บทที่ 812 พิชญาเสียสติ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เมื่อได้ยินคำถามของเด็กๆ นัทธีก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กน้อย พูดอย่างอ่อนโยนว่า“หม่ามี๊ยังนอนอยู่ คงไม่ลงมาแล้ว วันนี้หม่ามี๊ยังต้องไปแข่งขันอีก ดังนั้นเราไม่ให้หม่ามี๊ไปส่งเราแล้วนะ ให้หม่ามี๊ได้พักผ่อน ”

“ก็ได้ ให้หม่ามี๊พักผ่อน การแข่งขันของหม่ามี๊ก็เหนื่อยเหมือนกัน”ไอริณพยักหน้าให้อย่างเชื่อฟัง

มีเพียงอารัณที่เหล่มองนัทธี รู้แก่ใจดีว่าทำไมหม่ามี๊ถึงลงมาไม่ได้

หม่ามี๊ไม่ใช่คนประเภทที่พรุ่งนี้มีการแข่งขัน แล้วจะไม่ลงมาส่งพวกเขาเป็นแน่

ตรงกันข้าม ระหว่างเรื่องการแข่งขันกับพวกเขา หม่ามี๊ให้ความสำคัญกับพวกเขามากกว่า

ต้องเป็นพ่อที่เมื่อคืนรังแกหม่ามี๊อีกแน่ ไม่อย่างนั้นหม่ามี๊ไม่มีทางลุกไม่ไหวเด็ดขาด

แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ให้หม่ามี๊ไปส่ง เวลาที่พวกเขาไป จะได้ไม่ต้องมาอาลัยอาวรณ์กัน ไม่แน่ไอริณก็อาจจะร้องไห้ขึ้นมาอีก

ตอนนี้หม่ามี๊ไม่อยู่ ไอริณไม่เห็นหม่ามี๊ ก็ยังจะไม่ร้องไห้

“ประธานนัทธี พวกคุณจะไปกันแต่เช้าแบบนี้ ไม่ให้วารุณีไปส่งจริงๆเหรอคะ?”ที่บันได ไม่รู้ว่าลีน่าตื่นมาตอนไหน มองไปยังสามคนพ่อลูกในห้องนั่งเล่นและเอ่ยถาม

นัทธีผละมือออกจากศีรษะของเด็กน้อย ตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง“ เธอเหนื่อยแล้ว ปล่อยให้เธอได้นอนเถอะ”

ลีน่าจิ๊ปาก“ที่วารุณีเหนื่อย ไม่ใช่เพราะคุณหรอกเหรอ ช่างมันเถอะ ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของพวกคุณ ฉันคงจะพูดอะไรมากไม่ได้ แต่หากวารุณีตื่นแล้วไม่เห็นพวกคุณ ต้องเสียใจมากแน่ๆ ถึงตอนนั้น ฉันจะช่วยปลอบเธอให้เอง”

นัทธีแสดงท่าทีขอบคุณที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นกับเธอ“ขอบคุณมาก”

“มาขอบคุณอะไรกัน วารุณีเป็นเพื่อนของฉัน ที่ฉันทำมันก็สมควรแล้ว” ลีน่าโบกมือให้แล้วกล่าว

นัทธีจูงมือของเด็กทั้งสอง “งั้นพวกเราไปก่อนนะ”

“ลาก่อนครับ/ค่ะคุณน้าลีน่า ”เด็กทั้งสองคนโบกมือให้ลีน่าอย่างว่าง่าย

ลีน่าโบกมือให้อย่างอาลัย “ลาก่อน อย่าลืมคิดถึงน้าด้วยนะ ”

“ครับ/ค่ะคุณน้าลีน่า เราจะคิดถึงแน่นอน” เด็กน้อยสองคนรับคำ

หลังจากนั้น นัทธีก็จูงมือของเด็กทั้งสอง เดินไปที่ประตูคฤหาสน์

สำหรับกระเป๋าเดินทางของพวกเขา บิ๊กและบอดี้การ์ดคนอื่น ได้เอามันขึ้นรถไปก่อนแล้ว

ไม่นาน สามคนพ่อลูกก็เดินทางออกจากคฤหาสน์ไป จนตอนที่วารุณีตื่น สามคนพ่อลูก ก็ใกล้จะถึงบ้านแล้ว

เมื่อวารุณีรู้ว่าสามคนพ่อลูกได้จากไปตอนรุ่งสาง แถมยังไม่บอกลาเธออีก ภายในใจก็รู้สึกเศร้ามาก

แต่เธอก็รู้ว่าที่สามคนพ่อลูกทำแบบนี้ นอกจากจะอยากให้เธอได้นอนเต็มอิ่มแล้ว ก็ไม่อยากให้บรรยากาศในการจากลานั้นหดหู่จนเกินไป

ดังนั้นวารุณีภายใต้การปลอบประโลมของลีน่า ก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินทางไปยังสนามแข่ง

แต่ในตอนเที่ยง ระหว่างที่โทรคุยกับนัทธี วารุณีก็ไม่วายจะพูดบ่นกับชายหนุ่ม

หากไม่ใช่เมื่อคืนเขาเอาแต่รังแกเธอ เธอจะนอนสลบแบบนี้ได้ยังไง ?

นัทธีฟังคำต่อว่าของหญิงสาว นอกจากหัวเราะเสียงเบา ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง

และเขาก็รู้ด้วยว่า หญิงสาวไม่ได้โกรธจริงจัง

แต่แล้ว หลังจากที่วารุณีพูดบ่นอยู่นาน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันอีกสักพัก แล้วจึงวางสายไป

เพราะเป็นเวลาพักเที่ยงวารุณีก็จึงได้ใช้โอกาสนี้ กดโทรหานัทธี

ตอนนี้เกมการแข่งขันในช่วงบ่ายกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ก็จึงคุยต่อไม่ได้

กลับมาที่สนามแข่ง ลีน่าตะโกนเรียกเธอ “วารุณี”

“ว่ายังไง?”วารุณีเงยหน้ามองไป เห็นเพียงน้ำขวดหนึ่งลอยเข้ามาทางตัวเอง

วารุณีรีบยื่นมือมา รับน้ำนั้นเอาไว้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะ ”

“ขอบใจอะไรกัน การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ฉันคิดว่าเธอจะมาสายเสียอีก กำลังจะออกไปตามเชียว” ลีน่ากล่าวพร้อมเปิดขวดน้ำของตัวเอง

วารุณีเดินไปแล้วนั่งลง “ จะมาสายได้ยังไง ฉันกะเวลาได้ ”

“ฉันกลัวเธอจะคุยกับประธานนัทธีจนลืมนะสิ ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคน ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง ? ” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้ม

วารุณีหลุดขำด้วยเช่นกัน“พอแล้ว ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว มาตรวจแบบร่างกันดีกว่า”

“อืม”ลีน่าพยักหน้าให้ และเริ่มตรวจดูแบบร่างไปพร้อมกับเธอ

การแข่งขันในตอนนี้ ได้เข้าสู่ช่วงจุดเดือด ผู้เข้าแข่งขันกว่าร้อยคน ตอนนี้ถูกคัดออก จนเหลือเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันในแต่ละกลุ่ม ก็เหลือเพียงสมาชิกแค่สามถึงสี่คน

จะเห็นได้ว่าอัตราการถูกคัดออกระหว่างการแข่งขันนั้น สูงมากแค่ไหน

หากเป็นแบบนี้ต่อไป เต็มที่ก็น่าจะอีกเดือนหนึ่ง ก็สามารถจบการแข่งขันนี้ได้ และรู้ผลการแข่งขัน

ตอนบ่าย หลังจบการแข่งขันในวันนี้ วารุณีกับลีน่าก็เดินทางออกจากสนามแข่ง

บนรถ จู่ๆวารุณีก็ได้รับสายโทรทางไกลระหว่างประเทศ

เป็นสายที่โทรมาจากโรงพยาบาลจิตเวช

สาเหตุที่โรงพยาบาลจิตเวชโทรหาเธอ คงเป็นเพราะเรื่องของพิชญา

แต่แล้ว ทันทีที่รับสาย ปลายสายก็พูดขึ้นว่า“สวัสดีค่ะคุณวารุณี ฉันเป็นหมอประจำคนไข้ของโสรยา ครั้งนี้ที่โทรมา เพื่อจะรายงานอาการของโสรยาให้คุณได้รู้ ”

“เชิญพูดมาเลยค่ะ”วารุณียกมือขึ้น

จะว่าไป หากไม่ใช่เพราะสายนี้โทรมา

เธอคงจะลืมคนที่ชื่อพิชญานี้ไปแล้ว

เพราะหลังจากที่พิชญาถูกควบคุมตัวในโรงพยาบาลจิตเวช เธอก็ไม่ได้สนใจคนคนนี้อีกเลย

เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็ย่อมจะลืมบุคคลนี้ไป

ไม่รู้เหมือนกัน ว่าหมอประจำตัวของพิชญาโทรมา มีเรื่องอะไรกัน

“คืออย่างนี้ค่ะคุณวารุณี ที่ฉันโทรมา อยากจะแจ้งให้คุณทราบว่า พิชญาเธอเสียสติไปแล้ว ”คนที่อยู่ปลายสายพูดขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้น หลังของวารุณีก็เหยียดตรง สีหน้าจริงจังขึ้นมา“ เรื่องจริงเหรอคะ?”

“จริงค่ะ”หมอตอบ“ เราสะกดจิตพิชญามาตลอด ให้พิชญากินยา ดังนั้นนานวันเข้า สภาพจิตใจของเธอก็จึงถดถอย จนตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

นี่จึงเป็นความน่ากลัวของโรงพยาบาลจิตเวช

แม้จะพูดว่าผู้ป่วยทางจิตจะได้รับการบำบัดที่นั่น แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีการฟื้นตัว ตรงกันข้ามอาการป่วยทางจิตจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นที่เรียกว่าโรงพยาบาล ไม่สู้เรียกมันว่าคุกสำหรับคนป่วยทางจิตดีกว่า

ผู้ป่วยทางจิตไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในนั้น ขณะเดียวกัน คนปกติถูกขังเอาไว้ภายในเป็นเวลานาน สภาพจิตใจก็จะค่อยๆถูกหลอมรวมเข้ากับโรงพยาบาลจิตเวช และในที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตขึ้นมาจริงๆ

วารุณีขังพิชญาอยู่ในนั้น เพราะพิชญาเคยแกล้งบ้ามาก่อน บวกกับพิชญาทำเรื่องเลวร้ายไว้อีกมากมาย ดังนั้นเธอก็จึงให้พิชญาได้กลายเป็นคนบ้าจริงๆ

ในเมื่อพิชญาชอบแกล้งเป็นคนบ้าดีนักไม่ใช่เหรอ ?

แค่ไม่คิดว่า พิชญาจะเข้มแข็งกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก ถูกขังอยู่เป็นเวลานานขนาดนั้น ก็เพิ่งจะเสียสติขึ้นมาจริงๆในตอนนี้

ไม่พูดไม่ได้ พิชญาก็ยังมีเรื่องให้เธอต้องทึ่งอยู่ไม่น้อย

“ฉันทราบแล้ว ขอบคุณที่โทรมาบอก ”วารุณีเหยียดมุมปาก ตอบกลับเสียงเรียบ

เธอไม่กะจะไปดูพิชญา

เพราะยังไงสุภัทรก็ตายไปแล้ว ระหว่างเธอกับพิชญา ก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอีก จึงย่อมไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปดู

“ยินดีค่ะคุณวารุณี นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำ แต่บุคคลนี้หลังจากนี้จะให้จัดการยังไงคะ ? ” หมอถาม

วารุณีคลึงไปที่ขมับ“ ในเมื่อเธอเสียสติไปแล้ว ก็ไม่ต้องขังเธอเอาไว้ในห้องอีก ปฏิบัติต่อเธอเหมือนผู้ป่วยคนอื่นๆ อะไรควรทำก็ดำเนินการได้ ขอแค่เธอไม่ฟื้นตัวแล้วเป็นพอ ”

ขอแค่พิชญาไม่กลับมาเป็นคนปรกติอีก เธอก็พร้อมจะดูแลพิชญาไปตลอดชีวิต

ปล่อยให้พิชญาเสียสติไปตลอดชีวิต ก็ถือเป็นการลงโทษพิชญาอย่างหนึ่ง

เพราะเรื่องบางเรื่อง การตายก็ไม่ใช่การลงโทษที่ดีที่สุด ให้มีชีวิตแบบตายทั้งเป็นจะดีกว่า

“ทราบแล้วค่ะคุณวารุณี ฉันจะดำเนินการให้ค่ะ”ปลายสายตอบกลับมา