บทที่ 674 เจียวเจียวจอมอันธพาล (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 674 เจียวเจียวจอมอันธพาล (1)

คนธรรมดาไม่มีทางจินตนาการได้แน่ว่าระดับพลังกายของนักบวชนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งๆ ที่ถูกแรงโจมตีจนกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับเสาแล้วร่วงลงมา นึกไม่ถึงว่าจะไม่ช้ำในใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังสามารถโต้ลูกคลีต่อได้อีก

เมื่อเสียงฆ้องดังขึ้น นักบวชยังคงเป็นนักบวชเหล่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนทั้งสนามแข่งจึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป

บัณฑิตของสำนักบัณฑิตอู่ถงคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น เกาศีรษะอย่างฉงน “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าฟ้าจะเปลี่ยนกันนะ”

“ไม่หรอกกระมัง ตะวันโด่งเสียขนาดนี้” สหายแหงนมองฟ้า พลางลูบขนแขนที่ลุกชูชันขึ้นมา “แต่ก็เหมือนจะแปลกๆ อยู่นะ”

บนอัฒจันทร์ของสำนักบัณฑิตเทียนฉง ซูเสวี่ยเชิดหน้าขึ้นเอ่ยกับพี่สาวคนรองของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ข้าบอกแล้วว่าลิ่วหลังเก่งมาก!”

คุณหนูรองซูปรายตามองน้องสาว “เจ้ามาดูพี่สี่หรือว่ามาดูเซียวลิ่วหลังนั่นกันแน่ ได้ยินแต่เจ้าเอาแต่พูดถึงเซียวลิ่วหลัง ไม่เห็นจะพูดถึงพี่สี่สักคำ”

“ขะ…ข้าก็ดูหมดนั่นแหละ!” ซูเสวี่ยหน้าแดงมองเด็กหนุ่มองอาจห้าวหาญในสนามตีคลี “เขาตีจนนักบวชเส้าหลินพลาดท่าเชียวนะ”

คุณหนูรองซูเอ่ย “เหตุใดพี่สี่ตีเข้าไม่เห็นเจ้าจะพูดบ้างเลย”

ซูเสวี่ยเบ้ปาก “ข้าพูดแล้ว! เจ้าไม่ได้ยินเองต่างหาก!”

คุณหนูรองซูคิดในใจ นั่นสิ ข้ามันหูหนวกกระมัง

คุณหนูรองซูถูกบังคับให้มาด้วย นางไม่ได้สนใจการตีคลีเท่าใดนัก แต่ดูอยู่สักพักกลับรู้สึกว่าไม่เลว เด็กหนุ่มที่มีนามว่าเซียวลิ่วหลังคนนั้นรูปร่างหน้าตา ไม่ดึงดูด แต่จิตวิญญาณที่กล้าหาญที่ทำให้ผู้คนเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาได้

ก็ไม่แปลกใจที่น้องสาวจะเอาแต่จ้องเขา

ฝั่งตรงข้ามอัฒจันทร์ของสำนักบัณฑิตเทียนฉง ใต้เท้ารองจิ่งหัวเราะชอบใจเสียงดัง “ใช่ ใช่ ใช่ ตีอย่างนี้ล่ะ!”

ปลายนิ้วท่านกั๋วกงเคาะบนที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างไม่เป็นจังหวะนัก ท่าทางก็ดีอกดีใจอย่างมากเช่นกัน

มีเพียงมู่หรูซินที่สีหน้าบึ้งตึง นางไม่ชอบเซียวลิ่วหลัง จึงอยากให้เขาแพ้ “ไหนว่านักบวชเส้าหลินเก่งกาจมากมิใช่หรือ เขาโกงใช่หรือไม่”

ใต้เท้ารองไม่ชอบใจถ้อยคำดังกล่าวนัก

เซียวลิ่วหลังโกงหรือไม่เขาจะไม่รู้หรือไร อีกอย่าง อาจารย์ที่เป็นกรรมการเองก็เป็นยอดฝีมือกำลังภายใน เซียวลิ่วหลังกล้าทำผิดกฎจริง คงโดนกรรมการตัดสินให้ออกจากสนามไปนานแล้ว

มู่หรูซินผู้นี้เป็นคนเช่นไรกัน

พี่ใหญ่คิดอย่างไรจึงได้รับเด็กสาวนางนี้มาเป็นลูกบุญธรรม

นึกถึงลายมือที่พี่ใหญ่เขียนไว้บนตู้บนหัวเตียงเมื่อครานั้น เป็นครั้งแรกที่ใต้เท้ารองจิ่งรู้สึกว่าสมองพี่ใหญ่ฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ

โหยหาใครไม่โหยหา ดันมาโหยหามู่หรูซิน

ใต้เท้ารองจิ่งไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองเข้าใจเจตนาของพี่ใหญ่ผิดไป ที่ว่ากันว่าไม่ได้ออกจากท้องมารดาเดียวกัน จึงไม่มีจิตสื่อถึงกันนั้น ดูท่าจะเป็นความจริง

ในสนามตีคลี กู้เจียวแย่งลูกมาได้อีกครั้ง นักบวชเส้าหลินควบม้าหมายจะแย่ง กู้เจียวมุมปากหยักยก ออกแรงตีลูกออกไปอีกหน

นักบวชเส้าหลินแค่นเสียงดูถูก ราวกับนึกไว้แล้วว่านางจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเก็บไม้ตีกลับไป

มู่ชวนที่กำลังดูการแข่งขันอยู่กุมแขนร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “แม่เจ้าโว้ย!”

เจ้าพระขี้โกงหน้าเหม็น!

นึกไม่ถึงว่าจะหลอกให้ลิ่วหลังตีไปทางพวกเขา จบเห่แล้ว พวกเขาหลบกันแล้ว ลูกของลิ่วหลังจะออกจากเขตแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเขาได้เป็นฝ่ายเปิดลูกแน่!

เมื่อเห็นว่าลูกจะออกจากเขต มู่ชิงเฉินก็เร่งความเร็วขึ้นทันควัน ยื่นไม้ตีออกไปตีลูกเบาๆ ลูกพลันลอยกลับเข้าสนามอีกหน

มู่ชิงเฉินชาร้าวไปทั้งแขน เรี่ยวแรงของเจ้านี่ล้นเหลือเกินไปแล้ว เมื่อครู่เขาไม่ได้ฝืนจับ หากรับไว้เต็มแรงเกรงว่าได้กระเด็นลอยไปเหมือนพระที่มีรอยแผลหกวงแหวนรูปนั้นแน่

กู้เจียวหรี่ตาลง อ้อ พระเจ้าเล่ห์นี่นา

แววตานางพลันเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ

นักบวชเส้าหลินที่แย่งลูกมาได้ เลี้ยงลูกไปทางประตูของสำนักบัณฑิตเทียนฉง

เขาเร่งความเร็วถึงขีดสุด

ทว่าวิ่งไปวิ่งมา จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำทาบทับ

พอเขาหันไปมอง กู้เจียวก็ส่งยิ้มบางให้

เขาขมวดคิ้ว ลอบคิดในใจว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ลูกอยู่ทางขวามือเขา ไอ้หนุ่มนี้อยู่ทางซ้ายมือ มันแย่งไปไม่ได้หรอก!

ครู่ต่อมา กู้เจียวก็หายวับไปแล้ว!

นักบวชเส้าหลิน “…”

กู้เจียวใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวอานม้าไว้ ห้อยหัวลงมาทั้งตัว แล้วตีลูกจากล่างม้าของนักบวชเส้าหลินจนกระเด็นออกไป!

นักบวชเส้าหลินพลันตกตะลึง!

รวดเร็วเพียงนี้เชียวรึ

เจ้าเป็นผีหรือไร!

ลูกคลีถูกจ้าวเวยรับไว้ได้ จ้าวเวยส่งต่อให้หยวนเซี่ยว หยวนเซี่ยวส่งไปให้มู่ชิงเฉิน

มือโจมตีของสำนักบัณฑิตเทียนฉงคือมู่ชิงเฉิน โดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนตีเข้าประตู แต่กู้เจียวขี่ม้าพลางมองเขาไปด้วย มู่ชิงเฉินจึงชะงัก ส่งต่อลูกให้กู้เจียวแทน

กู้เจียวเลี้ยงลูกมาถึงหน้าประตูของฝั่งตรงข้าม

นี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันตรงๆ ได้ นักบวชสำนักเส้าหลินมาขวางป้องกันตรงหน้ากู้เจียว

เอวอ่อนของกู้เจียวเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม นางยกไม้ในมือขึ้นตีลูกไปทางประตูอย่างแรง!

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นลูกหมุน เสียงแรงเหวี่ยงดังขึ้นยามลูกหมุน นักบวชเส้าหลินตวาดลั่น พร้อมกับแกว่งไม้ไปขวาง!

ปึ้ง!

นักบวชสำนักเส้าหลินกระเด็นลิ่ว!

“ซี๊ดดด” มู่ชวนสูดปาก

กู้เจียวมองนักบวชเส้าหลินยืนเป็นแถวอยู่ตรงหน้า “คนต่อไปใครจะเข้ามา”

พวกเขาพากันหันมามองอีกฝ่าย

กู้เจียวหยักยกมุมปาก ตีลูกไปอีกหน

ปัง!

นักบวชเส้าหลินกระเด็นไปอีกคนแล้ว

นี่มันไม่เหมือนการแย่งลูกระหว่างทางสักนิด พวกเขาสามารถคิดหาวิธีหลอกล่อให้กู้เจียวทำผิดกติกา แต่ที่นี่ ขอแค่พวกเขากล้าหลบ กู้เจียวก็จะตีเข้าประตูทันที

ทุกครั้งที่มีนักบวชตกจากหลังม้า กรรมการก็จะเรียกให้หยุดหนึ่งครั้ง เมื่อนักบวชกลับขึ้นบนหลังม้าก็จะเล่นต่อ

ที่ต้องเอ่ยถึงก็คือ ตราบใดที่ผู้เข้าแข่งขันไม่ทำผิดกติกา การแข่งขันหยุดตรงไหน ก็จะเริ่มต่อที่ตรงนั้น

อีกนัยหนึ่งก็คือ กู้เจียวไม่ต้องเปลี่ยนที่เลยแม้แต่น้อย ก็สามารถเปลี่ยนกระสอบทรายไปได้เรื่อยๆ … เอ่อ… ไม่ใช่ ตีคลีไปเรื่อยๆ ได้

ตอนการแข่งขัน พวกนักบวชเส้าหลินผลัดกันกระเด็นลอยออกไปเรื่อยๆ มู่ชวนหัวเราะยกใหญ่ระบายความแค้น

ใครให้พวกเจ้าทำร้ายข้ากันล่ะ ยามนี้ลมเปลี่ยนทิศแล้วกระมัง!

พวกนักบวชเส้าหลินถูก ‘อัด’ จนไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็คิดหาทางออกได้ ในขณะที่พวกเขาถูกตีกระเด็นลอยไปก็ใช้ไม้เกี่ยวลูกออกไป แบบนี้ก็จะสามารถตัดสินว่าออกจากเขตได้

แม้ว่าการออกจากเขตของพวกเขาจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายเปิดลูก แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนเตะต่อยอยู่หน้าประตูแบบนี้

ไหนเลยจะรู้เมื่อลูกกระเด็นออกไปทุกครั้ง มู่ชิงเฉินก็สามารถเกี่ยวกลับคืนมาได้ตลอด จากนั้นก็มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับกำลังบอกว่า มาให้ข้าอัดต่อเสียแต่โดยดี

นักบวชเส้าหลิน “…”

“ไม่ตีแล้ว ไม่ตีแล้ว…” นักบวชเส้าหลินคนหนึ่งที่โดนตีกระเด็นไปอีกรอบ ทิ้งตัวนั่งลงร้องไห้ทันที