บทที่ 677 องค์หญิง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 677 องค์หญิง (1)

ณ ห้องปีกข้างของหอเย่ว์ปิน หมิงจวิ้นอ๋องฟื้นขึ้นจากความฝันอันเมามาย เขาลืมตาขึ้น ขยับเขยื้อนร่างกาย พบว่าตัวเองฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างผิดคาด

เขาหลับไป…ทั้งอย่างนี้น่ะรึ

ฟากฟ้าด้านนอกมืดมิดสนิทแล้ว คนงามภายในห้องก็ไม่อยู่แล้ว

เขาลุกขึ้นยืน กลับล้มพับลงไปเพราะสองขาชาดิก

องครักษ์เสื้อแพรด้านนอกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้อง จึงเร้นกายเข้ามา

“จวิ้นอ๋อง!”

พวกเขาพากันคำนับให้

คนที่เป็นหัวหน้าก้าวขึ้นหน้าไปพยุงหมิงจวิ้นอ๋องขึ้นมา

หมิงจวิ้นอ๋องล้มแรงยิ่ง หัวก็ปวดเหมือนจะระเบิด

“นี่ข้าเป็นอะไรไป” เขากุมหัว ถามขึ้นด้วยความเดือดดาลจนขอบตาแทบถลน

องครักษ์เสื้อแพรพยุงเขากลับมานั่งบนม้านั่ง

“ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าเจ็บก้น” นั่งบนม้านั่งไม้มาตลอดบ่ายแล้ว แม้แต่คนแกร่งก็ยังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับเขาที่ไม่ใช่คนแกร่ง

ซ้ำที่นี่ก็ไม่มีเตียงให้เขาเอนนอนด้วย หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรจำต้องเรียกพวกมาหามเขากันคนละข้าง

แม้แบบนี้จะอึดอัด แต่อย่างน้อยก้นเขาก็ไม่ต้องระบมมากนัก

“คะ…คุณหนูกู้เล่า” หมิงจวิ้นอ๋องกุมศีรษะที่แทบจะระเบิดพลางถาม

หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรตอบ “หลังจากที่จวิ้นอ๋องทรงเมามาย คุณหนูกู้ก็กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่าอย่างไรนะ พวกเจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้น่ะรึ”

“จวิ้นอ๋อง…ท่านไม่ได้สั่งไว้ว่าให้รั้งนางไว้นี่พ่ะย่ะค่ะ”

นั่นมันก็เพราะว่าข้านึกว่านางจะไม่ไปน่ะสิ สมองพวกเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรือไร

หมิงจวิ้นอ๋องสะอึก

ให้ตายสิ นึกไม่ถึงว่าตนจะเมามายในช่วงโอกาสทองเช่นนี้

หมิงจวิ้นอ๋องกลับไม่คิดจะโทษคนงาม แต่นึกถึงว่าคนงามนิสัยเย็นชามาโดยตลอด ทั้งตนยังมาเมามายปล่อยนางเดียวดายอยู่ตรงนี้ จึงทำให้นางกลับไปอย่างโมโห

“ไหนว่าจะมอบภาพวาดให้ข้าอย่างไรเล่า”

“จวิ้นอ๋อง ใช่สิ่งนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งหยิบ…เอ่อ…กระดาษ… แผ่นหนึ่งขึ้นจากโต๊ะ

โดยปกติแล้ว ภาพวาดที่มอบให้คนฐานันดรอย่างหมิงจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้แกนม้วนถึงจะเหมาะสม ทว่านี่เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวล้วนๆ ซ้ำยังยับยู่ยี่ด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หมิงจวิ้นอ๋องให้คนเอาภาพมา

เขาเพ่งพินิจมอง ก่อนจะอ้าปากหวอ

อะ…ไอ้ยุ่งๆ เหยิงๆ พวกนี้มันคืออะไรกันน่ะ

ภาพวาดของคนงามคือระดับนี้น่ะรึ

จะเอาไปอวดใครเขาได้

มันช่าง…

ช่างเถิด เขาไม่ได้ถูกตาต้องใจนางเพราะนางวาดภาพเป็นเสียหน่อย

ความงามของนางต่างหากที่เป็นสิ่งที่สั่นคลอนดวงใจเขา

วาดภาพไม่เป็นก็ไม่ต้องวาด วันหลังเขาค่อยสอนนางเอาก็ได้

ใช่ ถูกต้องแล้ว เขาสามารถอ้างการสอนคนงามวาดภาพเพื่อนัดพบคนงามใหม่ได้ และมั่นใจว่านางไม่มีทางปฏิเสธแน่

ความคิดแล่นวาบ ความอึมครึมในจิตใจหมิงจวิ้นอ๋องหายเกลี้ยง กลายเป็นสดชื่นแจ่มใส

ในขณะที่หมิงจวิ้นอ๋องเก็บภาพวาดที่คนงามวาดเองเอาไว้อย่างปรีดานั้น จู่ๆ คนขับรถก็ขึ้นมาหา ทูลอยู่หน้าประตู “จวิ้นอ๋อง เกิดเรื่องขึ้นกับหันซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ!”

ณ เขตเรือนอันเงียบสงบของตระกูลหัน เหล่าสาวใช้ถือกะละมังเลือดออกมาจากห้องหลักกะละมังแล้วกะละมังเล่า

หันซื่อจื่อบาดเจ็บสาหัสจนแทบดูไม่ได้ หมอแค่จัดการบาดแผลให้เขาอย่างเดียวก็ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามไปแล้ว

โชคดีที่กำลังภายในเขาลึกล้ำ จึงไม่ได้บาดเจ็บถึงแก่น แต่ก็น่าสงสารไม่น้อย

สีหน้าเขาเย็นชานั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหย่งทอดถอนใจเฝ้าอยู่ข้างๆ

“ให้เจ้าไปนอนบนเตียงสักพัก” หันหย่งเอ่ย

“ไม่ต้องหรอก” หันซื่อจื่อเปลือยไหล่ กุมหน้าอกพลางกัดฟันเอ่ย

หันหย่งถอนใจเอ่ย “เจ้าจะรั้นไปไย บาดเจ็บก็ต้องนอนพักสิ”

หันซื่อจื่อแววตาเย็นเยียบเอ่ย “ข้าบอกว่าไม่ต้อง”

ลุงรองตระกูลหันไม่เถียงกับเขาในเรื่องนี้อีก ถามขึ้นแทน “ฝีมือผู้ใดกัน นึกไม่ถึงว่าจะทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ได้”

วรยุทธ์ของหันซื่อจื่อในหมู่รุ่นเดียวกันในเซิ่งตูนั้นไม่มีใครเทียบได้ ส่วนพวกพี่ที่อาวุโสกว่าเขาก็ไม่มีทางลงมือกับรุ่นน้องอย่างเขาง่ายๆ เช่นกัน

หันซื่อจื่อนึกย้อนไปถึงเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่ตัวเองเห็นบนหลังคาคนนั้น เขารู้สึกไม่คุ้นสักนิด

หากเซิ่งตูมียอดฝีมือหนุ่มเพียงนี้ เขาไม่มีทางไม่เคยได้ยินมาก่อน

แต่ว่าอีกฝ่ายเอาชนะเขาได้ไม่ใช่เพราะวรยุทธ์สูงส่ง

แต่เป็นแผนร้ายและระเบิด

เขาใช้อาวุธลับนับไม่ถ้วนกับตนเป็นอย่างแรก ทำให้ตนคิดว่าที่ตัวอีกฝ่ายมีแต่อาวุธลับ ทำให้ตอนที่อีกฝ่ายโยนระเบิดใส่ตนจึงไม่ได้เลือกจะหลบเลี่ยง

หันซื่อจื่อนึกย้อนทวนความจำพลางเอ่ย “เขาใช้ระเบิด”

หันหย่งกระจ่างแจ้งทันใด “ที่แท้ก็เป็นระเบิด มิน่าจึงทำร้ายเจ้าได้…ช้าก่อน ระเบิดอย่างนั้นรึ ระเบิดมันของของตำหนักกั๋วซือเท่านั้นนี่นา”

หันซื่อจื่อส่ายหน้า “ตำหนักกั๋วซือเป็นผู้คิดค้นระเบิดก็จริง แต่เอาไปใช้ในการทหารแล้ว ตระกูลชั้นสูงก็สามารถทำได้เช่นกัน”

หันหย่งครุ่นคิดครู่หนึ่งพลางเอ่ย “การควบคุมการผลิตระเบิดเข้มงวดมาก ไม่ได้จะทำกันง่ายๆ กระมัง”

ข้อเท็จจริงนี้ หันซื่อจื่อกลับไม่ได้ปฏิเสธ “ระเบิดพวกนั้นใส่ยาสลบเข้าไปด้วย นอกจากนี้ ยกสุดท้ายเขาใช้ของบางอย่างกับข้า ไม่ใช่ยาสลบ แต่กลับทำให้ข้าขยับเขยื้อนไม่ได้เลย”

หันหย่งไตร่ตรองพลางเอ่ย “ระเบิด… ยาพิษไม่ทราบนาม… หรือจะเป็นฝีมือของตำหนักกั๋วซือ”

หันซื่อจื่อเอ่ย “ข้าไม่มีความแค้นกับตำหนักกั๋วซือ เหตุใดตำหนักกั๋วซือต้องจัดการข้าด้วย”

หันหย่งพยักหน้า “ข้อนี้ก็จริง” ตำหนักกั๋วซือไม่สมัครพรรคพวกกับกลุ่มอำนาจใด และไม่เป็นอริกับกลุ่มอำนาจใดด้วย พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีตระกูลขุนนางคนใดกล้าหาเรื่องกับตำหนักกั๋วซือก่อน ตำหนักกั๋วซือย่อมไม่ไปสร้างความลำบากให้กับตระกูลใด

หันซื่อจื่อถามคนรับใช้หน้าห้อง “จวิ้นอ๋องเล่า ยังไม่ถึงรึ”

เพิ่งจะเอ่ยจบ หมิงจวิ้นอ๋องก็มาถึงพอดี

หันหย่งประสานมือคำนับให้หมิงจวิ้นอ๋อง หันหย่งเป็นบุตรสายรองของตระกูลหัน ตำแหน่งจึงไม่เท่ากับสายตรง

หมิงจวิ้นอ๋องพยักหน้ารับ ท่าทีที่เขามีต่อหันหย่งจึงแตกต่างกับท่าทีที่มีต่อหันซื่อจื่อ

“พวกเจ้าออกไปกันให้หมด ท่านลุงรองท่านอยู่ก่อน”

พวกคนรับใช้ทยอยออกไป ก่อนจะงับประตูปิด ภายในห้องจึงเหลือพวกเขาสามคน

หมิงจวิ้นอ๋องมองหันซื่อจื่อที่บาดแผลเต็มตัว ระหว่างทางมานี้ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่พอมาเห็นกับตาจริงๆ ก็ยังตกใจยกใหญ่อยู่ดี “ท่านพี่ ใครมันทำร้ายท่านถึงเพียงนี้”

หันซื่อจื่อไม่ได้ตอบคำเขา แต่ย้อนถามแทน “ข้าอยากถามเจ้ามากกว่า วันนี้เจ้าไปพบใครมา”

“เอ่อ” หมิงจวิ้นอ๋องชะงัก

หันซื่อจื่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจะบอกเสียแต่โดยดี หรือว่าจะให้ข้าจับตัวสาวใช้เจ้ามา”

หมิงจวิ้นอ๋องหัวหด!!

ท่านพี่ นึกไม่ถึงว่าท่านพี่จะเห็นสาวใช้นางนั้น

หันซื่อจื่อแค่นเสียงเย็น “หรือว่า ข้าไปทูลองค์ไท่จื่อ ให้พระองค์มาไต่ถามเจ้าเอง”

หมิงจวิ้นอ๋องอ้อนวอน “ท่านพี่! อย่าได้บอกเสด็จพ่อข้าเชียวนะ! หากเสด็จพ่อรู้เข้า…ได้โบยข้าตายแน่”

ไท่จื่อเข้มงวดกับหมิงจวิ๋นอ๋องนัก ไม่อนุญาตให้เขาทำเรื่องอัปยศใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางหลบซ่อน ไม่ยอมแสดงตัวของตัวเองให้ชัดเจนต่อคนงามหรอก

หันซื่อจื่อเอ่ย “ไม่อยากให้ข้าไปหาไท่จื่อ เจ้าก็บอกมาเสียแต่โดยดี วันนี้ไปพบใครมา ทำอะไรบ้าง”

หมิงจวิ้นอ๋องเล่าเรื่องที่ตนไปพบคนงามให้ฟังอย่างจนใจ “…ท่านพี่ รับปากข้าแล้วนะว่าจะไม่บอกเสด็จพ่อข้า!”

หันซื่อจื่อเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ใครก็ได้ ส่งหมิงจวิ้นอ๋องกลับจวน!”

“ขอรับ!”

หลังจากที่หมิงจวิ้นอ๋องกลับไป หันซื่อจื่อก็หลับตาลงอย่างหงุดหงิด “ท่านลุงรองเห็นว่าอย่างไร”

หันหย่งเอ่ย “บัณฑิตสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันนางนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน นางจงใจล่อหมิงจวิ้นอ๋องกับองครักษ์เสื้อแพรหกนายข้างกายเขาไป”

หันซื่อจื่อแววตาลุ่มลึกเอ่ย “ในเมื่อลุงรองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เช่นนั้นก็คงต้องตรวจสอบคนผู้นี้แล้วละ”