บทที่ 866 เจียงเจวี๋ยซื่อมาถึง ความคาดหวังของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 866 เจียงเจวี๋ยซื่อมาถึง ความคาดหวังของหานเจวี๋ย

เมื่อทราบว่าคนที่ตนเคยเผชิญหน้าไม่ใช่อริยะสวรรค์เกรียงไกร นักพรตหัวมังกรเงียบไป

เป็นไปได้อย่างไร!

นักพรตหัวมังกรตกตะลึงอยู่ในใจ

ใต้สังกัดของอริยะสวรรค์เกรียงไกรยังมียอดฝีมือเช่นนี้ด้วยหรือ

ทันใดนั้นเขารู้สึกโชคดีอยู่ในใจ โชคดีที่ตนไม่ได้บุ่มบ่ามมุ่งหน้าไป เหลือหนทางฟื้นคืนชีพเอาไว้ มิเช่นนั้นอาจต้องตายอยู่ที่มรรคาสวรรค์

นักพรตเต๋าเสินเผาเห็นเขาเงียบไป ก็เผยสีหน้าดูแคลน

ขนาดขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังโจมตีมรรคาสวรรค์ไม่ได้ แล้วเจ้านับเป็นตัวอันใดกัน

ผ่านไปพักใหญ่

นักพรตหัวมังกรเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “ดวงจิตท่าน ท่านเป็นพันธมิตรกับมรรคาสวรรค์แล้วกระมัง”

เขาไม่ได้โง่ พอคิดดูให้ละเอียด วาจาของนักพรตเต๋าเสินเผามีส่วนปกป้องมรคาสวรรค์อยู่มากนัก

นักพรตเต๋าเสินเผาไม่ตอบ

“ไม่สู้แนะนำข้าให้เข้าร่วมมรรคาสวรรค์ด้วยเป็นอย่างไร” นักพรตหัวมังกรถามต่อ

นักพรตเต๋าเสินเผาผงะไป

คนผู้นี้…

นักพรตหัวมังกรเอ่ยอย่างจริงจัง “ในเมื่อสู้ไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะเข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์ ตอนนี้ฟ้าบุพกาลน่าจะไม่มีตัวตนที่แข็งแกร่งไปกว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรแล้วกระมัง ส่วนเทพมหาทัณฑ์ผู้นั้น ในมุมมองข้า ก็แค่นั้นแล้ว ถึงอย่างไรผู้นำดวงจิตมหามรรคก็ล้วนไม่กล้าลงมือกับอริยะสวรรค์เกรียงไกร”

นักพรตเต๋าเสินเผาถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เหตุผลล่ะ เจ้าจะเข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์เพื่อสิ่งใด”

หากว่าคนผู้นี้กล้าวางแผนต่อมรรคาสวรรค์ นักพรตเต๋าเสินเผาย่อมคิดหาทางจัดการ

จะว่าไป เขาช่วยเหลือหานเจวี๋ยน้อยนิดนัก อย่างมากก็แค่แจ้งข่าวรายงานให้มรรคาสวรรค์ทราบ ช่วยดูแลให้มากหน่อย แต่มรรคาสวรรค์ที่มีหานเจวี๋ยอยู่ ย่อมผงาดขึ้นมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

นักพรตหัวมังกรตอบว่า “แน่นอนว่าเพื่อให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ก่อนหน้านี้ที่คิดจะไปถล่มมรรคาสวรรค์ให้ราบ ก็เพียงเพื่อสร้างชื่อเสียงเท่านั้น ตอนนี้ข้าทราบแล้วว่าตนห่างชั้นกับอริยะสวรรค์เกรียงไกร ย่อมไม่ไปรนหาที่ตายอีก”

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยความฉงน “หากเจ้าอยากกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด เหตุใดไม่ไปท้าสู้กับอริยะคนอื่นเล่า อย่างเช่นสามอริยะแห่งโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ สร้างชื่อไต่เต้าขึ้นไปทีขั้นๆ”

นักพรตหัวมังกรได้ฟังก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล เอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ตกลง ข้าจะไปที่โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ก่อน”

พูดจบ นักพรตหัวมังกรก็หันหลังเดินออกไป

จนกระทั่งเขาเดินไปถึงประตูแล้ว จู่ๆ ก็ชะงัก หันมาเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “ดวงจิตท่าน เทพมารอนธการอาจจะเป็นเรื่องเท็จ แต่มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่หาใช่เรื่องปั้นแต่ง ท่านวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ”

พอเอ่ยจบ นักพรตหัวมังกรก็เลือนหายไป

นักพรตเต๋าเสินเผาขมวดคิ้ว

เดิมทีเขานึกว่าเมื่อเทพมารฟ้าบุพกาลและผู้นำดวงจิตมหามรรคดับสูญไปแล้ว มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะไม่เกิดขึ้น ถึงอย่างไรตอนนี้ฟ้าบุพกาลก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเทพมารอนธการเป็นเพียงข่าวเท็จ

แต่คำพูดของนักพรตหัวมังกรกลับทำให้เขาลังเลอีกครั้ง

“คนผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”

นักพรตเต๋าเสินเผาพึมพำกับตัวเอง จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนไม่เข้าใจนักพรตหัวมังกรเลย

คนผู้นี้แปลกเกินไปแล้ว

ราวกับไม่มีความรู้ความเข้าใจในฟ้าบุพกาลเลย คิดว่าพิสูจน์มหามรรคแล้วก็สามารถท้าสู้เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งได้เลยหรือ

ช้าก่อน!

คงไม่ใช่ว่าเขาปิดด่านอยู่ในสถานที่ใดสักแห่งมาโดยตลอด ผ่านไปเกือบล้านปีถึงเพิ่งจะออกมาเผชิญโลกกระมัง

เช่นนั้นอาจารย์ของเขาคือผู้ใดเล่า

นักพรตเต๋าเสินเผาขมวดคิ้วแน่น จมอยู่ในห้วงความคิด

….

ภายในอวกาศเวิ้งว้าง

เจียงเจวี๋ยซื่อเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว อาภรณ์ขาวปลิวสะบัด ไม่หลงเหลือร่องรอยใดไว้รอบข้างเลย ราวกับเดินข้ามผ่านกาลเวลา กลิ่นอายเหนือล้ำหลุดพ้นขึ้นเรื่อยๆ

ด้านหน้าปรากฏห้วงจักรวาลพร่างพราวแห่งหนึ่ง สายธารดาราแต่งแต้มประดับด้วยแสงดาว งดงามดุจภาพวาด

เจียงเจวี๋ยซื่อถูกห้วงจักรวาลนี้ดึงดูด

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าในห้วงจักรวาลนี้มีสิ่งที่เขาต้องการ

เขาเร่งความเร็วทันที

ห้วงจักรวาลแห่งนี้ก็คือห้วงจักรวาลดาราที่หานเจวี๋ยสร้างขึ้น รอคอยให้เจียงเจวี๋ยซื่อมาติดกับตลอดมา

เจียงเจวี๋ยซื่อมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูง ในไม่ช้าก็เข้าสู่ห้วงจักรวาลดารา

เขาตระเวนไปรอบๆ แผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไปสำรวจห้วงจักรวาล

เขาพบว่าห้วงจักรวาลนี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต แต่กลับแฝงกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่ง ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้น เขาก็แยกแยะได้ไม่กระจ่างเช่นกัน

ในเวลานี้เอง

ณ ใจกลางของห้วงจักรวาล ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

หลิวเป้ยสังเกตเห็นการมาถึงของเจียงเจวี๋ยซื่อ เขาเริ่มจับตามองเจียงเจวี๋ยซื่อ ตั้งท่าระแวดระวัง

ถึงอย่างไรห้วงจักรวาลนี้ก็เพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ ต้านทานการรุกรานจากภายนอกไม่ได้

หลิวเป้ยรับรู้ได้ว่าเจียงเจวี๋ยซื่อแข็งแกร่งมาก ไม่กล้าผลีผลามกล่าววาจา อีกทั้งมีหานเจวี๋ยอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย

เขาเริ่มสนใจใคร่รู้ว่าเจียงเจวี๋ยซื่อจะทำอะไร

หลังจากเจียงเจวี๋ยซื่อตระเวนในห้วงจักรวาลดาราระยะหนึ่ง ก็เสาะหาสถานที่แห่งหนึ่งแล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญ

เวลาผ่านพ้นไปเช่นนี้

เพียงพริบตาเดียว ครบกำหนดปิดด่านหนึ่งแสนปีของหานเจวี๋ยแล้ว

เขารับรู้ถึงการมาเยือนของเจียงเจวี๋ยซื่อได้แต่แรกแล้ว แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอันใด เคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง

เขาปล่อยเทพมารที่กำเนิดใหม่ออกมา จากนั้นก็เทศนาธรรมให้เหล่าเทพมาร

ผ่านไปห้าร้อยปีถึงสิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายกลับมาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

เขาเดินออกมาจากอารามเต๋า ไปหาหลิวเป้ย

“เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร” หานเจวี๋ยถาม

หลิวเป้ยลืมตาขึ้น ตะลึงไป จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา หานเจวี๋ยพูดถึงผู้บำเพ็ญคนนั้นที่หลงเข้ามาในห้วงจักรวาลดารา

“ดูเหมือนเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์เช่นกันกระมัง” หลิวเป้ยถามอย่างระมัดระวัง

ดวงชะตามรรคาสวรรค์ของเจียงเจวี๋ยซื่อหนาแน่นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เวียนว่ายตายเกิดมานับแสนชาติ ดวงชะตามรรคาสวรรค์มิใช่สิ่งที่จะชะล้างออกไปได้ง่ายดายปานนั้น

“ไม่เลวเลยขอรับ เขาไม่ได้ทำตัวโอหังสร้างความเสียหาย แต่เสาะหาสถานที่แห่งหนึ่ง ปิดด่านอย่างสงบ คาดว่าคงมีนิสัยตื่นตัวระวังภัยและพากเพียรบำเพ็ญเช่นกัน” หลิวเป้ยใคร่ครวญ

หานเจวี๋ยเล่าอดีตระหว่างตนกับเจียงเจวี๋ยซื่อ หลิวเป้ยฟังแล้วมีสีหน้าตกตะลึง

คุณสมบัติของเด็กคนนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หลิวเป้ยถาม “ต้องการให้ข้าจัดการอย่างไรขอรับ”

หานเจวี๋ยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ต้องมีเรื่องให้ไปจัดการแน่

“เจ้าไปสานสัมพันธ์กับเขาสักหน่อยเถอะ ให้เขาอยู่ที่นี่” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

พลังวิญญาณของที่นี่บางเบาเกินไป ปราณฟ้าบุพกาลก็ไม่เพียงพอ คาดว่าเจียงเจวี๋ยซื่อคงอยู่ได้ไม่นาน

หลิวเป้ยตอบรับทันที

หานเจวี๋ยแยกเสี้ยวเจตจำนงสายหนึ่งออกมา ปล่อยไว้เหนือพฤกษาต้นนี้ เอ่ยว่า “วันหน้าจะเข้าออก เพียงเอ่ยปากก็พอ”

เสี้ยวเจตจำนงนี้รับผิดชอบดูแลการเข้าออกของหลิวเป้ยโดยเฉพาะ

“ขอรับ”

หลิวเป้ยรับคำ จากนั้นก็มองส่งหานเจวี๋ยจากไป

หลังจากหานเจวี๋ยกลับเข้ามาในอารามเต๋า ก็ทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้างต่อ

หลายแสนปีผ่านไป ในที่สุดเขาก็พอจะตระหนักรู้เศษเสี้ยวหนึ่งของพลังแห่งการสรรค์สร้างแล้ว

การเริ่มต้นยากเสมอ!

หานเจวี๋ยตื่นเต้นยิ่ง รู้สึกว่ามองเห็นความหวังในการทะลวงสู่ยอดมหามรรคระยะกลางแล้ว

สามพันปีต่อมา

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เลือกยอมรับเงียบๆ

ยากนักที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะติดต่อมาหาเขา โดยทั่วไปล้วนมีเรื่องสำคัญเสมอ

หานเจวี๋ยแอบคาดหวัง

จะมาขอความช่วยเหลือจากเขาหรือไม่

ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้ คนที่ต่อกรกับหานเจวี๋ยได้มีน้อยยิ่ง

หากได้ออกโรงแสดงฝีมือ เช่นนั้นจะเป็นเรื่องดีงามยิ่ง

แดนความฝันยังคงเป็นป่าผืนเล็กนอกสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมองหานเจวี๋ย ยิ้มออกมาพลางถาม “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”

“พอใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องใดหรือ”

หานเจวี๋ยถามเข้าประเด็น อดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายฉงนกับท่าทีของเขาเล็กน้อย เอ่ยว่า “ผู้นำดวงจิตมหามรรคดับสูญแล้ว เขาสร้างเผ่าเทพปฐมกาลขึ้น เผ่านี้อาจจะคุกคามเจ้า”

หานเจวี๋ยถาม “เท่านี้หรือ

“ไม่สิ ผู้นำดวงจิตมหามรรคดับสูญได้อย่างไร”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกลอกตา กล่าวว่า “เจ้าอย่ามาเสแสร้งเลย เจ้ารู้แต่แรกแล้วแน่นอน หากมิใช่เพราะเราทราบว่าผู้ที่สังหารเขาเป็นใคร คาดว่าคงนึกว่าเป็นฝีมือเจ้าแน่”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าตอบไปว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ยังไม่ถึงกำหนดสิบล้านปีเลย”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “วันนี้เรามาหาเจ้า เพราะมีเรื่องจะให้เจ้าช่วยเหลือ”

หานเจวี๋ยมีท่าทางตื่นเต้น ดวงตาส่องประกายนิดๆ

จะมาแล้วหรือ

………………………………………………………………