บทที่ 675 คลุมกระสอบ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 675 คลุมกระสอบ

เซียวเหิงกุมหน้าผากอย่างจนใจ

หญิงผู้นี้นี่…

จะไม่ให้นางไปก็ไม่ได้ ต่อหน้ากันนางตกปากรับคำดิบดี พริบตาเดียวก็แอบเผ่นไปแล้ว

อย่าเห็นแต่ว่ากู้เจียวอยู่ที่บ้านจะเป็นคนที่พูดรู้ฟังเรื่องที่สุดเชียว นั่นเพราะว่านางใจกว้างละมุนละม่อมให้กับคนในครอบครัวมากกว่า ส่วนกับคนนอกเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งเลย

หันซื่อจื่อส่งนักบวชเส้าหลินมาทำร้ายนักกีฬาตีคลีของสำนักบัณฑิตเทียนฉงทั้งสนาม หากนางข่มโทสะนี้ไว้ได้คงไม่ใช่กู้เจียวแล้วล่ะ

นางเป็นหมาป่าเด็กที่เจอเสือร้ายโตเต็มวัย ต่อให้เอาชนะไม่ได้อย่างน้อยก็จะกัดให้พอได้เนื้อติดปากมา

นี่เป็นนิสัยฝังลึกถึงกระดูกของนาง

และไม่ต้องบอกว่าอย่าปะทะกับตระกูลหันเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้ของตระกูลหันเชียว ตั้งแต่ที่หันเช่ออยากจะได้ราชาม้า ทั้งคู่ก็ผูกใจแค้นกันอย่างเป็นทางการแล้ว

คนแคว้นระดับล่างไม่มีสิทธิ์พูดอะไรในแคว้นระดับบนหรอก คนตระกูลหันถูกใจสิ่งใด แย่งชิงมาก็ได้แล้ว

แต่กู้เจียวไม่มีทางเป็นแกะน้อยให้ใครมาฆ่าได้อยู่แล้ว

ไม่มีใครฆ่านางได้

นางไม่อนุญาต เซียวเหิงก็ไม่อนุญาต

“คาบเช้าพอเท่านี้”

ภายในชั้นเด็กอัจฉริยะของสำนักบัณฑิตหลิงโป อาจารย์หลี่ว์สอนกลอนบทสุดท้ายจบก็ให้เลิกเรียนได้

เพราะมีแต่เด็กๆ ส่วนใหญ่จึงมีผู้ใหญ่มารับ

เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กเล็กที่สุดในชั้น แต่ก็เป็นเด็กที่เหมือนผู้ใหญ่ที่สุดเช่นกัน เด็กคนอื่นๆ ต่างแย่งกันวิ่งออกไปก่อน มีแค่เขาที่ยังนั่งอยู่กับที่ เก็บข้าวของเข้ากระเป๋าหนังสืออย่างสุขุม

อันที่จริงการเก็บข้าวของของเขานั้นคือการยัดตำราเรียนเข้าไปโดยไร้ระเบียบแบบแผน กลับไปแล้วเซียวเหิงมักจะต้องจัดให้เขาให้เรียบร้อยอีกที

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เสี่ยวจิ้งคงก็ยังเก็บของช้าอยู่ดี ช้าเสียยิ่งกว่าเต่าอีก

กฎระเบียบของชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะนั้น บัณฑิตออกจากห้องหมดแล้วอาจารย์ถึงจะออกห้องได้

อย่างไรเสียก็มีแต่เด็กเล็ก กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

อาจารย์หลี่ว์นั่งอยู่บนแท่นบรรยาย มองเจ้าเด็กน้อยเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเชื่องช้า ปัญญาชนสำนักขงจื๊อผู้สูงส่งร้อนจนมือเท้าสั่นไปหมดแล้ว

เขาไม่ได้หิว และไม่มีธุระด่วนอะไร ล้วนแต่เพราะการเคลื่อนไหวอืดอาดของเด็กคนนั้นที่เขาเห็นแล้วคันใจยุบยิบ

วะ…ไวกว่านี้ไม่ได้เลยรึ

รอต่ออีกครู่หนึ่ง อาจารย์หลี่ว์ก็สงสัยหนักว่าระยะเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไปแล้ว เด็กคนนี้ยังเก็บของได้ไม่ถึงครึ่งเลย

อาจารย์หลี่ว์ทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว เขาเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “จิ้งคงเอ๋ย อาจารย์ช่วยเจ้าเก็บดีกว่า”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่ได้ขอรับ งานของตัวเองตัวเองก็ต้องทำเอง ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย”

อาจารย์หลี่ว์จะบ้าตายอยู่แล้ว เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วใครมันใช่ล่ะ ทั้งชั้นก็มีแค่เจ้านี่ล่ะที่เด็กที่สุดเลย ข้าเป็นอาจารย์มายี่สิบปี เป็นครั้งแรกที่รับบัณฑิตอายุน้อยถึงเพียงนี้!

อาจารย์หลี่ว์ยืดขาทั้งสองข้างเปลี่ยนท่านั่ง

เสี่ยวจิ้งคงเก็บข้าวของต่ออย่างเนิบช้า

อาจารย์หลี่ว์เปลี่ยนที่นั่งใหม่อีกหน

เสี่ยวจิ้งคงยังคงเก็บของอยู่

อาจารย์หลี่ว์ความดันจะขึ้นอยู่แล้ว

ในที่สุด เสี่ยวจิ้งคงก็เก็บของเสร็จ

อาจารย์หลี่ว์พรูลมหายใจโล่งอก ขอบคุณฟ้าดิน…

พรวด

เสี่ยวจิ้งคงเทตำราออกมาจากในกระเป๋าอีกหน “ข้าหาของไม่เจอ”

อาจารย์หลี่ว์มองตำรากองพะเนินเทินทึกเป็นภูเขาเลากาบนโต๊ะ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว กลอกตาหงายท้องล้มตึงลงไปเลย!

เสี่ยวจิ้งคงถูกอาจารย์เฉิงพาออกไป

อาจารย์เฉิงจูงมือเสี่ยวจิ้งคงออกจากห้องเรียน เอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคงด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส “วันนี้ตอนเที่ยงข้าจะพาเจ้าไปกินข้าวนะ”

อาจารย์เฉิงเป็นอาจารย์ของสำนักบัณฑิตหลิงโป มีฝีมือยอดเยี่ยมด้านการเขียนอักษร เซียวเหิงจึงเชิญเขาให้มาสอนเสี่ยวจิ้งคงฝึกคัดลายมือ

เสี่ยวจิ้งคงได้ที่หนึ่งทุกวิชา มีเพียงวิชาคัดลายมืออย่างเดียวที่เขียนเสียเหมือนขุนพลพ่ายศึก จุดนี้ได้กู้เจียวมาเต็มๆ เลยทีเดียว

“ขอรับ” เสี่ยวจิ้งคงปฏิกิริยาเรียบนิ่งมาก

อาจารย์เฉิง “…”

เหตุใดจึงรู้สึกว่าวันนี้เด็กคนนี้ค่อนข้างไร้ชีวิตชีวากันหนอ

การแข่งขันตีคลีสิ้นสุดลงแล้ว เขายังไม่ทันได้เจอเจียวเจียวก็ต้องกลับแล้ว จิตใจดวงน้อยของเขาก็จากไปตามเจียวเจียวเช่นกัน ยามนี้เขาเป็นเสี่ยวจิ้งคงที่ไร้ชีวิตจิตใจ

ท่านชายใหญ่ตระกูลหัน หรือที่เรียกกันว่าหันซื่อจื่อกำลังออกจากอาคารไปยังหน้าสำนักบัณฑิตพร้อมกับหมิงจวิ้นอ๋อง รถม้าของหมิงจวิ้นอ๋องกับม้าของหันซื่อจื่อต่างมารออยู่ด้านนอกแล้ว

“ข้าส่งเจ้ากลับจวนก่อนดีกว่า” หันซื่อจื่อเอ่ย

“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านพี่ยิ่งนัก” หมิงจวิ้นอ๋องยิ้มแย้มเอ่ยบอก

หันซื่อจื่อพลิกตัวขึ้นหลังม้าคุ้มกันส่งหมิงจวิ้นอ๋องกลับไปยังจวนรัชทายาท

หมิงจวิ้นอ๋องเลิกม่านหน้าต่างรถขึ้นเอ่ยกับหันซื่อจื่อ “ท่านพี่”

หันซื่อจื่อมองสภาพถนนเบื้องหน้า ก่อนหันมามองเขา “มีอะไรรึ”

หมิงจวิ้นอ๋องเอ่ย “เมื่อครู่ยังคุยกันไม่จบเลย เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าฝ่าบาทไม่ถือวันประสูติอีกต่อไป”

หันซื่อจื่อมองไปเบื้องหน้า แววตาลุ่มลึกเอ่ย “หากไม่ทรงอภัยให้องค์หญิงแล้ว ก็คงตัดสัมพันธ์กับองค์หญิงอย่างสิ้นเชิงไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ยามนี้ น่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า”

หมิงจวิ้นอ๋องพึมพำ “แล้วเหตุใดเสด็จปู่จึงยังไม่ถอดถอนพระนัดดาองค์โตอีก”

ตอนแรกกษัตริย์ปลดองค์หญิงเป็นสามัญชน เนรเทศไปยังสุสานกษัตริย์ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบถึงพระนัดดาองค์โต แต่ใครจะคิดว่าพระนัดดาองค์โตจะรั้นติดตามมารดาแท้ๆ ตัวเองไปด้วย

ยามนั้นฮ่องเต้ถึงกับตรัสขึ้นว่า “หากเจ้ากล้าไป เราจะคิดเสียว่าไม่มีหลานชายอย่างเจ้า!”

พระนัดดาจากไป

ว่ากันว่านี่เป็นการตัดสัมพันธ์กันกับกษัตริย์อย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังจากวันนั้นเป็นต้นมากษัตริย์ก็ไม่ตรัสถึงพระนัดดาองค์โตอีกเลย ด้วยเหตุนี้คนไม่น้อยจึงคิดว่ากษัตริย์ตัดขาดกับพระนัดดาคนนี้แล้ว

ทว่ากษัตริย์ก็ไม่ได้มีราชโองการปลดพระนัดดาองค์โตให้เป็นสามัญชน แล้วเขายังคงเป็นพระนัดดาอยู่หรือไม่ล่ะ

ไม่มีใครกล้าทูลถามกษัตริย์ และไม่มีใครกล้าคาดเดาพระทัยของพระองค์ ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งพระนัดดาองค์โตเป็นคำเรียกที่อัปมงคล ไท่จื่อจึงออกคำสั่งให้คนใต้บังคับบัญชา ปิดปากเงียบไปเสีย ไม่ให้พวกเขาเรียกหมิงจวิ้นอ๋องว่าพระนัดดา

หมิงจวิ้นอ๋องแค่นเสียงเอ่ย “ข้าเกิดมาก็เป็นพระนัดดาองค์โตแท้ๆ องค์หญิงดันพาเด็กคนหนึ่งมาจากข้างนอก บอกว่าโตกว่าข้าครึ่งเดือน แย่งฐานันดรพระนัดดาองค์โตของข้าไปหน้าด้านๆ !”

แม้แต่ในฝันเขาก็ยังอยากถูกเรียกว่าพระนัดดาองค์โตอย่างสง่าผ่าเผย

หันซื่อจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องของเขาแล้ว คำสั่งปากเปล่าก็เป็นราชโองการกษัตริย์อยู่ดี ฝ่าบาทตรัสว่าตัดขาดกับเขา เช่นนั้นก็ไม่มีทางนับญาติกับเขาอีก เจ้าต่างหากที่เป็นพระนัดดาองค์โตของต้าเยี่ยน ทั่วทั้งตระกูลหันล้วนเป็นโล่ให้เจ้า”

ถูกต้อง ทั่วทั้งตระกูลหันล้วนเป็นโล่ให้เขา มารหัวขนที่ไม่รู้ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดเป็นใครจะคู่ควรมาแก่งแย่งกับเขาได้อย่างไร

นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หมิงจวิ้นอ๋องจึงถามด้วยสีหน้ามีลับลมคมใน “ท่านพี่ว่าข่าวลือพวกนั้นจริงหรือไม่”

หันซื่อจื่อมองเขาแวบหนึ่งพลางเอ่ย “ข่าวลืออะไรรึ”

หมิงจวิ้นอ๋องทำมือสั่งองครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามมา องครักษ์เสื้อแพรเข้ามาล้อมรถม้าไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้

หมิงจวิ้นอ๋องจึงได้กระซิบเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นลูกที่องค์หญิงอุ้มกลับมาจากข้างนอก ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์หญิงด้วยซ้ำ”

หากข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริง ไอ้นั่นก็ไร้วาสนากับตำแหน่งพระนัดดาองค์โตอย่างสิ้นเชิงเลย

หันซื่อจื่อขมวดคิ้วคมเล็กน้อย เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คำพูดพวกนี้ทางที่ดีจวิ้นอ๋องอย่าได้พูดไปทั่วดีกว่า เรื่องเกี่ยวข้องกับเกียรติของราชวงศ์ หากฮ่องเต้ลงโทษขึ้นมา จวิ้นอ๋องคงรับไม่ไหว”

นึกถึงฮ่องเต้คุ้มดีคุ้มร้าย ลงมือโหดเหี้ยมแล้ว หมิงจวิ้นอ๋องก็ขนหัวลุก

หันซื่อจื่อริมฝีปากเม้มแน่น ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด พรสวรรค์ในด้านการเรียนก็สูง เสียอย่างเดียวถูกเลี้ยงตามใจเกินไป นิสัยจึงไม่สุขุมมากพอ

“หมู่นี้การเรียนของจวิ้นอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม

หมิงจวิ้นอ๋องเอ่ย “ก็ดี ราชครูเพิ่งจะชมข้าว่าข้าเขียนเรียงความดี แต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดข้าที่มีความสามารถเพียงนี้ เสด็จพ่อกลับไม่อนุญาตให้ข้าแสดงฝีมือต่อหน้าพระพักตร์เสด็จปู่เล่า”

นี่เป็นนิสัยประหลาดของฮ่องเต้ พระองค์ไม่ชอบคนที่ฉลาดเกินไป

หันซือจื่อเอ่ยเพียง “ในเมื่อองค์ไท่จื่อกำชับเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงมีเหตุผลของพระองค์อยู่ จวิ้นอ๋องทำตามก็พอ”

อันที่จริงโอรสของไท่จื่อไม่ได้มีแค่หมิงจวิ้นอ๋องคนเดียว แต่สายตรงมีแค่เขา กอปรกับพระชายาก็เป็นคนตระกูลหัน ดังนั้นคนตระกูลหันจึงให้ความสำคัญกับหมิงจวิ้นอ๋องมาก ไม่อยากให้หมิงจวิ้นอ๋องมีช่วงใดที่ก้าวพลาดเลย

หมิงจวิ้นอ๋องทอดถอนใจ หันซื่อจื่อพูดจามักจะไม่มีช่องโหว่มาแต่ไหนแต่ไร เขาอยากหลอกถามข้อมูลไม่เคยได้

หมิงจวิ้นอ๋องไม่อยากเอ่ยอะไรแล้ว กำลังจะปล่อยม่านลง จู่ๆ ริมถนนกลับมีเงาสตรีคุ้นตานางหนึ่งปรากฏขึ้น

เขาจำอีกฝ่ายได้เพียงมองแค่ปราดเดียวว่าเป็นสาวใช้ที่เขาส่งให้ไปดูแลรับใช้คุณหนูกู้บนอัฒจันทร์ สาวใช้มองเขาคล้ายมีเรื่องจะทูล

เรื่องที่เขาตามเกี้ยวบัณฑิตหญิงสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันอยู่จะให้ท่านพี่ทราบไม่ได้ หากท่านไปทูลเสด็จพ่อ แบบนั้นเขาได้จบเห่แน่

เขากระแอมขึ้นเบาๆ เอ่ยกับหันซื่อจื่อ “ท่านพี่ ข้า…อยากไปห้องน้ำเดี๋ยว”

หันซื่อจื่อพยักหน้า

หมิงจวิ้นอ๋องให้คนจอดรถม้า แล้วสาวเท้าไปยังโรงน้ำชาที่สาวใช้เพิ่งจะเข้าไป

เมื่อแน่ใจว่าหันซื่อจื่อไม่เห็นเขาแล้ว เขาจึงเรียกสาวใช้มาเบื้องหน้า “จู่ๆ มาหาข้า คุณหนูกู้เป็นอะไรไปรึ”

สาวใช้ทูลอย่างนอบน้อม “คุณหนูกู้บอกว่านางอยากพบท่านเพคะ”

หมิงจวิ้นอ๋องดวงตาเป็นประกาย “พูดจริงรึ”

สาวใช้ยิ้มเอ่ย “จริงแท้แน่นอนเพคะ เดิมทีพอเลิกแล้ว คุณหนูก็จะกลับเลย แต่จู่ๆ นางก็กลับมา บอกว่าขอบคุณจวิ้นอ๋องที่จองสนามให้นาง นางวาดภาพมาภาพหนึ่งอยากจะมอบให้จวิ้นอ๋องกับมือเอง”

หมิงจวิ้นอ๋องยิ้มด้วยความดีใจ “ในที่สุดนางก็ยอมเจอข้าแล้ว! ซ้ำยังจะให้ของขอบคุณข้าด้วย! ดูท่าข้าเปิดเผยตัวตนนั้นคงถูกต้องแล้ว”

สาวใช้เอ่ย “ท่านเป็นถึงโอรสสายตรงของไท่จื่อ พระนัดดาองค์โตแห่งต้าเยี่ยน นางเป็นแค่ชาวแคว้นระดับล่างคนหนึ่ง จะกล้าปฏิเสธท่านได้อย่างไร”

หมิงจวิ้นอ๋องแววตาทะมึน “ห้ามดูถูกนางเช่นนี้!”

สาวใช้รีบก้มหน้าลง “บ่าวพลั้งปากไปเพคะ”

หมิงจวิ้นอ๋องสองมือไพล่หลัง ทอดมองผู้คนพลุกพล่านไม่ขาดสาย ก่อนยิ้มอย่างเอาแต่ใจ “ขอแค่นางอ่อนโอนกับข้า ข้าจะให้สถานะคนแคว้นระดับบนแก่นางยังได้เลย หอเย่ว์ปินใช่หรือไม่”

สาวใช้ลังเลครู่หนึ่ง เตือนให้ระวัง “จวิ้นอ๋อง หันซื่อจื่ออยู่ข้างนอก ท่านไปพบคุณหนูกู้เช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมังเจ้าคะ”

จริงอยู่ที่ทางท่านพี่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่หมิงจวิ้นอ๋องตามเกี้ยวคนงามมาตั้งนานแล้ว แม้แต่จะชายตาแล คนงามยังไม่มองเขาเลย เขากลัวว่าพลาดวันนี้ไป คราหน้าคนงามก็จะไม่สนใจเขาแล้ว

ในขณะที่กำลังลังเล สุดท้ายเขาก็จำต้องไปโกหกหันซื่อจื่อ

“ท่านพี่ ข้าเจอสหายที่โรงน้ำชาน่ะ ท่านพี่ไม่ต้องไปส่งข้าแล้วล่ะ เดี๋ยวข้ากลับจวนเอง”

เอ่ยจบเขาก็ข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ พยายามทำให้ตัวเองดูสงบนิ่งและราบเรียบ

หันซื่อจื่อคล้ายมองพิรุธใดๆ ไม่ออก พยักหน้าให้ “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”

หมิงจวิ้นอ๋องแย้มยิ้ม “อยู่แล้ว มีองครักษ์เสื้อแพรมากมายเพียงนี้!”

หลังจากหันซื่อจื่อจากไป หมิงจวิ้นอ๋องก็อดรนทนไม่ไหวไปยังหอเย่ว์ปินที่อยู่ใกล้ๆ นี้

เซียวเหิงรออยู่ในห้องปีกข้างชั้นสองติดถนน

หมิงจวิ้นอ๋องเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา องครักษ์เสื้อแพรหกนายเฝ้าหน้าประตูอย่างระแวดระวัง

อย่าได้ดูถูกหกคนนี้เชียว พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจวนไท่จื่อทั้งสิ้น

ไม่เช่นนั้นเซียวเหิงคงไม่มีทางคิดหาวิธีล่อพวกเขาออกมาจากข้างกายหันซื่อจื่อหรอก

เพียงแต่ต่อให้หันซื่อจื่ออยู่คนเดียวแล้วก็ไม่ได้จัดการง่ายเช่นกัน วรยุทธ์เขาสูงส่ง สูงถึงขนาดที่ว่าองครักษ์หลงอิ่งยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีบางอย่างมาช่วยลดทอนกำลังของเขาลง

หันซื่อจื่อขี่ม้าเลี้ยวเข้ามาในตรอก

พาหนะของเขาไม่ใช่ราชาม้าเฮยเฟิง ราชาม้าเฮยเฟิงแข็งแกร่งเกินไป เอามาเดินบนถนนใหญ่ได้ทำม้าตัวอื่นตกใจเผ่นหนีวุ่นแน่ และทำให้เกิดอุบัติเหตุและความแตกตื่นที่ไม่จำเป็นด้วย

เขาเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ดึงบังเหียนแน่น ผินหน้าเล็กน้อย ใช้หางตาชำเลืองมองด้านหลัง “ใครน่ะ ออกมา!”

กู้เจียวที่อยู่บนหลังคาขยับปลายนิ้ว เข็มดอกถังฮวาทะยานพุ่งออกไปสามดอก!

หันซื่อจื่อกระโดดตัวขึ้นจากหลังม้า ตีลังกากลางอากาศ เข็มดอกถังฮวาปักเข้ากำแพงข้างกายเขาเสียงดังฟุ่บๆ !

วิชาตัวเบายอดเยี่ยมจริงๆ ความเร็วก็ว่องไวมาก

กู้เจียวมองเขานิ่งๆ หันซื่อจื่อที่หลบเข็มดอกถังฮวามาได้ไม่ได้กระโดดกลับลงหลังม้า แต่ยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง

เขามองไปทางทิศที่เข็มยิงมาอย่างระแวดระวัง กู้เจียวไม่ได้ให้โอกาสเขาได้มองตัวเองชัดๆ นางยิงเข็มออกไปอีกครั้งทันที

ครานี้สิบเล่ม

หันซื่อจื่อชักกระบี่ออกจากบั้นเอว ระดมกำลังภายใน ปลุกรัศมีกระบี่เป็นประกายวาบๆ ต้านเข็มดอกถังฮวาเอาไว้ให้กระเด็นออกไปไม่เหลือสักเล่ม

กู้เจียวไม่ยิงเข็มดอกถังฮวาแล้ว เปลี่ยนเป็นลูกดอกแบบเป่าแทน

ลูกดอกแบบเป่านี้ อาจารย์แม่หนานเป็นคนทำมให้ พลานุภาพรุนแรงกว่าเข็มดอกถังฮวา

ทว่าก็โดนหันซื่อจื่อต้านไว้ได้ทั้งหมดอย่างสบายๆ อีก

อาจารย์แม่หนานรักนางมากเพียงใด ดูจากอาวุธลับก็รู้ กู้เจียวยิงไปสิบกว่าชนิดติดๆ กัน มีทั้งอาบยาพิษทั้งไม่มีพิษ แต่ไม่มีอาวุธลับใดสามารถทำร้ายหันซื่อจื่อได้เลย

หันซื่อจื่อพอจะเดาฝีมือของอีกฝ่ายได้บ้างแล้ว เขาแค่นเสียงอย่างไม่ยี่หระ ปลายนิ้วกระดิก เหวี่ยงกระบี่ไปทางหลังคาทันที

มุมปากกู้เจียวหยักยกขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่มือสองข้างก็ออกแรงยิงอาวุธลับออกไปอีก

หันซื่อจื่อไร้ซึ่งความกลัว แกว่งดาบฟันฉับทันที!

บึ้ม!

ลูกระเบิดหกลูกระเบิดลั่นอย่างไร้ปรานี!

หันซื่อจื่อโดนระเบิดจนนิ่งไปทั้งร่าง ร่างกายชะงักงันอยู่กลางอากาศ!

อันที่จริงเขาทะยานขึ้นมาบนหลังคาสูงแล้ว และเห็นเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่ลอบโจมตีตัวเองแล้วด้วย

เด็กหนุ่มอยู่ไม่ไกลจากเขา

ในขณะนั้นเอง!

กู้เจียวยกขาขึ้นแล้วเตะเขาลงไปอย่างเลือดเย็น!

ได้ยินเพียงเสียงดังกึกก้อง เขากระแทกกลับไปบนพื้นอย่างแรงราวกับขุนเขาลูกย่อมๆ !

พื้นหินอ่อนแข็งแรงโดนกระแทกร้าว กระบี่หลุดออกจากมือ กระแทกกับมุมถนน เสียบเข้าซอกผนังเสียงดังชิ้ง!

หันซื่อจื่อปวดแปลบไปทั้งร่าง เขากุมหน้าอก ลุกขึ้นด้วยสายตาเคียดแค้น

กู้เจียวหรี่ตาลงเล็กน้อย

ลูกระเบิดมากมายเพียงนี้ผนวกกับฤทธิ์ยาสลบสองเท่า นึกไม่ถึงว่าจะยังลุกขึ้นมาได้อีก

เช่นนั้นก็มอบลูกระเบิดให้เจ้าไปกินอีกสักหกลูกแล้วกัน

“ช่างเป็นคนที่เปลืองลูกระเบิดเสียจริง”

กู้เจียวโยนระเบิดใส่เขาอีกหกลูก โยนเสร็จก็ใช้สารพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทไปอีกครึ่งหลอด จึงได้พอจะทำให้เขาล้มลงได้อย่างถูไถ

ทว่าผมกระจุกหนึ่งของเขายังตั้งขึ้นอย่างดื้อรั้น ราวกับแสดงปณิธานอันหนักแน่นไม่ยอมท้อถอยของเขา!

“เหอะๆ”

กู้เจียวตบผมเขากลับไปเรียบแปล้ในฉาดเดียว แล้วใช้กระสอบรัวตัวเขาในทันใด!