ค่ำคืนหนาวเหน็บดั่งสายธารา ในหมู่บ้านภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งนอกเมืองจี้ซื่อ ชาวบ้านถูกขับไล่ออกไปนานแล้ว หลงเหลือเพียงบ้านว่างเปล่า หลายวันก่อนที่แห่งนี้มีเจ้าของชั่วคราว ภายในบ้านที่กว้างขวางที่สุดในหมู่บ้าน เงาเทียนไขทอแสงสีแดงวูบไหว เปลวไฟในดวงโคมริบหรี่ บนเตียงไม้หยาบๆ ปูเครื่องนอนงดงามเอาไว้ บัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งเอนหลังอยู่บนเตียง กำลังจิบยาต้มที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนลอยกรุ่นถ้วยหนึ่งอย่างช้าๆ
ข้าส่งถ้วยยาให้ชายหนุ่มอาภรณ์เขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างเตียงแล้วถอนหายใจยาว “คนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิต! ไฉนจะคาดคิดว่าแม่ทัพเป่ยฮั่นจะใช้วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้ เรื่องเซวียนซงทำให้ข้าปวดใจยิ่งนักจริงๆ เสี่ยวซุ่นจื่อ หลังจากนั้นการรบเป็นเช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้มหน้าตอบว่า “หลงถิงเฟยเตรียมป้องกันหากกองทัพเราจะฝ่าออกมาอยู่ก่อนแล้ว ยามกองทัพเราทะลวงผ่านปากหุบเขาออกมา เขาก็ใช้เครื่องยิงหินกับธนูปิดปากหุบเขา ตัดทางกองทัพเรา ปากหุบเขาแคบนัก ยากจะเดินทัพผ่านมาได้ ทหารไม่กี่พันนายที่ออกมาพ้นหุบเขาล้วนตกตายกลางวงล้อมของกองทัพเป่ยฮั่น เหล่าทหารที่เหลือต่างถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนวางวาย กระดูกดำเกรียมกองเกลื่อนผืนดิน ทหารสอดแนมของกองทัพเราสืบมิพบว่าแม่ทัพเซวียนอยู่หรือตาย แต่เกรงว่าเขาคงตายระหว่างการต่อสู้อันโกลาหลแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นเจียงเจ๋อสีหน้าเศร้าหมอง เขาจึงเอ่ยปลอบว่า “เดิมทีคุณชายก็มิใช่แม่ทัพที่อยู่แนวหน้า เรื่องนี้มิใช่ความรับผิดชอบของคุณชาย ไยต้องรู้สึกผิด”
ข้ายิ้มขมขื่น ตอบว่า “มิใช่ข้าหาเรื่องกลัดกลุ้มให้ตนเอง เซวียนซงเป็นคนเก่งที่หาตัวจับยาก เขาเป็นแม่ทัพที่ทำได้ทั้งรุกทั้งรับ ทหารพันนายหาง่ายดาย แต่แม่ทัพสักคนหายากนัก เสียคนผู้นี้ไป แม้ทำให้กองทัพเป่ยฮั่นพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ได้ก็นับว่าบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย จะมิให้ข้าปวดใจได้เช่นไร
เฮ้อ แม้ข้าเคยคิดว่าศัตรูอาจใช้ไฟโจมตี แต่หุบเขาชิ่นสุ่ยมีต้นไม้โหรงเหรง กระแสน้ำก็ท่วมเต็ม ใช้ไฟโจมตีย่อมมิง่าย ดังนั้นข้าจึงมิทันเตือนให้พวกเขาระวัง คิดมิถึงว่าหลงถิงเฟยจะใช้น้ำมันดำเทลงแม่น้ำชิ่นสุ่ยเป็นตัวช่วยจุดไฟ หากมิใช่ว่าแม่ทัพซูสังเกตเห็น น่ากลัวว่าทั้งกองทัพคงย่อยยับ หลงถิงเฟยมิธรรมดาจริงๆ”
พูดถึงท่อนท้าย ในใจข้ายิ่งหดหู่จนไอออกมาสองสามหน เสี่ยวซุ่นจื่อรีบยกถ้วยชาส่งให้ ข้ายกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำจึงรู้สึกโล่งขึ้นมาก แล้วถามต่อว่า “องค์ชายจัดการกับการรบหลังจากนั้นเช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองกระดาษแผ่นบางในมือแล้วตอบว่า “ฉีอ๋องนำกองทัพใหญ่ซุ่มโจมตีตรงปากหุบเขาชิ่นสุ่ย เดือนสี่ วันที่สอง หลังจากไฟในหุบเขามอดดับ หลงถิงเฟยทิ้งต้วนอู๋ตี๋ไว้ป้องกันชิ่นหยวน นำกองทัพเป่ยฮั่นออกจากหุบเขามาไล่โจมตีด้วยตนเอง แต่ถูกองค์ชายซุ่มโจมตีเป็นผลสำเร็จ ทว่ากำลังทหารของกองทัพเป่ยฮั่นแข็งแกร่ง สองกองทัพโรมรันกันอยู่ครึ่งวัน องค์ชายก็ถอยมาทางอานเจ๋อ
เดือนสี่ วันที่สาม องค์ชายใช้ชัยภูมิของอานเจ๋อที่มิอำนวยต่อทหารม้าทำศึก ให้พลทหารเดินเท้าประจัญบาญกับกองทัพเป่ยฮั่นอีกหน แต่มิอาจตัดสินแพ้ชนะ เดือนสี่ วันที่สี่ องค์ชายเดินทางถึงทิศเหนือของจี้ซื่อก็มาขวางกองทัพเป่ยฮั่นที่ไล่ตีเพื่อให้พลทหารเดินเท้าถอยกลับไปเจ๋อโจวได้ สองกองทัพประจันหน้ากันมาสองวันแล้ว แม้กองทัพเป่ยฮั่นสูญเสียมากมาย แต่องค์ชายก็เสียหายมิน้อย วันพรุ่งนี้องค์ชายจะถอยทัพทั้งหมด เคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว มิสู้ติดพันกับกองทัพศัตรูแล้ว”
ดวงตาข้าฉายแววยินดีจางๆ แล้วกล่าว่า “หลังจากชนะครั้งใหญ่กลับถูกเล่นงานสองครั้ง กองทัพเป่ยฮั่นคงมิปล่อยกองทัพเราไปง่ายๆ แน่”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเฉยชา “คุณชายกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าได้ยินว่ากองทัพเป่ยฮั่นรบอย่างดุร้ายยิ่งนัก ระหว่างถอยทัพฉีอ๋องเกือบถูกศัตรูล้อมไว้ได้สองหน ถอยทัพครั้งนี้ กองทัพศัตรูมิเพียงไล่ตามโจมตี แต่ยังตามติดมิเลิกรา ต่อให้ไล่ตามเข้ามาในเจ๋อโจวก็คงมิมีทางปล่อยไปง่ายๆ”
ข้าได้ยินพลันปรบมือเอ่ยว่า “ฉีอ๋องช่างเข้าใจความคิดข้ายิ่งนัก หลงถิงเฟยแต่เดิมเป็นคนหยิ่งยโส หลังจากพ่ายศึกเจ๋อโจวเมื่อครานั้นก็ถูกแผนการของข้าบั่นทอนความเชื่อมั่น ยามนี้ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ กอบกู้เกียรติยศและความเชื่อมั่นกลับมาแล้ว เมื่อฉีอ๋องเข้าราญรอนศัตรูโดยมิสนใจว่ากำลังทหารด้อยกว่า หลงถิงเฟยย่อมมิอาจทนได้เป็นแน่ มิมีสิ่งใดขวางเขาจากการไล่ตามโจมตีครานี้ได้แน่ ทว่านั่นย่อมเป็นการก้าวเข้าสู่กับดักของข้าพอดี หากมิใช่ฉีอ๋องผู้มีจิตใจแน่วแน่ พ่ายแพ้ร้อยหนมิท้อ ผู้ใดจะทำภารกิจอันยากลำบากนี้สำเร็จได้อีก”
เวลานี้ชื่อจี้ก็เข้ามารายงาน “คุณชาย แม่ทัพจ่างซุนขอพบอยู่ด้านนอก”
ข้าตอบเรียบๆ “เชิญเขาเข้ามาเถิด” สายตากลับทอดมองไปไกลยังสถานที่อันมิอาจมองเห็น ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด หากหลงถิงเฟยนึกสงสัยขึ้นมาแล้วถอยทัพกลับไป กองทัพเราก็จะลำบากเสียเปล่า เวลานี้ข้าย่อมมิทราบว่าข่าว ‘ฉู่เซียงโหวล้มป่วยหนัก’ อันถูกเล่าต่อเกินจริงเรื่องนี้กำลังส่งผลกระทบต่อกองทัพเป่ยฮั่น มันทำให้เบื้องบนของกองทัพเป่ยฮั่นแทบมิคลางแคลงแต่อย่างใดว่ากำลังมุ่งหน้าเข้ามาสู่กับดัก
หลี่เสี่ยนเอื้อมมือลูบแผงคอเปียกเหงื่อของอาชาศึก แล้วเงยหน้ามองไปทางด้านหลัง ตอนนี้มองมิเห็นร่องรอยของกองทัพเป่ยฮั่น เมื่อเงยหน้าเห็นดวงตะวันอยู่กลางฟ้าก็คิดว่ากองทัพศัตรูคงจะเตรียมตัวพักผ่อนสักครู่กระมัง หลายวันนี้เขาเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ผลลัพธ์จากการท้าทายคือการไล่โจมตีสุดชีวิตของศัตรู แม้มาถึงจี้ซื่อ ห่างไปอีกห้าสิบลี้ก็เป็นชายแดนเจ๋อโจวแล้ว
ทว่าระยะทางเพียงห้าสิบลี้กลับยากเย็นกว่าระยะทางช่วงก่อนหน้า ก่อนหน้านี้ยามหลบหนียังเลี้ยวลดวกอ้อมได้ แม้กองทัพศัตรูมีมากกว่าสองเท่า แต่หากคิดจะล้อมโจมตีก็ค่อนข้างยากลำบาก ขอเพียงตนเองว่องไวสักหน่อย กองทัพศัตรูอยากปิดล้อมย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ระยะทางห้าสิบลี้ต่อจากนี้ ทำได้เพียงห้ออาชาวิ่งตะบึงเท่านั้น หากเอาแต่วิ่งไปทั่วอีก น่ากลัวว่ากองทัพศัตรูคงค้นพบว่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้ามาสู่กับดักแล้ว
หลี่เสี่ยนป้อนอาหารอาชาศึกอย่างรวดเร็วเสร็จก็มองเห็นฝุ่นควันฟุ้งตลบจากด้านหลัง เขาปลุกขวัญกำลังใจแล้วกล่าวว่า “พวกเราฮึดอีกเฮือกเดียว ยามมุ่งกลับเจ๋อโจว มิต้องตั้งกระบวนแถว ทุกคนหนีกันเองเถิด” กล่าวจบก็ชูแส้กระตุกบังเหียนอาชาพุ่งออกไป
จิงฉืออยู่ท้ายกองทัพได้ยินคำสั่ง ก็มองดวงตะวันอันทอแสงเจิดจ้า แล้วหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยเร่ง “ไปสิ ผู้ใดรั้งท้ายเดี๋ยวก็ถูกศัตรูล้อมเอาหรอก”
หลายวันนี้หลี่เสี่ยนกับจิงฉือใช้ประโยชน์จากความไม่ลงรอยระหว่างอดีตทหารใต้บัญชาฉีอ๋องกับอดีตทหารใต้บัญชายงอ๋องอย่างเต็มที่ ผลัดเปลี่ยนให้พวกเขารับหน้าที่ฝ่าทะลวงศัตรูกับคุมท้ายกองทัพ ด้วยเหตุนี้ฝ่ายบุกทะลวงต่างต่อสู้อย่างดุร้ายมิไยดีชีวิต ฝ่ายที่คุมท้ายก็เหมือนมีหนามแหลมรอบตัว ทำให้ศัตรูมิอาจเข้าใกล้ได้ง่ายๆ
ทั้งสองคนต่างบอกเป็นนัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าตอนนี้พ่ายศัตรูก็พ่ายมาแล้ว หากแพ้คู่แข่งอีก ถ้าเช่นนั้นศักดิ์ศรีคงมิมีเหลือ ดังนั้นแม้จะพบกับความพ่ายแพ้ย่อยยับมาหลายหน แต่ขวัญกำลังใจของทหารในกองทัพกลับยิ่งพุ่งขึ้นสูง หากมิใช่ว่าศัตรูแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทั้งยังมีกองทัพไต้โจวคอยช่วยเหลือ น่ากลัวว่ากองทัพเป่ยฮั่นที่มีทหารใหม่ปะปนอยู่มากกว่าครึ่งคงถูกแว้งกัดกลับสักคำ
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ ความต่างของกำลังทหารก็ยังทำให้กองทัพต้ายงถอยทัพมิหยุด ยามนี้มาถึงการหลบหนีช่วงสุดท้ายแล้ว ทั้งหลี่เสี่ยนยังออกคำสั่งให้แตกทัพหนี ดังนั้นกองทัพต้ายงจึงเริ่มหนีกระเจิงตัวใครตัวมัน แม้ความคุ้นชินจากการเดินทัพทำศึกหลายปีจะทำให้กองทัพต้ายงยังคงรักษารูปขบวนทัพไว้ประมาณหนึ่ง แต่ขบวนแถวทหารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องทุ่งกว้างก็ทำให้ศัตรูไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน สิ่งนี้ทำให้กองทัพศัตรูที่ไล่ตามโจมตีโอบวงล้อมยากขึ้นอีก
หลงถิงเฟยกับหลินปี้ที่ไล่ตามมาเห็นกองทัพต้ายงหนีแตกกระเจิงก็เผยรอยยิ้มออกมาจากใจ การควบอาชาระยะทางห้าสิบลี้บนทุ่งราบ หากมิไล่ตามประชิด น่ากลัวว่าคงจะถูกกองทัพต้ายงสลัดหนีกลับถึงเจ๋อโจว แต่ทั้งสองคนต่างรู้จักวิธีทำศึกของทหารม้าเป็นอย่างดี พวกเขาทราบว่านี่เป็นกลยุทธ์สุดท้ายของกองทัพศัตรูแล้ว คำสั่งแตกทัพหนีทำให้กองทหารที่หลบหนีใช้ความเร็วได้สูงสุดและทิศทางที่หลบหนีก็มิอาจคาดเดาได้มากที่สุด ทว่าเมื่อสั่งให้แตกทัพหนีแล้วก็จะทำได้แต่หนี มิอาจโต้กลับได้อีก หากต้องการสังหารกองทัพศัตรูให้สิ้น นี่คือโอกาสอันยอดเยี่ยมครั้งสุดท้าย
ดวงตาของหลงถิงเฟยฉายประกายแน่วแน่ เอ่ยว่า “น้องปี้ อาชาของกองทัพไต้โจวฝีเท้าว่องไว เจ้าจงนำกองทัพอ้อมไปดักหน้ากองทัพศัตรู ข้าจะนำกองทัพใหญ่ไล่ตามโจมตีด้านหลัง วันนี้กองทัพศัตรูหนีกระเจิง มิมีกำลังโต้กลับแล้ว พวกเราจัดการกองทัพศัตรูที่นี่ให้ได้มากกว่าครึ่งก็จะบรรลุเป้าหมาย ถึงเวลาต่อให้ฉีอ๋องหลบหนีไปได้ อย่างมากที่สุดพวกเราก็บุกเข้าไปในเจ๋อโจว”
หลินปี้พยักหน้าเบาๆ การสังหารกองทัพต้ายงให้สิ้นเป็นความปรารถนาร่วมกันของพลทหารกองทัพเป่ยฮั่น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่กองทัพต้ายงเข่นฆ่าผู้คนและจุดไฟเผาชิ่นโจว ศึกที่ใช้น้ำจมอานเจ๋อกับใช้ไฟเผาชิ่นสุ่ย แม้กองทัพเป่ยฮั่นจะได้ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องสละเมืองสำคัญกับขุนเขาสายน้ำในอาณาเขตของตนเอง เหล่าทหารทั้งระดับบนและระดับล่างในกองทัพเป่ยฮั่นล้วนเคียดแค้น
แล้วเดือนสี่ วันที่สอง เมื่อกองทัพเป่ยฮั่นคิดว่ากองทัพต้ายงหนีไปไกลแล้ว จึงเดินทัพผ่านหุบเขาชิ่นสุ่ยที่ควันยังมิจางออกมา ก็กลับถูกฉีอ๋องนำทัพมาเล่นงานจนสูญเสียไปมิน้อย ต่อมายังถูกฉีอ๋องคอยดักสังหารซ้ายดักสังหารขวา วกอ้อมกลับมาท้าทาย ทำเอาพวกเขาลำบากลำบนพอสมควร ทหารทั้งหลายในกองทัพจึงล้วนอยากสังหารฉีอ๋องกันถ้วนหน้า หวังจะคว้าชัยชนะอันทรงเกียรติที่สุด หากยามนี้ถอยทัพ น่ากลัวว่าพลทหารคงนึกแค้น เหล่าแม่ทัพคงเอาใจออกห่าง ดังนั้นการไล่ตามโจมตีจึงเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หลินปี้รับคำสั่งพากองทัพไต้โจวอ้อมไปยังทิศทางที่กองทัพต้ายงหนี เร่งความเร็วมุ่งไปทางชายแดนชิ่นโจวกับเจ๋อโจวจากด้านข้าง อาชาศึกของกองทัพไต้โจวเป็นอาชาพันธุ์ดี อีกทั้งเหล่าขุนพลต่างมีทักษะการขี่อาชาเยี่ยมยอด ความเร็วจึงเร็วกว่ากองทัพต้ายงกับกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นอยู่เล็กน้อย
พวกเขาเป็นกองทัพที่เหมาะกับการไล่โอบล้อมสกัดขวางที่สุด ช่วงก่อนหน้านี้หากมิใช่หลี่เสี่ยนเลือกสนามรบได้ดีเยี่ยม แล้วยังอาศัยกำลังทหารที่มากกว่ากองทัพไต้โจวมาก ฝืนทะลวงฝ่าแนวป้องกันของกองทัพไต้โจวมาหลายหน ผนวกกับหลินปี้มิอยากสูญเสียไพร่พลมากเกินไปในขณะที่ยังมีโอกาสมากมายให้สังหารกองทัพต้ายง เกรงว่ากองทัพต้ายงคงถูกล้อมสังหารเสียนานแล้ว แม้เป็นดังนั้นใต้กีบเท้าเหล็กของกองทัพไต้โจวก็ยังทิ้งซากศพของหทารกล้าแห่งทัพต้ายงไว้นับไม่ถ้วน กองทหารม้าของไต้โจวใต้หล้ามิมีผู้ใดเทียบเทียม