บทที่ 679 ปะทะ

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างโมโห “ไม่กระมัง ไท่จื่อผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดแม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังจะฆ่าได้!”

“น้องสาว” กู้เจียวเพียงแค่สงสัย

กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อ๋อ ไม่สิ เหมือนจะเป็นพี่สาวนะ องค์หญิงคือธิดาองค์ที่สามของฮ่องเต้ เหนือนางยังมีองค์หญิงสายรองอีกสองคน ก่อนที่นางจะประสูติไม่มีองค์ชายประสูติมาเลยสักคน”

เขาเล่าพลางลูบคางตามสัญชาตญาณ นี่เป็นท่าทางที่กู้เจียวชอบทำ พอรู้จักกันนานเข้า จึงติดนิสัยกันมาโดยจิตใต้สำนึก

แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัว

เขาเอ่ยอย่างฉงน “ไท่จื่อจะฆ่าเซียวเหิง และจะฆ่าองค์หญิงด้วย พวกเขาสามคนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”

“ไม่รู้สิ” กู้เจียวเอ่ย

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างสนใจใคร่รู้ “นักฆ่าที่พวกเขาส่งไปมีเยอะหรือไม่”

กู้เจียวเอ่ย “หกคน”

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าองค์หญิงเป็นคนอย่างไร แต่ไท่จื่อจะฆ่าเซียวเหิง ดังนั้นเมื่อวางใจเป็นกลางมองดูแล้ว กู้เฉิงเฟิงจึงไม่อยากให้ไท่จื่อได้สมดังหวัง

“สามารถแจ้งทางการหรืออะไรก็ได้…ให้ไล่ตามคนกลับมาได้หรือไม่” ถ้อยคำดังกล่าวเอ่ยออกมา กู้เฉิงเฟิงยังตกใจตัวเองยกใหญ่ เขาอยู่กับเด็กสาวนางนี้มานานจึงได้ติดนิสัยใจกล้าบ้าบิ่นมาแล้วกระมัง

แคว้นเยี่ยนเป็นแคว้นระดับบน สงครามภายในราชวงศ์ของแคว้นระดับบนไหนเลยจะถึงตาคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขาสอดมือเข้าไปยุ่งได้

หากทำได้ไม่ดีก็ไม่มีทางที่จะฟื้นตลอดไป จะตายอย่างไรยังไม่รู้เลย

นับประสาอะไรกับองค์หญิงที่ไม่ใช่ญาติมิตรหรือศัตรูของพวกเขา แค่เพียงเพราะว่าเห็นไท่จื่อแล้วขวางหูขวางตาก็จะเสี่ยงชีวิตไปช่วยองค์หญิงนั้น ราคาที่ต้องจ่ายมันไม่มากเกินไปหรือ

กู้เจียวปิดกล่องยาใบน้อยเสียงดังปึง

กู้เฉิงเฟิงตกใจกับเสียงนี้ที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น

กู้เจียวหยิบตะกร้าใบเล็กขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเก็บอาวุธลับ “อีกเดี๋ยวเจ้าไปส่งจิ้งคงกลับด้วย”

“ข้าย่อมไปส่งเขาอยู่แล้ว” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ข้าเป็นคนพามา ข้าไม่ไปส่งเขากลับแล้วใครจะไปส่งเขาเล่า”

เขาเอ่ยพลางสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติไป “ช้าก่อน เหตุใดเจ้าจึงต้องกำชับข้าเป็นพิเศษด้วย เจ้าคิดจะทำอะไร”

กู้เจียววางมือลงบนเข็มขัด

“เฮ้ย!” กู้เฉิงเฟิงปิดตาหันหลังให้ทันที “ต่อให้เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าก็ห้ามทำเช่นนี้อยู่ดีนะ! เจ้ารู้จักระแวดระวังระหว่างชายหญิงเสียบ้างสิ!”

“อ๋อ” กู้เจียวเอ่ย “ลืมไปว่าเจ้าเป็นผู้ชาย”

กู้เฉิงเฟิง “…!!”

น้องสาวผู้นี้ปากคอเราะร้าย ชอบพูดแทงใจดำนัก!

กู้เฉิงเฟิงออกจากห้องไปราวกับกระโดดไป

กู้เจียวเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับยามวิกาล สวมหน้ากาก สะพายทวนพู่แดงไปจูงม้าจากหลังบ้าน

ท่านอาวุโสเมิ่งกับกู้เหยี่ยนกำลังเล่นหมากรุกอยู่หลังบ้าน

เห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ ท่านอาวุโสเมิ่งสีหน้าพลันงุนงง “เจ้าแต่งตัวเช่นนี้เพื่อการใด”

ร่างกายอาจารย์แม่หนานไม่เป็นอะไรแล้ว เพิ่งจะไปจุดไฟที่ครัว กะว่าจะทำอะไรให้เสี่ยวจิ้งคงกิน เพิ่งจะออกมาตักน้ำก็เห็นกู้เจียวพอดี

นางชะงักเล็กน้อย “เจ้าจะออกไปข้างนอกรึ”

กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าค่ะ ออกไปสักหน่อย รบกวนอาจารย์แม่หนานดูแลอาเหยี่ยนทีนะเจ้าคะ”

ดูแลกู้เหยี่ยนนั้นสมควรอยู่แล้ว เดิมทีก็เป็นลูกศิษย์ของสามีนางอยู่แล้วนี่นา เพียงแต่ว่าจะออกไปนานเท่าใด จึงได้ฝากฝังเอาไว้เช่นนี้

กู้เหยี่ยนหลบตาลง บีบหมากรุกในมือแน่น

กู้เสี่ยวซุ่นพาเสี่ยวสืออีไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวจิ้งคง กู้เจียวให้กู้เหยี่ยนบอกกู้เสี่ยวซุ่นด้วยว่าลาหยุดให้นางสักสองสามวัน

“อื้อ” กู้เหยี่ยนขานรับเบาๆ

กู้เจียวจูงม้ามาหน้าประตู

กู้เฉิงเฟิงตามออกมา “เฮ้ย! เจ้าเสียสติไปแล้วรึ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่! สงครามภายในของราชวงศ์แคว้นเยี่ยนไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยนะ!”

กู้เจียวปรับอานม้าให้ตรง ผูกหัวเข็มขัด “ไท่จื่อจะฆ่าเซียวเหิง”

กู้เฉิงเฟิงถาม “แล้วอย่างไรเล่า”

กู้เจียวครุ่นคิดเอ่ย “มีบางอย่างที่ข้าต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”

กู้เฉิงเฟิงร้อนใจขึ้นมาแล้ว “เรื่องอะไร”

กู้เจียวพลิกตัวขึ้นหลังม้า “กลับมาจะเล่าให้ฟัง”

กู้เฉิงเฟิงทอดมองแผ่นหลังที่จากไปไม่ทิ้งฝุ่นไร้การรีรอ ก่อนจะกำหมัดแน่นอย่างโมโห กัดฟันกรอด “เฮ้ย! เด็กคนนี้นี่! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! เจ้ากลับมานะ! พวกเขาเดินทางกันหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว! เจ้าตามไม่ทันหรอก!”

กู้เจียวไปไกลแล้ว

กู้เฉิงเฟิงชักจะอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว

เด็กสาวนางนี้โตมาอย่างไรกันแน่ แน่ใจรึว่าไม่เคยกินดีหมีมาก่อน

นั่นมันคนของจวนไท่จื่อเชียวนะ จวนไท่จื่อนะ!

“สู้ไม่ได้เจ้าก็หนี! ห้ามปลดยันต์ผาสุกออกโดยเด็ดขาดรู้หรือไม่!”

สุสานฮ่องเต้แคว้นเจาตั้งอยู่ใกล้ๆ เมืองหลวง แต่แคว้นเยี่ยนนั้นไม่ใช่ สุสานฮ่องเต้อยู่ห่างจากเขากวนไปกว่าร้อยลี้ ว่ากันว่าไท่จู่ฮ่องเต้ให้คนดูฮวงจุ้ยให้ แนวเทือกเขาของด่านและภูเขาเป็นรูปมังกรน้ำ ทิวทัศน์สวยงาม จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชีพจรมังกร

สร้างสุสานฮ่องเต้ขึ้นที่นี่ สามารถปกป้องปราณฮ่องเต้ต้าเยี่ยนให้สืบทอดต่อไปได้ นำพาให้โชคชะตาของบ้านเมืองรุ่งเรือง

หากแค่ระยะทางร้อยลี้ ควบม้าวิ่งไม่หยุดละก็ อันที่จริงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ไปถึงได้

เพียงแต่เมื่อวานเซิ่งตูมีฝนตก จึงรับประกันได้ยากว่าระหว่างทางนั้นที่อื่นๆ มีฝนกระหน่ำด้วยหรือไม่ ซึ่งจะทำให้การเดินทางล่าช้าลง

ส่วนล่าช้าลงเท่าใดคงต้องดูสถานการณ์ในตอนนั้นเอาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่มีทางไม่พักผ่อนกันเลยด้วย จะส่งผลต่อกำลังศึกได้ง่าย

กู้เจียวรู้สึกว่าตัวเองไล่ตามไปยังพอมีหวัง แม้ว่าความหวังจะริบหรี่มากก็ตาม

แต่ต่อให้ริบหรี่เพียงใดก็ต้องลองดูอยู่ดี

นางต้องการทราบคำตอบ

ดวงตะวันคล้อยต่ำทางตะวันตก

ณ ศาลาพักม้าใกล้กับแถบกวนซาน บุรุษสวมชุดกันลมหกคนจูงม้าเข้ามา ก่อนจะยื่นม้าให้กับคนงานศาลา ให้พวกเขาป้อนอาหารม้า

ส่วนพวกเขาเองก็สั่งอาหารมาหนึ่งโต๊ะ

“ใกล้จะเข้าเขากวนแล้ว” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “การเคลื่อนไหวครานี้อย่าได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้”

บุรุษข้างกายเขาเอ่ย “วางใจเถิดพี่ใหญ่ ยังไม่รู้ถึงศักยภาพของพวกเราอีกหรือ วรยุทธ์องค์หญิงไม่ได้สูงส่งอีกต่อไปแล้ว อาศัยแค่ทหารคุ้มกันในสุสานฮ่องเต้พวกนั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้อย่างไร”

คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ย “ต้องจัดการให้หมดจด อย่าให้ผู้ใดสืบสาวมาถึงฝ่าบาทได้”

“เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว”

“นอกจากนี้ เป้าหมายที่พวกเราต้องฆ่ามีแค่องค์หญิง ทหารคุ้มกันของสุสานฮ่องเต้หลบเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็ค่อยฆ่า จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง”

“ทราบแล้วพี่ใหญ่!”

พวกเขากินอาหารบนโต๊ะกันเรียบร้อย

คนที่เป็นหัวหน้าก็ทิ้งแท่งเงินไว้บนโต๊ะแท่งหนึ่ง แล้วพาคนไปจูงม้าออกมาจากคอกม้า ก่อนออกจากศาลาพักม้าไป

ฟากฟ้าดำทะมึน ในภูเขาร้อนอบอ้าว

ชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ฝนจะตกอีกแล้ว”

คนที่เป็นหัวหน้าทอดมองสุสานฮ่องเต้ที่อยู่ไม่ไกล แววตาเย็นเยียบเอ่ย “ฝนตกหนักจะกลบกลิ่นอายได้ เหมาะกับการสังหารพอดี”

เขาเอ่ยพลางเอาผ้าดำจากคอขึ้นมาคลุมหน้า

คนอื่นๆ ที่เหลือก็พากันคลุมหน้าด้วยเช่นกัน

เขาออกคำสั่ง “ออกเดินทาง!”

พวกเขากุมบังเหียนแน่น ชักกระบี่พกออกจากบั้นเอว พุ่งทะยานไปทางสุสานฮ่องเต้ท่ามกลางราตรีสีมืดพร้อมกับไอสังหารพวยพุ่ง!

ก่อนจะถึงสุสานฮ่องเต้ ต้องข้ามสะพานเชือกไปก่อน

ในขณะที่พวกเขาควบม้าเหยียบสะพานเชือกนั้นเอง ลูกเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งก็พุ่งทะยานผ่านด้านหลังตัวเองไป พร้อมกับไอสังหารและเสียงแหวกอากาศคมกริบยิ่ง ราวกับแหวกกระชากราตรีสีมืดเป็นทางยาว

คนที่เป็นหัวหน้าพลันระแวงระวังขึ้น ฟันลูกเกาทัณฑ์ดอกนั้นสะบั้นด้วยกระบี่!

“ใครน่ะ!”

เขาดึงบังเหียนแน่น หยุดอยู่ตรงปากทางเข้าสะพานเชือก

เขาหยุดลง ชายชุดดำด้านหลังอีกห้าคนก็พากันหยุดตาม

ทุกคนเรียงแถวหน้ากระดาน คนที่เป็นหัวหน้าควบม้าหันหัวเดินมาหยุดลงตรงหน้าสุดของขบวน สองตาดุจเพลิงทอดมองเด็กหนุ่มที่ควบม้ามาทางพวกเขาท่ามกลางราตรีสีมืด

แสงจันทร์ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม มือหนึ่งเขาถือธนู อีกมือกำบังเหียน ทั่วทั้งร่างเปล่งรัศมีอันทรงพลังของมัจจุราชโลกันตร์ออกมา!

พวกเขาต่างตกตะลึง

คนที่เป็นหัวหน้ามองเด็กหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างลุ่มลึก หรี่ตาลงเล็กน้อย ถามขึ้นอีกครา “เจ้าเป็นใคร”

กู้เจียวดึงลูกธนูสามดอกจากด้านหลังมาขึ้นคันชัก เล็งไปที่อีกฝ่าย “คนที่จะเอาชีวิตพวกเจ้า!”

เอ่ยจบ นางก็ปล่อยมือทันที ลูกธนูออกจากสาย!

เกาทัณฑ์สามดอกพุ่งตัวออกไปพร้อมกันแท้ๆ กลับทำได้อย่างง่ายดาย เกาทัณฑ์ทั้งสามไม่ได้เล็งไปที่ใครทั้งนั้น แต่เป็นใต้เกือกม้าของพวกเขาแทน

ม้าตกใจจนยกขาหน้าขึ้น แทบจะกลายเป็นยืนสองขา ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว

พวกเขารีบพลิกตัวลงจากหลังม้า กลิ้งตัวอย่างคล่องแคล่วสองสามหน ก่อนจะทรงตัวให้มั่นคงตรงพื้นที่ว่างหน้าสะพานเชือก

คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเย็น “ไอ้หนู ฝีมือธนูใช้ได้นี่! เจ้ามาจากค่ายธนูไหนล่ะ”

ค่ายธนูรึ

คนที่เหลืออีกห้าคนได้ยินประโยคนี้จึงอดชะงักกันขึ้นมาไม่ได้

คนที่ยิงธนูเป็นมีไม่น้อย แต่มือธนูในค่ายทหารกับยอดฝีมือในหมู่ชาวบ้านธรรมดาๆ นั้นมีความแตกต่างกันอยู่

นึกไม่ถึงว่าไอ้หนูนี่จะเป็นมือธนูของค่ายทหาร มิน่าจึงได้ต้อนพวกเขาทั้งหกคนลงจากหลังม้าได้ในชั่วพริบตา

กู้เจียวยังคงไม่เปลืองน้ำลายกับพวกเขา

นางชักธนูขึ้นคันอีกหน

คนที่เป็นหัวหน้าแค่นเสียงอย่างไม่ยี่หระ “ไอ้หนู เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าทำเช่นนี้จะโจมตีพวกเราให้บาดเจ็บได้ พวกเจ้าข้ามสะพานกันไปก่อน ข้าจะจัดการกับมันเอง!”

ถูกบีบให้ลงจากหลังม้าไม่ใช่ว่าพวกเขาวรยุทธ์ไม่ดี เป็นม้าที่ดีไม่พอต่างหาก

ความจริงแล้ว พวกเขาลงจากม้ามาแล้วต่างหากถึงจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง!

กู้เจียวยิงธนูอีกสามดอก!

มีเพียงดอกเดียวที่เล็งหัวใจของคนที่เป็นหัวหน้า อีกสองดอกที่เหลือยิงเบี้ยวหมด

คนที่เป็นหัวหน้าเกือบหลุดขำ “ก็นึกว่าเจ้าจะมีความสามารถอะไรเสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เอง!”

เขายกกระบี่ขึ้นฟันลูกธนูที่ยิงแยกมาทางเขาอย่างสบายๆ

“พี่ใหญ่!”

ชายชุดดำคนหนึ่งด้านหลังเขาร้องตะโกนขึ้น

เมื่อเขาหันกลับไปดู ก็เห็นลูกธนูสองดอกที่นึกว่ายิงเบี้ยวปักลงบนเชือกอีกฝั่งของสะพานเชือกอย่างแม่นยำ เรี่ยวแรงมหาศาลมาก เล็งเป้าแม่นยำ นึกไม่ถึงว่าจะตัดเชือกของสะพานทั้งอย่างนั้นได้!

ระยะห่างถึงเพียงนี้!

เชือกบางถึงขนาดนั้น!

เขาทำได้อย่างไรกัน!

เซิ่งตูมีมือธนูมากความสามารถทั้งอายุน้อยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

คนที่เป็นหัวหน้าตวาดกร้าว “ไอ้หนู! ฝีมือธนูของเจ้าไปร่ำเรียนมาจากไหน!”

น่าเสียดายที่กู้เจียวก็ยังไม่คิดจะสนใจเขาอยู่ดี

เสียงสะพานขาดผึงถล่มลงมา!

“พี่ใหญ่! สะพานขาดแล้ว!”

แววตาคนที่เป็นหัวหน้าเย็นเยียบขึ้นถึงขีดสุด “ไอ้หนู! เจ้ารนหาที่ตายสินะ…”