ที่จริงเรื่องราวไม่ถูกต้องอยู่บ้าง อาลักษณ์หลินมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ในโถง รู้สึกว่าไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก
“พวกเราเคยพบกัน” ฟางจิ่นซิ่วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ปีนั้นวันที่สามเดือนสามที่หอจิ้นอวิ๋น ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์”
วันที่สามเดือนสาม อาลักษณ์หลินด่ามารดาคำหนึ่งในใจ สำหรับเขาแล้วนั่นไม่ใช่ความทรงจำที่มีความสุขอันใด
ก็ตรงนี้แหละที่ไม่ถูก
พูดไปแล้วเขากับคุณหนูจวินไม่ได้เป็นสหายสนิทอันใดกระมัง ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นศัตรูกันนะ
บุตรสาวของเขาถูกนางทำร้ายจนชื่อเสียงย่อยยับ จนถึงวันนี้ยังกักขังไว้ที่ศาลบรรพชนของตระกูล วัยแรกแย้มก็เสียเวลาไปเช่นนี้ แม้นายหญิงหลินจะไหว้วานคนหาคู่หมายในสถานที่ไกลหน่อยให้บุตรสาวแล้ว แต่ชีวิตนั่นก็ไม่เหมือนกับชีวิตที่คุณหนูหลินเดิมทีควรครอบครองอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
เขาไม่แก้แค้นให้บุตรสาวก็ช่างเถิด กลับยังต้องฟังคำของนาง ช่วยนางอีก ทั้งนางยังพูดเสียเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ เหมือนตนติดค้างน้ำใจนาง
อาศัยอะไร!
“นางบอกว่าใต้เท้าหลินท่านเป็นคนดี” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ย
คนดี?
อาลักษณ์หลินมองฟางจิ่นซิ่ว ดวงหน้านี้แปลกตานัก เขาก็นึกไม่ออกว่าคุณหนูจวินคนนั้นหน้าตาอย่างไร
แต่แววตาเย็นยะเยือกของสตรีคนนี้ตรงหน้าทำให้เขาฉุกคิดได้
ครั้งนั้นที่หอจิ้นอวิ๋น คุณหนูจวินคนนั้นก็เคยใช้สายตาเช่นนี้มองเขา
เขาคิดถึงความลับที่สตรีคนนั้นข่มขู่ตน ความลับนี่เพียงพอทำให้เขาไปตายได้อย่างแท้จริง ทั้งยังลากทั้งตระกูลไปด้วย
บุตรสาวของท่านไม่ดีถูกลงโทษไปแล้ว ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นข้าเลือกไม่สังหารท่าน
พูดเช่นนี้ เหมือนตนติดค้างน้ำใจนางจริงๆ แล้ว
อาลักษณ์หลินยื่นมือกุมหน้าผาก
“คุณหนูฟาง ท่านจะฟ้องอะไรตระกูลฟาง? ทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูหรือ?” เขาเอ่ยถาม
หากเป็นเรื่องนี้ก็ไม่นับว่ายุ่งยากนัก เขาแค่บากหน้าไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟางพูดดีๆ สักหน่อย
“ไม่ใช่ ข้าต้องการแบ่งสมบัติตระกูล” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
มือที่กุมหน้าผากของอาลักษณ์หลินตบหน้าผากทันที
สารเลว!
เรื่องคุณหนูสองคนของตระกูลฟางแย่งสมบัติเขาย่อมรู้เช่นกัน ยังชมดูสนุกสนานอยู่เลย ตอนนายหญิงผู้เฒ่าฟางลงมือรุนแรงจับคุณหนูสองคนกลับไปกลางถนนใหญ่ให้เต๋อเซิ่งชางเปิดร้านอีกหน เขายังเสียดายอยู่นิดๆเลย
ก่อเรื่องเพิ่มอีกสักหลายวันดีเท่าไร ทุกคนจะได้ดูละครไหม
คิดไม่ถึงละครนี่ถึงกับเกี่ยวโยงมาถึงเขาที่นี่แล้ว
เขาเพียงอยากชมละครไม่อยากเล่นละครตกลงไหม
“คุณหนูฟาง เจ้าเด็กสาวตัวคนเดียวจะแย่งอย่างไรเล่า?” เขาสูดลมหายใจลึกคำหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่รู้กฎหมาย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้นตามตรง “ดังนั้นถึงจะเชิญอาลักษณ์หลินธำรงความยุติธรรมแล้ว”
อาลักษณ์หลินในใจด่ามารดาคำหนึ่ง ถลึงตาจนกลม เท่ากับให้เขาคิดวิธีสิ? พวกเจ้าเพียงออกคนก็พอรึ?
พวกเจ้า อาลักษณ์หลินเอ่ยในใจ เห็นชัดยิ่งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฟางจิ่นซิ่วหัวร้อนจะมาทำ
เรื่องนี้เห็นชัดยิ่งว่าเป็นความคิดของตัวก่อเภทภัยคนนั้น
ตัวก่อเภทภัยคนนี้เหี้ยมจริงเชียว ถึงกับจะแย่งสมบัติตระกูลกับตระกูลท่านยาย น่ากลัวจริงๆ
อาลักษณ์หลินสีหน้าเปลี่ยนไปมา ตัวก่อเภทภัยที่น่ากลัวเช่นนี้กระทั่งครอบครัวของตนยังงับปากกัดคำหนึ่งอย่างไม่ลังเลสักนิดได้ นับประสาอะไรกับเขาคนแปลกหน้าคนนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้ข่มขู่เขาได้ ตอนนี้นางชื่อเสียงเลื่องลือจะบีบตนเองให้ตายยิ่งง่ายดายประหนึ่งบี้มดตัวหนึ่งตาย
ตระกูลฟางหาเรื่องไม่ง่าย ทว่าตัวก่อเภทภัยคนนี้ยิ่งหาเรื่องไม่ง่าย สหายตายข้าไม่ตายก็พอแล้วกัน
“ใครมานี่ซิ” เขาตะเบ็งเสียงเอ่ย
นอกประตูขุนนางตำแหน่งน้อยขานรับเข้ามา
“ไปดูซิว่าใต้เท้านายอำเภอว่างหรือไม่” อาลักษณ์หลินเอ่ย
ขุนนางผู้น้อยขานรับจากไป ไม่นานนักก็บอกว่าใต้เท้านายอำเภอเพิ่งตื่นกำลังเล่นกับแมวอยู่
ในฐานะอาลักษณ์ที่อยู่อำเภอหยางเฉิงมาหลายสมัย พบกับนายอำเภอที่รู้จักไมตรี เรื่องมากมมายล้วนฟังคำของเขา
ส่วนคนที่ไม่รู้จักไมตรี อาลักษณ์หลินจะคิดวิธีให้เขาย้ายสถานที่ไป นี่สำหรับเขาผู้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับขุนนางในอำเภอทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยากอะไร
อาลักษณ์หลินลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ยืนอยู่ตรงหน้าฟางจิ่นซิ่วอีกหน
“แม้ข้ามีวิธีให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางถูกฟ้อง ทว่าคุณหนูสามฟาง ชื่อเสียงนี่ของท่านคงไม่น่าฟัง” เขาเอ่ย
คุณหนูสองคนนั้นของตระกูลฟางแย่งสมบัติตระกูลยังพูดไปได้ อย่างไรก็เป็นบุตรที่นายหญิงใหญ่ฟางให้กำเนิดเอง แต่ฟางจิ่นซิ่วคนนี้ไม่ต้องพูดถึงเป็นบุตรอนุ อนุภรรยามารดาผู้ให้กำเนิดนางยังลอบทำร้ายทายาทตระกูลฟางอีกแน่ะ
ชาติกำเนิดบุตรอนุเช่นนี้ไม่หนีไปไกลโพ้นขอบคุณบุญคุณตระกูลฟางที่ไม่สังหาร ยังวิ่งออกมาแย่งสมบัติตระกูล ช่าง…เดรัจฉานก็สู้ไม่ได้กระมัง?
“ข้าต้องการชื่อเสียงไปทำอันใด” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเรียบๆ “กินได้หรือดื่มได้หรือ?”
ก็ถูก
อาลักษณ์หลินหัวเราะแล้ว ในใจนับถือคุณหนูจวินคนนั้นอีกครั้ง
ได้ยินว่าฟางจิ่นซิ่วคนนี้หลังออกจากตระกูลฟางก็ถูกคุณหนูจวินรับไว้ที่เมืองหลวง เก็บเด็กสาวคนนี้ไว้ก็เอาออกมาจัดการตระกูลฟางได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำลายชื่อเสียงของตัวนางเองอีก
“คุณหนูสามฟางรอสักครู่ ตอนนี้ข้าจะไปหารือกับใต้เท้านายอำเภอ”
……………………………………….
……………………………………….
ขณะที่ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็พบพ่อค้าคนนั้นอีกครั้งเช่นกัน
“อับอายจริงๆ ในบ้านเกิดเรื่องนิดหน่อย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางแสดงท่าทางขออภัย
บุรุษวัยกลางคนยิ้ม
“ตระกูลใหญ่ กิจการใหญ่ เด็กเติบใหญ่แล้ว นี่ล้วนยากเลี่ยง” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถือสา
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ไม่เอ่ยวาจาอื่นอีกลุกขึ้นทันที
“คุยเล่นไม่ต้องพูดแล้ว เสียเวลาพวกท่านมาหลายวันเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราขนใส่รถเถอะ” นางเอ่ย
บุรุษวัยกลางคนก็ไม่เอ่ยถ้อยคำเกรงใจอมยิ้มลุกขึ้น
คนรับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลฟางล้วนถูกให้ถอยหลบไปแล้ว มุมที่คลังสวรรค์อยู่รถสี่คันจอดไว้เรียบร้อย ผู้ติดตามที่บุรุษวัยกลางคนพามายืนทิ้งแขนแนบลำตัวอยู่
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองพื้นที่ถอดแผ่นหินหลอกออกไป สีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง
“นายหญิงผู้เฒ่า การค้าไม่ทำแล้ว แต่มิตรภาพนี่ยังคงอยู่” บุรุษวัยกลางคนอมยิ้มเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเก็บรอยยิ้มเหม่อลอยไป พยักหน้าหลายหน
“เชิญเถิด ข้าพาพวกท่านเข้าคลัง” นางเอ่ยพลางเอากุญแจดอกหนึ่งออกมา
บุรุษวัยกลางคนอมยิ้มมองนาง สีหน้าติดจะผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่ตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกำลังจะเปิดแผ่นหิน ก็มีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
นี่เป็นผู้ติดตามที่บุรุษวัยกลางพามา
“นายท่าน ไม่ดีแล้วขอรับ ด้านนอกคนมากมาย” เขารีบร้อนเอ่ย “คนของทางการก็มาด้วยแล้ว”
ทางการ?
บุรุษวัยกลางคนกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนหน้าถอดสี
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
……………………………………….
……………………………………….
“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”
อาลักษณ์หลินที่ถูกปล่อยเข้ามาจากนอกประตูกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“คุณหนูสามของบ้านท่านฟ้องขอให้คืนสมบัติตระกูลที่ควรได้ ใต้เท้านายอำเภอจึงให้ข้าน้อยมาถามสักหน่อย”
สมบัติตระกูลอีกแล้ว!
คุณหนูสาม?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าถมึงทึง
“อาลักษณ์หลินล้อเล่นแล้ว บ้านข้ามีคุณหนูแค่สองคน ไม่มีคุณหนูสาม” นางเอ่ยอย่างเย็นชา “เชิญใต้เท้านายอำเภอไล่คนไปก็พอ”
พูดจบพลันสะบัดแขนเสื้อจะส่งแขก อาลักษณ์หลินกลับไม่ก้าวเท้า เจ้าพนักงานข้างกายก็ยังก้าวเข้าไประวังผู้คุ้มกันของตระกูลฟาง
“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง อย่างไรก็เชิญไปสักครั้งเถิด มีสิ่งใดพวกเราพูดกันในศาลให้เรียบร้อย จะได้สะดวกให้คำอธิบายแก่ประชาชน” เขาเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจัด
“เรื่องตระกูลข้าต้องให้คำอธิบายอันใดกับผู้อื่น” นางตวาด
อาลักษณ์หลินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“คุณหนูสามฟางบอกว่านางถูกขับไล่ออกจากตระกูล มารดานางก็ถูกใส่ร้าย” เขาเอ่ยขึ้น
พูดอย่างอื่นก็ช่างเถิด แต่คำนี้แตะเส้นขีดจำกัดของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแล้ว นางก้าวเข้าไปก็ถ่มน้ำลาย
“เหลวไหลไร้สาระ” นางเอ่ยด่า
อาลักษณ์หลินสีหน้านิ่งสงบเช็ดน้ำลายบนเสื้อผ้าไป
“ดังนั้น อย่างไรก็เชิญนายหญิงผู้เฒ่าฟางไปกับพวกเราสักเที่ยวเถิด พูดเหลวไหลไร้สาระหรือไม่ ประโยคสองประโยคพูดให้กระจ่างก็เรียบร้อยแล้วไหมขอรับ” เขาเอ่ย “ข้าอยู่ข้างนอกรอท่าน”
พูดจบก็เดินออกไป ยืนอยู่นอกประตูไม่ไปจริงๆ นี่ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ยิ่งสงสัยใคร่รู้ ถกเถียงกันอื้ออึง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจนตัวสั่น ส่วนบุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ความโกรธก็ค่อยๆ เกิดขึ้นเช่นกัน มองลอดช่องประตูเห็นชาวบ้านที่ออเต็มดูเรื่องสนุกข้างนอก แล้วเห็นเจ้าพนักงานทั้งหลายของทางการสอดส่องในคฤหาสน์ทำหน้าทำตาเหมือนโจร
แล้วยังเป็นบุตรสาวอนุภรรยาที่ถูกขับไล่ ทั้งแย่งสมบัติตระกูล ทั้งบอกว่ามารดาของบุตรอนุถูกใส่ร้ายอีก ไม่มีหนึ่งเดือนเรื่องนี้คงเรียบร้อยไม่ได้
“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง” แววตาของเขาทะมึนลงช้าๆ “นี่จะจบไม่จบ เจ้าไม่อยากคืนเงินทุนของพวกเราใช่หรือไม่?”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสูดลมหายใจลึก
“เรื่องนี้ข้าจะจัดการทันที” นางเอ่ย “ขอให้ท่านเชื่อข้า”
บุรุษวัยกลางคนมองนางอย่างเย็นชา
“หวังว่าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังอีก” เขาเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางคำนับให้เขา ยกเท้าเดินไปข้างนอก
“ใครมานี่ซิ เตรียมรถไปที่ว่าการอำเภอ” นางเอ่ยสั่ง
รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางทะลุผ่านฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ ตามคณะของอาลักษณ์หลินมาถึงที่ว่าการอำเภอ ฟางจิ่นซิ่วหมุนตัวมามองนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดินเข้าประตู
ไม่ได้พบกันเนิ่นนานแล้ว
แต่ไม่มีอารมณ์อบอุ่น ถึงขั้นไม่มีความโกรธแค้น
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฟางจิ่นซิ่ว
“นางอยู่ไหน?” นางเพียงเอ่ยถามเสียงเย็น
…………………