหมื่นคนยังคงพุ่งลงมา เพิ่งจะเห็นปราณกระบี่ ก็ถูกปราณกระบี่เข้าท่วมทับแล้ว

ความเร็วระดับนี้ เกินคำนิยามของคำว่าความเร็วไปแล้ว ก้าวข้ามกาลเวลา!

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมอดม้วย!

ด้วยกระบี่เดียว!

แรงกดดันมหาศาลจากขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นคนสลายไปในชั่วพริบตา เหล่าอริยะไม่ได้ตื่นตกใจเหมือนในตอนแรก เพียงรู้สึกดีใจเท่านั้น

หานเจวี๋ยเป็นกังวลอยู่บ้างอย่างไม่อาจควบคุมได้

คงไม่ใช่ว่าจะแห่มาอีกสองหมื่นคนกระมัง

แบบนั้นก็เกินไปแล้ว!

เขาพลันหวั่นใจ จิตรับรู้ของเขาพุ่งออกจากฟ้าบุพกาลในทันใด เขาก้มมองฟ้าบุพกาล เอ่ยขึ้นว่า “หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ข้าสังหารได้ในกระบี่เดียว สองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน จากนี้จะมาสักเท่าไรเล่า หนึ่งแสน หนึ่งล้านหรือว่าร้อยล้าน”

“นี่น่ะหรือสิ่งที่เรียกว่าระเบียบแห่งฟ้าบุพกาล เหตุใดการกระทำจึงเหมือนคนถ่อยในแดนมนุษย์เล่า มรรคาสวรรค์จะยืนหยัด ไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะเป็นใคร หากคิดทำลายมรรคาสวรรค์ก็เข้ามาได้เลย! ข้าอยากเห็นนักว่าจะมีมากพอสำหรับกระบี่เดียวของข้าหรือไม่”

เสียงของเขาแว่วไปทั่วฟ้าบุพกาล!

เขากระทำการด้วยความตั้งใจ นอกจากสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์แล้ว สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลล้วนจะได้ยินเสียงของเขา

ชั่วขณะนั้น ทั่วฟ้าบุพกาลตกอยู่ในความแตกตื่น สิ่งมีชีวิตในโลกนับไม่ถ้วนอยากรู้ยิ่งนักว่าเสียงเมื่อครู่เป็นผู้ใด ส่วนผู้บำเพ็ญที่อยู่เหนือกว่ามรรคผลเบิกฟ้าเหล่านั้นต่างสั่นสะท้าน

พวกเขาล้วนทราบเรื่องที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องการโจมตีมรรคาสวรรค์ แต่ฟังจากคำพูดของหานเจวี๋ย หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไปแล้วหรือ

ไม่ถูกสิ!

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นรายถูกผู้ทรงพลังลึกลับแห่งมรรคาสวรรค์สังหารในกระบี่เดียวอย่างนั้นหรือ

จะเป็นไปได้อย่างไร!

….

ภายในตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยะได้ฟังคำพูดของหานเจวี๋ย ต่างกล่าวชื่นชม

แม้แต่จอมอริยะเสวียนตูที่สงบเสงี่ยมมาโดยตลอดก็เป็นเช่นนี้ สองมือเขากำแน่น ตะโกนขึ้นว่า “เช่นนี้สมควรแล้ว ไล่ล่าบีบคั้นให้ตัวตนลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเผยตัวออกมา! พฤติกรรมเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน หนึ่งหมื่นผ่านไปก็มาอีกสองหมื่น นี่ยังนับเป็นกฎระเบียบอีกหรือ กฎระเบียบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาหรือไร

“ยิ่งไปกว่านั้น มรรคาสวรรค์มีความผิดใด”

อันที่จริงเหล่าอริยะล้วนไม่เข้าใจเลย

เหตุใดขุนพลศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องล้างบางเทพมารฟ้าบุพกาล

ผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่าเทพมารฟ้าบุพกาลเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงแรกเริ่มบุกเบิกฟ้าบุพกาล เปรียบเสมือนบุตรแห่งฟ้าบุพกาล ส่วนดวงจิตมหามรรค เป็นเพียงกฎระเบียบแห่งฟ้าบุพกาลเท่านั้น ผู้ดูแลกฎคิดจะสังหารบุตรแห่งฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ

ไร้เหตุผลสิ้นดี!

ฟังไม่ขึ้นเลย!

เหล่าตานมองหานเจวี๋ย ถอนหายใจเล็กน้อย

เขาไม่เข้าใจว่าหานเจวี๋ยกำลังคิดอะไรกันแน่

พูดจาแบบนี้ออกไป ประการแรกถือว่าดูหมิ่นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ประการที่สองนับเป็นการล่วงเกินตัวตนที่อยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์

ไม่ใช่เรื่องดีเลย

ตอนนี้ทนต้านรับการโจมตีของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มที่ก็ดีไป ตัวตนที่อยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียเปรียบจนพูดไม่ออกก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเหล่านี้จะถูกลืมเลือนเร็วยิ่ง

ไยต้องฉีกหน้าแตกหักกันด้วยเล่า

ฉีกหน้าแตกหักกับผู้มีตบะเท่ากันยังพอเข้าใจได้ แต่ไปฉีกหน้าแตกหักกับตัวตนระดับผู้ควบคุมกฎระเบียบสูงสุดเข้า ภายหน้ายังจะใช้ชีวิตในฟ้าบุพกาลได้อีกหรือ

หานเจวี๋ยรอคอยด้วยความอดทน

หากว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังเพิ่มจำนวนขึ้นอีก จนถึงขั้นที่เขาสู้ไม่ไหว เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็ยอมแล้วดฮณ๊ฯดฯฌซ,

เชิญเจ้าทำลายมรรคาสวรรค์ได้เลย!

ผู้เฒ่าจะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ในอาณาเขตเต๋าร้อยล้านปี หลังจากสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาแล้ว จะออกมาถล่มพวกเจ้าทั้งหมดให้ราบคาบ!

แค้นต้องชำระคืนด้วยความเกลียดชัง และนับว่าได้ทำความปรารถนาก่อนล่มสลายของมรรคาสวรรค์ให้เป็นจริง!

หานเจวี๋ยวางแผนในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว!

ในเวลานี้ น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งแว่วขึ้นในจิตใจของหานเจวี๋ย

“เจ้าคือเทพมารอนธการหรือ”

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคือตัวตนระดับยอดมหามรรค เขาสืบสาวไล่ตามน้ำเสียงของอีกฝ่ายไปทันที พร้อมถ่ายทอดเสียงกลับไป “ข้าคือเทพมารฟ้าบุพกาล หากเจ้าต้องการยัดเยียดให้ข้าเป็นเทพมารอนธการ เจ้าก็ยัดเยียดมาได้เลย ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ของข้าก็ไร้ความผิด ความยุติธรรมคงอยู่ในใจคน เจ้าทำลายมรรคาสวรรค์ได้ แต่ไม่มีทางทำลายเจตจำนงของสรรพสิ่งได้!”

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ

หานเจวี๋ยเห็นว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีก จึงนั่งลงเสีย

ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งตำหนักเอกภพตกอยู่ในความเงียบสงัด

เหล่าอริยะจ้องมองหานเจวี๋ย ล้วนทราบดีว่าประโยคเมื่อครู่นั้นของหานเจวี๋ยจะชักนำผลลัพธ์เช่นใดมา แต่พวกเขาไม่ได้ขุ่นเคืองเลย ล้วนเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวหานเจวี๋ย

พวกเขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยสามารถค้ำยันนภาให้พวกเขาได้!

ในเวลานี้เอง เสียงลึกลับดังขึ้นในใจหานเจวี๋ยอีกครั้ง

“เทพมารฟ้าบุพกาลไหนเลยจะสามารถทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นคนได้ ผานกู่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน!”

“ผานกู่ทำไม่ได้ ข้าก็ต้องทำไม่ได้ด้วยหรือ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงสามารถควบคุมขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้เล่า”

“ข้าไม่ได้อยู่บนบรรทัดฐานเดียวกับเจ้า”

“ข้าก็ไม่ทราบกระจ่างชัดว่าเจ้าเป็นผู้ใด!”

“หากเจ้าคือเทพมารอนธการ เช่นนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามต่อฟ้าบุพกาล ข้าอาจจะเดาผิด แต่หากเปลี่ยนเป็นเจ้า จะปล่อยผ่านความเป็นไปได้แม้เพียงเศษเสี้ยวไปได้หรือ”

“ผู้ใดเป็นคนบอกว่าเทพมารอนธการจะเป็นภัยต่อฟ้าบุพกาล ต่อให้เป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นการที่ขุนพลสวรรค์กวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาลนับเป็นอันใดเล่า ฟ้าบุพกาลมีวันนี้ได้ มิใช่เพราะคุณูปการจากเทพมารฟ้าบุพกาลหรอกหรือ หากมิใช่เพราะเทพมารฟ้าบุพกาลบุกเบิกฟ้าบุพกาลขึ้น ไหนเลยจะมีสิ่งมีชีวิตมหามรรค จะสำเร็จเป็นดวงจิตได้หรือ พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณของเทพมารฟ้าบุพกาล อาศัยว่ามีอำนาจ ทว่าหลงลืมคุณธรรมจรรยา บางทีดวงจิตมหามรรคอย่างพวกเจ้า สมควรต้องมาเรียนรู้หลักธรรมจากแดนมนุษย์แห่งมรรคาสวรรค์ดู เรียนรู้การสำนึกบุญคุณ!”

หานเจวี๋ยถกเถียงตอบโต้กับอีกฝ่าย เปี่ยมความมั่นใจเต็มที่

แต่เขาก็ไม่ได้พูดจาผูกมัดเป็นคำตาย ความจริงเขาทราบแล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด เป็นบรรพชนเทพปฐมกาล!

เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ แสร้งทำเป็นคับข้องกับความอยุติธรรม ให้อีกฝ่ายคลายความระแวง

สักวันหนึ่ง เขาจะสังหารบรรพชนเทพปฐมกาลด้วยตัวเอง

ค่าความเกลียดชัง 6 ดาวไม่สมควรเก็บเอาไว้!

ผ่านไปนานพักใหญ่

อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบกลับมา

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกเช่นกัน ทุกอย่างหวนคืนสู่ความเงียบสงบ

ดูเหมือนมหันตภัยจะผ่านพ้นไปแล้ว

แต่เหล่าอริยะไม่กล้านิ่งนอนใจ พวกเขาล้วนแต่รอคอยคำตอบจากหานเจวี๋ยอยู่

ขอเพียงหานเจวี๋ยไม่ได้พูดออกมาเองกับปากว่ามหันตภัยผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาถึงจะกล้าวางใจอย่างสมบูรณ์

เสียงลึกลับขึ้นดังในใจของหานเจวี๋ยอีกครั้ง “ขอเพียงเจ้าพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไม่ใช่เทพมารอนธการ ข้าก็จะไม่พุ่งเป้าไปยังมรรคาสวรรค์อีกต่อไป!”

“พิสูจน์อย่างไร”

“เจ้าต้องเข้าสู่กฎระเบียบสูง ถูกกฎระเบียบสูงสุดผนึกไว้ จนกระทั่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่สิ้นสุดลง เสียสละ อิสระภาพของเจ้า แลกกับความปลอดภัยของมรรคาสวรรค์”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ หานเจวี๋ยยิ้มออกมา

เขาอยากหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาแทบแย่ เพียงแต่ตอนนี้ยังหยิบออกมาไม่ได้

ผู้ที่จอมเทวาฟ้าบุพกาลให้ความสนใจยิ่งกว่าคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ มิใช่เทพมารอนธการ!

………………………………………………………………