บทที่ 731 เจ็ดอารมณ์ของโฮ่วถู่ (1)
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่ว และราชินีโฮ่วถู่ได้ติดต่อกัน หลี่ฉางโซ่วก็เหลือเวลาอีกสามวันสำหรับตัวเขาเอง
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาวิ่งไปรอบๆ ทั่วทุกสถานที่ เขาได้เตรียมการต่างๆ ทุกอย่างเท่าที่เขาทำได้
ทว่าร่างหลักและแปดปรมาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเต๋าทำเพียงสองสิ่งในทะเลสาบแห่งน้ำตาเท่านั้น
เขาได้สัมผัสถึงพลังแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดผ่านความเศร้าน้อย
เขามาพร้อมกับแผนการที่ละเอียดและเสร็จสมบูรณ์
ในขณะที่ใช้ความรู้ตื้นเขินจากชีวิตในชาติก่อนของเขาเพื่อผสมอักขระเต๋าไท่ชิงและความจริงลึกซึ้งแห่งหยินหยางเพื่อแสดงวาทกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้ความเศร้าน้อยมีความหวังมากขึ้นและมีความเศร้าลดน้อยลง…
การสาธิตเล็กน้อยนั้นไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลย
ในขณะนี้ พวกเขากำลังศึกษาเรื่องใหญ่ที่แท้จริง!
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยืนเอามือไพล่หลังและกล่าวเบาๆ ว่า “เราใช้แผนภาพไท่จี๋กันเถิด มันปลอดภัยกว่า”
“จะใช้สมบัติเซียนเทียนขั้นสูงสุดที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?” จ้าวกงหมิงส่ายศีรษะ
“ศิษย์พี่เสวียนตู เหตุใดท่านถึงไม่ปล่อยให้ข้าใช้ไข่มุกเทพทะเลเล่า? ไข่มุกเทพทะเลยังสามารถทำให้จักรวาลมีเสถียรภาพและดูดซับทุกสิ่งได้เช่นกัน”
ไท่อี่เจินเหรินเม้มปากเล็กน้อยและกล่าวว่า “การพ่นน้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสมบัติวิญญาณเซียนเทียนพ่นน้ำได้”
อวี้ติ่งเจินเหริน ซึ่งเงียบมาตลอดได้กล่าวว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดข้าถึงไม่ได้ช่วยร่างจำแลงแห่งความเศร้าของราชินีโฮ่วถู่?”
ความเศร้าน้อยซึ่งอยู่ต่อหน้าพวกเขาสองสามคน เม้มปาก นางนั่งอยู่ที่นั่นพลางกอดตัวเองและไข่มุกที่มีผ้าสีดำห่อหุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนของนางแน่นด้วยความทุกข์ใจ และพึมพำออกมา
“ข้าตกลงจะร่วมมือกับพวกเจ้าแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังต้องเฝ้าดูพวกเจ้าหารือและวิเคราะห์ถึงวิธีการส่งตัวข้ากลับ ข้า…ยังรู้สึกอนาถใจยิ่งนัก…”
กล่าวจบ ร่างบางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากทะเลสาบแห่งน้ำตาทันที
พวกเขาคือ หลี่ฉางโซ่ว กวงเฉิงจื่อ และคนอื่นๆ พวกเขาแต่ละคนล้วนกำลังถือโซ่สีขาวเงินที่ถูกตัดขาดวิ่น
โซ่เหล่านั้นสั่นไหวเล็กน้อยและกลายเป็นจุดแสงสีเงินพร้อมๆ กัน แล้วส่งกลับไปที่ร่างของความเศร้าน้อย
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ได้เวลาแล้ว พวกเราเริ่มกันเลย”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มขื่นและกล่าวว่า “พวกเรายังไม่ได้ตัดสินใจกันเลยว่าจะเคลื่อนย้าย พาตัวความเศร้าน้อยไปอย่างไร…”
ปัง!
ทันใดนั้นก็มีแสงสีทองสว่างวาบขึ้น และถังทองกลับหัวก็ปรากฏขึ้นในบริเวณที่ความเศร้าน้อยอยู่ แล้วครอบตัวนางเอาไว้ทันที
จากนั้นเทพธิดาอวิ๋นเซียวก็โบกมือเบาๆ และถังทองฮุ่นหยวนก็พลิกกลับ และบัดนั้น ความเศร้าน้อยก็หายไปตรงนั้นแล้ว
“มันจะสร้างจักรวาลของมันเองและจะไม่ทำให้นางตกลงไป”
อวิ๋นเซียวอธิบายสั้นๆ ก่อนที่บรรดาเซียนทั้งหมดจะฟื้นคืนสติกลับมาและพยักหน้าชื่นชม
จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็โบกแขนเสื้อของเขาเบาๆ แล้วแผนภาพไท่จี๋ก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเซียนทั้งเก้า
ในขณะนั้นพลังลมปราณหยินและหยางได้หมุนวน และทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไป จากนั้นพวกเขาก็ไปปรากฏตัวที่มุมหนึ่งของแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีแล้ว
ขณะนั้นพื้นที่บริเวณใกล้เคียงของแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีได้ถูกเก็บกวาด ชำระล้างจนว่างเปล่าไปแล้ว และมีจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบคนคอยคุ้มกันอยู่ในทิศทางต่างๆ ของแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี
มีบรรดายมทูต ทหารสวรรค์ และปรมาจารย์เผ่าเวทจำนวนมากกำลังสร้างชั้นป้องกันต่างๆ ภายนอกเกาะอมตะสังสารวัฏและรอคอยอยู่อย่างเต็มกำลัง
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ชายหญิง โปรดอย่าคิดว่าข้าจุกจิกมากความเลย ข้าเพียงอยากเตือนพวกท่านอีกอย่างหนึ่ง
หากพวกเราเข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีแล้ว พวกเราก็จะขาดการติดต่อกับโลกภายนอก และมีเพียงแผนภาพไท่จี๋เท่านั้นที่พวกเราสามารถใช้มันเพื่อช่วยให้เข้าออกได้ตามต้องการ
พวกเราจะมุ่งมั่นพยายามทำให้สำเร็จในครั้งเดียวและทำตามขั้นตอนที่เราวางเอาไว้ พวกเราไม่อาจล่าช้าไปได้เกินกว่าหนึ่งเค่อ[1]”
“ตกลง”
ปรมาจารย์ทั้งแปดแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋ารับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยกมือขวาขึ้น แล้วภาพเงาของแผนภาพไท่จี๋ก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา จากนั้นกระแสวังวนสีดำและสีขาวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนกำแพงหินต่อหน้าเขา
จากนั้นพวกเขาทั้งเก้าก็กระโดดขึ้นพร้อมกัน และกลายเป็นลำแสงเก้าสาย พุ่งเข้าสู่กระแสวังวนนั้น!
เสี้ยวกลิ่นอายลมปราณเย็นยะเยือกกำลังจะเอ่อล้นออกมาจากกระแสวังวน แต่ภาพติดตาเบื้องหลังของแผนภาพไท่จี๋ก็กะพริบแวบวาบเบาๆ
ทันใดนั้นกระแสวังวนนั้นก็พังทลายลงทันที และกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เหลือเพียงกำแพงหินเรียบๆ เท่านั้น…
หลังจากเข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีแล้ว เหล่าผู้เป็นเซียนทั้งเก้าก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นหมอกที่ขอบโลกใบเล็กนี้
หลี่ฉางโซ่วเพิ่งก้าวเท้าทรงตัวของเขาให้มั่นคงได้ เมื่อเทพธิดาอวิ๋นเซียว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และจ้าวกงหมิงเข้ามาหาเขาจากสามทิศทางแตกต่างกันในระยะห่างไปไม่กี่ฉื่อ
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก
อืม ในบรรดาเก้าเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า ระดับฐานพลังของเขานั้นอ่อนแอที่สุด
“เป็นความเกลียดชังที่รุนแรงยิ่ง” กวงเฉิงจื่อกระซิบ เหล่าผู้เป็นเซียนต่างพยักหน้าพร้อมๆ กัน จากนั้นพวกเขาแต่ละคนก็หยิบสมบัติวิญญาณออกมาและรีบพุ่งออกไปจากหมอก
ทะเลทรายไร้ขอบเขตที่หลี่ฉางโซ่วได้เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อยามเขามา ส่วนใหญ่กลายเป็นหินหนืด
ในขณะนี้หินหนืดที่เดือดพล่าน ยังคงพวยพุ่ง หลั่งไหล และแข็งตัวอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ดูเหมือนว่า โลกใบเล็กนี้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางโลกใบเล็กนั้น หินหนืดยักษ์ที่ใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบมิได้ ยังคงสะบัดมือและขว้างก้อนหินที่กำลังลุกไหม้ออกมา…
บนหัวของยักษ์นั้น มีร่างจำแลงแห่ง “ความชั่วร้าย” กำลังนั่งเอนเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์
ร่างจำแลงนั้น แต่งกายด้วยชุดกระโปรงต่อสู้สีแดงโลหิตและเสื้อยาวถึงเพียงแค่เอวเท่านั้น มันบ่งบอกถึงหลักการที่ว่า ยิ่งสวมใส่น้อยเท่าใด ก็ยิ่งมีพลังป้องกันสูงมากขึ้นเท่านั้น
ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพียงเครื่องแต่งกายที่สตรีเผ่าเวทสงครามโบราณมักสวมใส่
เหล่าผู้เป็นเซียนทั้งเก้าขี่เมฆลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและรีบพุ่งไปที่นี่พร้อมๆ กัน
“เชอะ” นางมารร้ายน้อยแค่นเสียงเย้ยหยัน
เสียงของนางดังมาแต่ไกล “ข้าคิดว่าพวกเจ้าไปทำอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าพวกเจ้าไปขอความช่วยเหลือ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เผยท่าทางให้หยุด จากนั้นเขาก็ขี่เมฆออกไปข้างหน้าในขณะที่ไพล่มือไปไว้ด้านหลัง
เขายิ้มและกล่าวว่า “สหายเต๋า การต่อสู้ของท่านและข้ายังไม่รู้ผลเลย แล้วไยข้าถึงต้องไปขอความช่วยเหลือด้วยเล่า?”