ตอนที่ 224-1 เฉียวเวยรู้ความจริง

วั่งซูทำธุระเบาเสร็จกลับมาก็เห็นของบนพื้นที่ส่องประกายทองอร่าม ดวงตานางพลันเป็นประกาย หยิบขึ้นมาแล้ว เดินเข้าห้องเอาไปเก็บไว้ในกล่องสมบัติของตน

ก่อนหน้านี้หน้ากากทองคำถูกวั่งซูเก็บเอาไปเป็นของตนแล้ว เวลานี้กริชทองคำที่ใต้เท้าเจ้าสำนักควักออกมาก็กลายเป็นของส่วนตัวของวั่งซูไปอีก ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง!

ด้านนอกกำแพงเรือน อาต๋าเอ่อร์รออยู่อย่างเคร่งขรึม เพราะครั้งก่อนที่เจ้าสำนักเป่าขลุ่ยจนลูกน้องในสำนักได้รับบาดเจ็บสาหัสกันไปหลายคน ทำให้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรลูกน้องทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าสำนักอีก เพราะถึงอย่างไรการร่วมเป็นร่วมตายก็เป็นเพียงลมปาก ใครจะตั้งใจเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งจริงๆ

อาต๋าเอ่อร์ยืนเฝ้าอยู่นอกกำแพงเรือนเพียงลำพัง แล้วทันใดนั้นเงาดำเงาหนึ่งก็ปีนข้ามกำแพงออกมา พูดให้ชัดเจนก็คือลอยออกมาจากกำแพง รูปร่างของเขาดูประหลาดไปมากทีเดียว แทบจะแบนจนเหลือเพียงสามนิ้วเห็นจะได้ โครงหน้าที่เคยเป็นรูปไข่งดงามก็ดูคล้ายขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่ไปด้วย

อาต๋าเอ่อร์ “ท่านถูกประตูทับมาหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ซ้ำยังทำกริชที่แสนจะนำสมัยหล่นทิ้งไว้อีก คนตระกูลจีที่แสนน่ารังเกียจ เขาจะต้องกลับมาแน่!

ยามอิ๋น[1]สี่เค่อ จีหมิงซิวสะดุ้งตื่นเพราะจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา เขาจับหน้าอกที่คล้ายจะกระดอนออกมาเอาไว้ ตรงขมับมีเหงื่อซึม เขาดึงลิ้นชักตรงหัวเตียง หยิบขวดยา เทยาสองเม็ดออกมากินลงไป

เฉียวเวยลืมตาขึ้นช้าๆ หันไปมองสามีที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหอบหายใจหนัก “เป็นอะไรหรือ”

จีหมิงซิวหันไปมองนางแล้วหัวเราะเบาๆ “ไม่มีอะไร ข้าต้องไปประชุมเช้าแล้ว เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ”

เฉียวเวยยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อตรงขมับให้อีกฝ่าย “ท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

จีหมิงซิวตอบเสียงเบา “แค่ฝันร้ายน่ะ” พูดพลางจับมือของเฉียวเวยกลับลงในผ้าห่ม แล้วเหน็มมุมผ้าห่มให้นางอย่างดี “นอนเถอะ”

“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วหลับตาลง

จีหมิงซิวเลิกผ้าห่มลงจากเตียง พอล้างหน้าล้างตาสวมใส่เสื้อผ้าข้าราชการเรียบร้อย ก่อนไปเขาเปิดลิ้นชักหยิบเอาขวดยาติดตัวไปด้วย

เฉียวเวยลืมตามองลิ้นชักที่ถูกจีหมิงซิวดึงเปิดติดต่อกันสองครั้ง สีหน้าฉายแววครุ่นคิด

ขุนนางทูตจากหนานฉู่ใกล้จะเดินทางกลับแล้ว ทั้งในวังและกรมพิธีการล้วนยุ่งกันหัวหมุน โหราจารย์ได้เลือกช่วงเวลามงคล เตรียมจะน้อมส่งขุนนางทูตจากหนานฉู่กลับแคว้น

อาจเพราะเหน็ดเหนื่อยติดกันมาหลายวัน ฮ่องเต้อ่อนล้าสะสมจนล้มป่วยเป็นไข้หวัด จึงต้องพักประชุมเช้าเป็นเวลาสามวัน จีหมิงซิวเข้าวังไปเยี่ยมฮ่องเต้ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงควบม้าไปที่เรือนสี่ประสาน

อี้เชียนอินกับเฟิ่งชิงเกอมาถึงเรือนสี่ประสานกันแล้ว จะว่าไปก็เป็นความโชคดีของจีหมิงซิวที่ทั้งสองเผอิญมาทำธุระแถวเมืองหลวงพอดี พอได้รับจดหมายลับจากเยี่ยนเฟยเจวี๋ย จึงรีบวางมือจากงานแล้วควบม้ากลับมาโดยไม่มีหยุดพักทันที

“นายน้อย” ทั้องสองกำหมัดคารวะ

จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพาพวกเขาเข้าไปในห้องหนังสือ

อี้เชียนอินหลังจากใช้วิชาลับแปลงกายเป็นเฉียวเจิงก็โดนพลังสะท้อนกลับจนต้องปิดประตูครองสันโดษหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงนี้เพิ่งได้กลับมาสู่ยุทธภพอีกครั้ง จึงไม่รู้ว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เพียงรู้สึกประหลาดใจที่นายน้อยเรียกเขากับเฟิ่งชิงเกอกลับมาทั้งกลางดึก

เขาถามจีหมิงซิวด้วยความไม่เข้าใจว่า “นายน้อย ที่เรียกให้ข้ากับเฟิ่งชิงเกอรีบกลับมาเพราะมีภารกิจใดจะมอบหมายหรือไม่”

จีหมิงซิวตอบอื้อเรียบๆ “ค่อนข้างตึงมือ ถึงได้เรียกพวกเจ้ากลับมาทั้งสองคน”

เฟิ่งชิงเกอยิ้มโปรยเสน่ห์ รูปลักษณ์ที่ดูราวบุปผาหยกของนางคล้ายดอกชิวถังที่งดงามทำให้ทั้งห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันตา “นายน้อย ท่านไม่ได้เรียกข้ามานานแล้วนะ มีบุรุษคนใดต้องจัดการเก็บกวาดหรือ”

จีหมิงซิวบอกเรียบๆ ว่า “น่าจัดการอยู่หรอก แต่เกรงว่าเทพธิดาพราวเสน่ห์อย่างเจ้าคงจะจัดการไม่ไหว”

เฟิ่งชิงเกอโบกผ้าเช็ดหน้าที่หอมฟุ้งของนางพลางทำเสียงหึหึ “นอกจากนายน้อยแล้ว ในโลกนี้ไม่มีบุรุษคนใดที่ข้าชิงเกอจัดการไม่ได้”

จีหมิงซิวชะงักไป “จัดการเขาคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์”

เฟิ่งชิงเกอเลิกคิ้ว “นายน้อยท่านอยากจะสังหารล้างตระกูลหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลของคนผู้นั้นอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย จะสังหารล้างตระกูลได้อย่างไร”

อี้เชียนอิน “ฟังดูแล้วเหมือนนายน้อยจะเจอกับคนที่ตึงมือมากทีเดียว”

สายตาจีหมิงซิวหยุดมองที่เรือนร่างของเฟิ่งชิงเกอ

เฟิ่งชิงเกอรู้จักจีหมิงซิวมาหลายปี ตั้งแต่จีหมิงซิวยังเป็นเด็กน้อยอยู่ข้างกายตน แต่เขายังไม่เคยมองตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน เฟิ่งชิงเกอพลันรู้สึกสนุกขึ้นมา เล่นหูเล่นตาอย่างโปรยเสน่ห์เต็มที่ “นายน้อย ท่านมองข้าเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าในที่สุดก็หวั่นไหวกับข้าแล้ว ข้ารอท่านมานานหลายปี…”

จีหมิงซิวพยักหน้าอย่างนับว่าพอใจ

เฟิ่งชิงเกออึ้งงัน นายน้อยคงไม่ได้ถูกใจนางขึ้นมาจริงๆ กระมัง ล้อเล่นอะไรกันนี่ ช่วงนี้นางเพิ่งไปหลงหลวงจีนหนุ่มคนหนึ่ง นางรับปากหลวงจีนหนุ่มผู้นั้นไว้ว่าจะปรับตัวเสียใหม่แล้วรักเขาคนเดียว!

จีหมิงซิวกวักมือเรียกอี้เชียนอิน อี้เชียนอินเดินเข้าไป จีหมิงซิวสั่งการบางอย่างกับเขา อี้เชียนอินยิ้มอย่างเข้าใจ “ที่แท้ก็เช่นนี้อีก เชียนอินทราบแล้ว”

อี้เชียนอินเดินไปหาเฟิ่งชิงเกอ เฟิ่งชิงเกอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”

อี้เชียนอินยกตัวเฟิ่งชิงเกอขึ้นบ่า เฟิ่งชิงเกอร้องลั่น “นี่! อีตาบ้า! เจ้าจะทำอะไร สมองกลับไปแล้วหรือไร วางข้าลงนะ!

ตอนข้าเพลิดเพลินกับชีวิตอยู่ข้างนอก เจ้ายังกัดหัวแม่เท้าอยู่ในท้องแม่อยู่เลย! วางข้าลงเดี๋ยวนี้! วางข้าลง…”

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เฟิ่งชิงเกอกลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในสภาพเดินอีก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองอีกฝ่ายตาค้าง ลูกแพร์ที่กัดไปแล้วครึ่งลูกในมือถึงกับหล่นลงพื้น

เฟิ่งชิงเกอมองเขาด้วยความขุ่นเคือง “มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงแก่อย่างข้าปลอมตัวเป็นเด็กสาวหรือไร”

อี้เชียนอินเอ่ยเตือนว่า “เจ้าจะพูดจะจาอะไรให้สงบเสงี่ยมหน่อย อย่าออกท่าออกทางให้มากนัก เดี๋ยวหน้ากากหนังคนจะหลุดเสีย”

เฟิ่งชิงเกอลูบหน้าตนเอง นางไม่ชอบใส่หน้ากากหน้าคนอื่น มันรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายตัว แต่หน้ากากหนังคนอันนี้น่ามองเกินไปจริงๆ เลยคิดว่าต่อให้นางใส่ทั้งปีนางก็ยินดี

นางหันไปหว่านเสน่ห์ใส่จีหมิงซิว เอ่ยถามอย่างเขินอายว่า “นายน้อย ข้าสวยหรือไม่”

จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชม ตอบอย่างไม่มีหลบเลี่ยงว่า “สวย”

เฟิ่งชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัย นางจับใบหน้าใหม่ของตนพลางถามอย่างยากจะปกปิดความยินดีว่า “นี่เป็นใบหน้าของใครหรือ เหตุใดจึงงามเพียงนี้”

จีหมิงซิวบอกว่า “ยอดหญิงงามคนหนึ่ง”

เฟิ่งชิงเกออึ้งไปก่อนจะหน้าบึ้ง “คงไม่ใช่คนรักในฝันของท่านกระมัง ท่านให้ข้าแปลงโฉมเป็นคนรักในฝันท่านไปไยกัน! คงไม่ใช่เพราะทะเลาะกับนางแล้วนางไม่สนใจ ท่านเลยเอาข้ามาเป็นตัวแทนกระมัง! นายน้อยท่านทำเช่นนี้จะเกินไปหน่อยแล้วนะ! ข้า เฟิ่งชิงเกอแต่ไหนแต่ไรมายึดมั่นในเรื่องใจตรงกัน ให้ข้ามาเป็นตัวแทนเช่นนี้…”

จีหมิงซิวลุกขึ้น “ไปว่ากันต่อบนรถ”

เฟิ่งชิงเกอเม้มปาก ทั้งสี่คนเดินออกไปขึ้นรถม้า

ถนนชิงเชว่ย์เป็นหนึ่งในถนนเส้นสำคัญของเมืองหลวง ตั้งอยู่ทางใต้ของบ้านตระกูลจี หากออกจากประตูเรือนใหญ่ไปใจกลางเมือง ถนนชิงเชว่ย์เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่ต้องผ่าน

บุรุษในอาภรณ์ดำรออยู่ที่นี่เช่นเคย เขารออยู่นานแล้วยังไม่เห็นเฉียวเวยเดินออกมาจากจวนเสียที ขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้จะต้องรอเก้ออีกแล้วหรือไม่นั้น รถม้าตระกูลจีคันหนึ่งก็แล่นเอื่อยๆ ออกมาจากประตูใหญ่

ในรถม้ามีเสียงบุรุษสตรีพูดคุยกันดังลอดออกมา คล้ายเป็นเสียงของจีหมิงซิวกับเฉียวเวย

บุรุษในอาภรณ์ดำหรี่ตาลงดูอันตราย เขาแทรกตัวเข้าไปในตรอกด้านข้าง พอรถม้าเคลื่อนมาถึงปากตรอก เขาก็ทะยานขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไป

รถม้าหยุดลงตรงถนนฉางหลิว จีหมิงซิวเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งอยู่นอกรถม้า จับแส้ม้าเล่นอย่างเบื่อหน่าย

ไม่นานเฉียวเวยก็เลิกผ้าม่านออกมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวางเก้าอี้ให้นางเหยียบ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้านเครื่องแป้งด้านข้าง

ร้านเครื่องแป้งแห่งนั้นด้านหน้าด้านหลังทะลุถึงกัน หากออกไปทางประตูหลังจะไม่มีทางรบกวนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่บนรถม้า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงจะไม่น่ากลัว แต่นายน้อยตระกูลจีผู้นั้นนับว่าน่ารังเกียจอยู่บ้างจริงๆ

บุรุษในอาภรณ์ดำกระโดดลงจากหลังคามาที่ประตูหลัง ประตูหลังเชื่อมกับถนนอีกเส้นหนึ่ง แค่เพียงไม่คึกคักเท่าถนนฉางหลิวเท่านั้น

บุรุษในอาภรณ์ดำเดินเข้าไปในร้านเครื่องแป้ง ค่อยๆ คืบคลานไปหาเฉียวเวย

“อันนี้?” เฉียวเวยถามผู้ดูแลร้าน

ผู้ดูแลร้านตอบยิ้มๆ “แม่นางช่างตาดีนัก นี่เป็นสีผึ้งกุหลาบที่ร้านเราเพิ่งออกใหม่ พอทาลงบนใบหน้าแล้วจะช่วยรักษาผิวพรรณของท่านให้ดูคล้ายกับเด็กสิบขวบ! ราคาก็ไม่แพง หนึ่งขวดเพียงหกตำลึงเท่านั้น”

เฉียวเวยควักก้อนทองสองก้อนออกมาจากอกเสื้อ “ไม่ต้องทอน”

“ขอรับ ขอรับ! ขอบคุณฮูหยินที่ตกรางวัล! ข้าให้สีผึ้งบุปผาหิมะกับผงทาปากอีกอย่างละกล่องก็แล้วกัน!” ผู้ดูแลยิ้มกว้าง จัดการห่อของกองใหญ่แล้วส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยเอาใส่เข้าไปในถุงผ้าใบเล็ก นางหมุนตัวกำลังจะเดินออกไปทางประตูหน้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกคนคว้าข้อมือไว้

“เจ้าเป็นใคร…”

แต่กระนั้นอีกฝ่ายไม่รอให้นางพูดจบ บุรุษในอาภรณ์ดำดึงนางวิ่งออกไปทางประตูหลังทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เด็กในร้านยังตั้งตัวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะกระโดดเข้ามาในร้านถามว่าฮูหยินบ้านข้าไปอยู่ที่ไหนเสีย ผู้ดูแลร้านก็ทำได้เพียงชี้ไปทางประตูหลัง “เมื่อครู่มีบุรุษคนหนึ่งดึงตัวแม่นางคนนั้นไป แม่นางคนนั้นเป็นฮูหยินบ้านเจ้าหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวิ่งไปทางประตูหลังก็เห็นคนสองคนกำลังฉุดกระชากกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงขว้างดาวกระจายอันหนึ่งออกไปทันที!

บุรุษในชุดดำสะบัดแขนเสื้อปัดอาวุธลับออกไป

เฉียวเวยลอบถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย อาวุธลับมียาพิษ ไม่กลัวว่าจะทำข้าบาดเจ็บบ้างหรือ เจ้าจะดึงเขาออกไปก่อนแล้วค่อยใช้อาวุธลับไม่ได้หรือไร

บุรุษในอาภรณ์ดำจับเฉียวเวยไว้มั่น มือหนึ่งรับอาวุธลับของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้าไม่ใช่คู่ปรับของข้า”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ให้ตายสิ รู้จักชื่อลูกพี่อย่างข้าเสียด้วย! เจ้าเป็นลูกใครหลานใครกัน รีบบอกชื่อมาเดี๋ยวนี้! ข้าไม่อยากรังแกพวกกระจอกไร้นามหรอกนะ!”

“เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ชื่อข้า ดาวกระจายของเจ้า ข้าคืนให้” บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยด้วยความั่นใจจบก็โยนดาวกระจายกลับคืนไป

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหมุนตัว หยิบดาวกระจายห้าอันออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนใส่อีกฝ่ายอย่างดุดัน หนึ่งในนั้นชนอาวุธลับที่อีกฝ่ายขว้างออกมาจนตกไป อีกสี่อันที่เหลือพุ่งเข้าใส่บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นประหนึ่งธนูอาบยาพิษ

บุรุษในอาภรณ์ดำดวงตาพลันหดตัว ดึงเฉียวเวยให้หมุนตัวแล้วใช้แขนเสื้อกักอาวุธลับเหล่านั้นไว้ ในขณะที่เขาคิดจะเอาอาวุธลับทั้งหมดเขวี้ยงคืนกลับไปนั้น เงาสีเงินอันรวดเร็วเงาหนึ่งก็กระโดดลงมาจากฟ้า กระบี่ในมือคนผู้นั้นพุ่งตรงมาที่แขนของเขา

บุรุษในอาภรณ์ดำจนปัญญา ขว้างอาวุธลับทั้งหมดใส่อี้เชียนอินที่จู่ๆ ก็เข้ามาร่วมในวงต่อสู้ด้วย

อี้เชียนอินใช้มือเดียวสะบัดกระบี่จนเห็นเป็นหลายแฉกปัดป้องอาวุธลับให้วุ่นไปหมด

บุรุษในอาภรณ์ดำเมื่อเห็นกระบวนท่าอีกฝ่าย ดวงตาพลันหรี่ลง “กระบี่อู่เสีย? เจ้าเป็นคนจากสำนักมาร”

อี้เชียนอินยืนนิ่งอยู่ห่างจากอีกฝ่ายหกฉื่อ ปลายกระบี่ชี้ไปทางเขา สีหน้ายามพูดจาดูเย่อหยิ่ง “ยังนับว่าตาเจ้าพอมีแววอยู่บ้าง ปล่อยตัวฮูหยินน้อยของข้าเสียแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

บุรุษในอาภรณ์ดำหัวเราะเสียงต่ำ ยามเขาหัวเราะ ตรงมุมปากไม่เห็นว่าโค้งขึ้นเท่าไรนัก แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา “เจ้าสำนักน้อยอี้ ต่อให้บิดาเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้ากล่าวเช่นนี้กับข้าด้วยซ้ำ เจ้าปากเก่งพอตัวเชียวนะ”

อี้เชียนอินอึ้งไป ไอเจ้านี่รู้จักบิดาเขาด้วยหรือ

ไม่ใช่สิ เขายังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย อีกฝ่ายดูออกได้อย่างไรว่าเขาเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักมาร

บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าสำนักน้อยอี้มีไฝไข่มุกอยู่กลางหน้าผากมาตั้งแต่กำเนิด งดงามประหนึ่งสตรี วันนี้เมื่อได้พบ ช่างสมคำเล่าลือ”

อี้เชียนอินจับหน้าม้าที่ถูกลมพัดจนปลิวว่อน ในใจนึกโกรธ รูปลักษณ์ของอี้เชียนอินนับว่างดงามมีเสน่ห์ แต่ก็งดงามจนเกินไป ตอนเด็กๆ ถูกแม่นมเลี้ยงมาแบบเด็กหญิง ช่วงชีวิตนนั้นนับเป็นมุมมืดที่ติดตัวอี้เชียนอินไปชั่วชีวิต อี้เชียนอินเกลียดการที่คนอื่นพูดถึงรูปลักษณ์ของตนจึงแสร้งทำเป็นฟังไม่ได้ยิน พูดต่อจากที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ “บิดาข้าก็คือบิดาข้า ข้าคือข้า อย่าเอาบิดาข้ามาข่มขู่เสียให้ยากเลย!”

บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยประชด “ไว้รอวันใดเจ้ามีวิชาแก่กล้าได้สักครึ่งหนึ่งของบิดาเจ้าแล้วค่อยมาโอ้อวดต่อหน้าข้าก็แล้วกัน ข้ากับบิดาเจ้าเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง เห็นแก่เขา ครานี้ข้าจะไม่ถือสาก็แล้วกัน”

อี้เชียนอินกำกระบี่ในมือแน่น “เจ้าช่างใจกว้างจริงนะ แต่ขอโทษด้วย เจ้าจับตัวฮูหยินน้อยของข้าไป ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่!”

บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยล้อเลียนว่า “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย เจ้าน่าจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ปรับของข้าแต่แรกด้วยซ้ำ”

“หากรวมข้าเข้าไปด้วยเล่า” จีหมิงซิวเดินออกมาจากประตูหลังของร้านเครื่องแป้ง

สายตาของบุรุษในอาภรณ์ดำหยุดมองที่มืออันว่างเปล่าของจีหมิงซิว เขาหัวเราะหึหึ “เข้ามามือเปล่า เจ้ารับกระบวนท่าข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ใครบอกว่าเขาจะรับกระบวนท่าเจ้าเล่า” เฉียวเวยระบายยิ้ม หมุนมีดสั้นบนฝ่ามือแล้วจ่อเข้าที่ลำคออีกฝ่าย “ตาเฒ่าเอ๋ย เจ้ายังระวังข้าไม่พอนะ!”

บุรุษในอาภรณ์ดำกวาดมองใบหน้าทุกคนรอบหนึ่ง หากยังมองไม่ออกอีกว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงจะเกินไปหน่อยแล้ว “พวกเจ้าเล่นตุกติก”

จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “ทหารไม่คร้านใช้เล่ห์กล”

[1] ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 3.00-5.00 น.