คฤหาสน์ตระกูลฟางครึกครื้นกว่าวันวานมาก
เพราะนายหญิงผู้เฒ่าฟางจะเปิดคลังสมบัติซึ่งการเปิดเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลังที่ไม่เคยแตะมาตลอด สมุดบัญชีที่ส่งมากองหนาเป็นตั้ง นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลิกค้นเองสี่ห้าวัน เลือกสมุดบัญชีมาหลายเล่ม
ต่อมาก็รอรถที่อีกฝ่ายส่งมาใส่เงิน
เต๋อเซิ่งชางย่อมมีรถ แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางเพียงบอกให้รอรถที่อีกฝ่ายจะส่งมา ผ่านไปอีกหลายวัน รถถึงส่งมาถึง มองปราดเดียวก็เป็นรถที่สร้างขึ้นใหม่
แม้ความเป็นมาของแขกคนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนล้วนคาดเดาได้ว่าความเป็นมาใหญ่ยิ่ง
“เงินที่จะถอนออกไปคงมากนัก”
“ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องแตะคลังสวรรค์”
“ไม่แน่ทั้งคลังสวรรค์ก็คือของที่เตรียมให้เขา”
“รถหลายคันนักเชียว”
คำพูดถกเช่นนี้ดังขึ้นในเต๋อเซิ่งชางเป็นระยะ
สำหรับพนักงานทั้งหลายแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เห็นได้น้อยครั้งนักเช่นกัน
แม้พูดถกกันแต่นี่อย่างไรก็ไม่กระทบกับการค้าของร้านแลกเงิน ในร้านแลกเงินทุกสิ่งเป็นดั่งปกติ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง มีคนถือตั๋วแลกเงินเข้ามา คนที่ต้อนรับแขกก็เข้าไป ตั๋วเงินส่งเข้ามาในโต๊ะกั้น แต่เงินกลับไม่ส่งออกมาเหมือนอย่างปกติ
“ในคลังบอกว่าปิดบัญชีแล้ว” พนักงานเอ่ยขึ้น บนหน้าผากเหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา
เหล่าพนักงานได้ยินคำนี้ล้วนตะลึง
ที่ร้านแลกเงินปิดบัญชีไยไม่ใช่ไม่เปิดร้านแล้ว? นี่เป็นไปได้อย่างไร?
เสียงปังปังสองครั้ง ประตูถูกผลักเปิด
“จะปิดบัญชี? ผู้ดูแลใหญ่ทำไมไม่บอกข้าเล่า?” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ผู้ดูแลบัญชีคลังกุมถ้วยชาดื่มชาอย่างอ้อยอิ่ง
“เรื่องนี้น่ะ” เขาเอ่ย “เป็นคำสั่งของคุณหนูรอง”
คุณหนูรอง?
“คุณหนูรองปิดคลังได้อย่างไร?” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าตะลึง
ผู้ดูแลบัญชีคลังวางถ้วยชาลงเกิดเสียงกังวานใสทีหนึ่ง
“อ้าว เหล่าเว่ยนี่เจ้าจะบอกว่าคุณหนูรองไม่มีอำนาจจัดการรึ?” เขาเอ่ย
คุณหนูรองย่อมมีอำนาจจัดการ
ก่อนอื่นไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ยามฟางเฉิงอวี่อาการป่วยยังไม่หายดี คุณหนูทั้งสองก็ทำงานอยู่ที่ร้านแลกเงิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางอบรบพวกนางมาเหมือนบุรุษอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ต่อมาฟางเฉิงอวี่รับช่วงต่อดูแลร้านแลกเงิน คุณหนูทั้งสองก็ไม่เพียงไม่กลับบ้าน นอกจากนี้เรื่องการจัดการดูแลก็ยิ่งมีบทบาทสำคัญขึ้นทุกที
คลังเงินออกของร้านแลกเงินอยู่ในมือของคุณหนูรองฟางอวี้ซิ่วมาตลอด
มีตราประทับของนางถึงขั้นไม่ต้องผ่านมือฟางเฉิงอวี่
ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณหนูรองจะปิดคลังทำไม” เขาเอ่ยถาม “เป็นความตั้งใจของนายหญิงผู้เฒ่าหรือ?”
ผู้ดูแลบัญชีคลังส่ายศีรษะ
“ทำไมไม่รู้ พวกเราเพียงฟังคำสั่งของคุณหนูรองเท่านั้น” เขาเอ่ย
พวกเรา
หน้าผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าเขียวแล้ว
“ความหมายของเจ้า คงไม่ใช่ร้านแลกเงินทั้งหมดต้องปิดบัญชีหรอกนะ?” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ
ผู้ดูแลบัญชีคลังส่ายศีรษะ
“แน่นอนไม่ใช่” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าโล่งออก แต่นาทีต่อมาคำพูดของผู้ดูแลบัญชีคลังก็ทำให้เขาอดกลั้นจนหน้าแดง
“แค่ร้านแลกเงินที่ดูแลอยู่ในมือคุณหนูรองเท่านั้น” เขาเอ่ย
นั่นก็ไม่น้อยนะ! ลำพังเจ๋อโจวก็ไม่น้อยกว่าสิบแห่งแล้ว!
ร้านแลกเงินอยู่ดีๆ ไม่ให้แลกเงิน ตั้งแต่เต๋อเซิ่งชางก่อตั้งมา ยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน กระทั่งตอนนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางตายก็ไม่เคย
“เรื่องนี้ก่อเรื่องใหญ่แล้ว” ผู้ดูแลโต๊ะด้านหน้าเอ่ยขึ้น
นี่คุณหนูรองจะทำอะไร?
อีกอย่าง คนในบ้านล้วนรู้ไหม?
คนในบ้านหารู้ไม่
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยุ่งอยู่กับเรื่องคลังสวรรค์ นายหญิงใหญ่ฟางตลอดมาวางใจบุตรสาวทั้งสอง เมื่อได้รับข่าวจึงเป็นสองวันให้หลัง
ด้านนอกเล่าลือกันกระหึ่ม ถึงขั้นมีคนไม่น้อยปิดล้อมร้านแลกเงินไว้
“พูดเหลวไหลอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางคิดว่าตนฟังผิด “ข้าไม่เคยบอกว่าจะปิดคลัง นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่นะ”
“นายหญิง พวกท่านย่อมไม่ได้ทำ เป็นคุณหนูรองเจ้าค่ะ” นางหยวนกระทืบเท้าเอ่ย “ไม่ใช่แค่คุณหนูรอง คุณหนูใหญ่ก็ก่อเรื่องด้วยแล้ว ให้ฝ่ายเสมียนบัญชีหยุดสมุดบัญชีไว้ด้วย”
ฟางอวิ๋นซิ่วดูแลสมุดบัญชีมาตลอด นางหยุดสมุดบัญชีได้จริงๆ
นายหญิงใหญ่ฟางกะพริบตา รู้สึกว่าอยากหัวเราะอยู่บ้าง
“ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ?” นางเอ่ยถาม
“พวกผู้ดูแลก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกันเจ้าค่ะ คิดว่าเป็นความตั้งใจของตระกูลจึงไม่มีคนกล้ามาถาม” นางหยวนเอ่ย “ลากมาถึงวันนี้ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว ดังนั้นถึงวิ่งมาถาม คนที่ประตูกลับยังรับคำสั่งของคุณหนูทั้งสองขวางไว้”
ถึงกับเป็นเช่นนี้?
สีหน้าของนายหญิงใหญ่ฟางค่อยๆ บึ้งตึง เรื่องนี้ เหมือนจะไม่ใช่การล้อเล่น
“ก็ขอบคุณพวกนางที่ขวางไว้ ผู้ดูแลกับผู้ดูแลใหญ่ทั้งหลายด้านนอกถึงรู้สึกว่าเรื่องไม่ชอบมาพากล ตอนนี้ถึงคิดหาวิธีส่งข่าวเข้ามา” นางหยวนรีบร้อนเอ่ย “ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ยังคงถูกปิดบังอยู่เลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ฟางตบโต๊ะทีหนึ่ง
“เรียกพวกนางมา” นางตวาด
นางหยวนไล่พวกหญิงรับใช้ไป ไม่นานหญิงรับใช้ก็กลับมาแล้ว
“คุณหนูทั้งสองไปหานายหญิงผู้เฒ่าที่นั่นแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย สีหน้าวิตก “เหมือนว่าจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว”
“นายหญิงผู้เฒ่าต้องรู้แล้วแน่” นางหยวนรีบเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางไม่ลังเลอีกต่อไปพานางหยวนก้าวเร็วไวมาหานายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนี้
เพิ่งเข้าเรือนมาก็ได้ยินเสียงเขวี้ยงถ้วยชาด้านใน
“พวกเจ้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดไหม?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจัด มองหลานสาวสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ฟางอวิ๋นซิ่วลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้ากระวนกระวาย สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
แต่ฟางอวี้ซิ่งยังคงนั่งมั่นคง สีหน้าสงบนิ่ง ในมือยังคงถือชา
“พวกเจ้ารู้ว่านี่หมายความว่าอะไรไหม? นี่คือก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่แล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางโมโหโกรธาเอ่ย
ปิดบัญชี ไม่แลกเงิน ร้านแลกเงินแห่งหนึ่งมีเพียงยามพบเหตุการณ์เงินขาดแคลนไม่อาจหมุนได้ถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เต๋อเซิ่งชางร้านแลกเงินใหญ่เช่นนี้ ฉับพลันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต้องดึงความสนใจนับไม่ถ้วนมาแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ ต้องหลีกเลี่ยงความสนใจของผู้อื่นที่สุด
สาวน้อยสองคนนี้ บ้าไปแล้วหรือ?
“พวกเจ้าคิดอะไรอยู่?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม
ฟางอวี้ซิ่งวางถ้วยชาลง
“ท่านย่า พวกเราคิดเรียบง่ายยิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “ก็แค่อยากได้เครื่องรับประกันชิ้นหนึ่ง”
“ต้องการรับประกันอะไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม
“ท่านย่า ก่อนหน้านี้ท่านเคยรับปากพวกเรา เลี้ยงข้ากับพี่สาวเยี่ยงบุรุษ ถ้าอย่างนั้นสมบัติตระกูลนี่พวกเราย่อมต้องมีส่วนแบ่งด้วยสิ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้นมา
สมบัติตระกูล?
นี่คือจะ แย่งสมบัติตระกูลหรือ?
นายหญิงใหญ่ฟางได้ยินพลันอึ้ง ทั้งรู้สึกว่าบ้าบอแล้วยังไม่แน่ใจอยู่บ้าง
นี่ป้องกันคนนอกก่อเรื่องคุกคามนักหนา ผลสุดท้ายคนในบ้านตนก่อเรื่อง
แล้วยังเป็นบุตรสาวทั้งสองคนด้วย?
“บังอาจ!” นายหญิงใหญ่ฟางอดดทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ก้าวเร็วไวเข้าประตูตวาด
ส่วนนางหยวนรีบขับไล่หญิงรับใช้สาวใช้ตรงทางเดินกับในลาน
แต่สายแล้วไปแล้ว ฤดูร้อนหน้าต่างประตูเปิดกว้าง ม่านโปร่งลูกปัดยิ่งส่งคำพูดด้านในออกมา สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายสีหน้าตะลึงงัน จากนั้นถูกนางหยวนขับไล่ก็ถอยออกไป แต่นางหยวนรู้ ในบ้านคงเล่าลือกันทั่วในทันที
คุณหนูทั้งสองต้องการแย่งสมบัติตระกูล นี่เป็นเรื่องบ้าบอที่คิดก็คิดไม่ถึงจริงๆ
นี่จะเรียกเรื่องอะไรกัน
นางหยวนยื่นมือตบหน้าอก
“นี่มีสิ่งใดบังอาจ”
ฟางอวี้ซิ่งเผชิญหน้ากับท่านแม่ก็ยังคงเยือกเย็นอดกลั้น เหมือนนิสัยที่เป็นมาตลอดของนาง
เทียบกับความทื่อมะลื่อของฟางอวิ๋นซิ่ว ความบุ่มบ่ามของฟางจิ่นซิ่ว ฟางอวี้ซิ่วเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมที่สุด แล้วก็เป็นคนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางฝากความหวังไว้มากที่สุดด้วย
เพียงแต่ความฉลาดเฉียบแหลมที่เห็นมาก่อนหน้านี้ ยามนี้เวลานี้กลับแลดูเฉยชาขาดอารมณ์อ่อนโยนของมนุษย์อยู่บ้าง
มุมปากฟางอวี้ซิ่วมีรอยยิ้มจางๆ แววตาเย็นชา
“ท่านแม่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ธุรกิจก็ต้องคุยอย่างธุรกิจ หลายปีนี้ข้ากับพี่สาวทำเพื่อตระกูลเพื่อร้านแลกเงินไม่น้อยกระมัง” นางเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เห็นน้องชายดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ยังได้พระราชทานรางวัลของราชสำนักอีก พวกเราตระกูลฟางก็นับว่าหมดทุกข์หมดโศกความสุขมาเยือน น้องชายอายุไม่น้อยแล้ว พวกเราก็อายุไม่น้อยแล้ว นี่ต่อไปคนที่ควรแต่งงานก็คงแต่งงาน คนที่ควรแต่งให้ผู้อื่นก็แต่งให้ผู้อื่น วันนี้ในตระกูลมีน้องชาย พวกเราก็ไม่สะดวกพูดว่าจะรั้งอยู่ในบ้านรับลูกเขยแล้วเช่นกัน นี่หากแต่งให้คนอื่นไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นร้านแลกเงินจะนับเป็นสินเดิมเจ้าสาวหรือไม่เล่า?”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองนาง สีหน้าอึ้ง
“อวี้ซิ่ว เจ้าทำไมคิดเรื่องเหล่านี้?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสูดลมหายใจลึกคำหนึ่งแล้วเอ่ยถาม สีหน้าคล้ายจะสืบเสาะ “ใครสอนเจ้า?”
ไม่เช่นนั้น ทำไมอยู่ดีๆ หลานสาวดีๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้?
ฟางอวี้ซิ่วพิงกลับไปบนเก้าอี้
“ท่านย่า แน่นอนเป็นท่านสอนสิ” นางเอาพัดออกมาสะบัดเบาๆ “ตอนนั้นที่ท่านแย่งสมบัติตระกูลกับบ้านแม่ของท่าน กับบ้านท่านปู่ของข้าไม่ใช่เคยพูดไว้หรือ สตรีของตระกูลฟางเราไม่อาจใช้ความรู้สึกทำงานได้ พี่น้องแท้ๆ ก็ต้องทำบัญชีให้ชัด เรื่องเงินนี่ไม่มีนับญาติกัน”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเขียวคล้ำ ยื่นมือชี้ฟางอวี้ซิ่ว จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เสียงตึงทีหนึ่งนั่งกลับไปบนเก้าอี้ทั้งร่างสั่นเทา
“ท่านแม่” นายหญิงใหญ่ฟางโถมเข้าไป
นางหยวนด้านนอกประตูไม่กล้าฟังต่อแล้ว ร้องเรียกให้รีบเชิญหมอ ตนเองก็รีบร้อนพุ่งเข้ามา
หญิงรับใช้เบียดเต็มห้อง บ้างตะโกนบ้างร้องเรียก ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางพริบตาตกสู่ความชุลมุน
ฟางอวี้ซิ่วยังคงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้
“เจ้าเหี้ยมจริงๆ” ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดเผือดเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ฟางอวี้ซิ่วขานอืมตอบ
“สตรีตระกูลฟางของพวกเรา ต้องเหี้ยมสิ” นางเอ่ย “เหี้ยมกับตนเองถึงเหี้ยมกับผู้อื่นได้”
ฟางอวิ๋นซิ่วมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่ถูกรุมล้อมอยู่ ทนไม่ได้อีกต่อไปกระแทกเท้าก้าวไปข้างหน้า เดินไปได้หลายก้าวก็หันกลับมา มองสำรวจฟางอวี้ซิ่วอย่างวิตกกังวลอยู่บ้าง
“เจ้า เจ้าคงไม่ได้คิดเช่นนี้จริงๆ หรอกกระมัง?” นางลังเลเอ่ยถามเสียงเบา
ฟางอวี้ซิ่วยิ้ม ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง
……………………