บทที่ 682 ชนะขาดลอย!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 682 ชนะขาดลอย!

นักบวชย่างกระต่ายเก่งใช้ได้ทีเดียว น้ำมันบนตัวกระต่ายเดือดปุดๆ ถูกรีดจนออกมา เขาบดเกลือแล้วโรยลงไปเป็นครั้งคราว ภายในวัดหอมอบอวลด้วยกลิ่นเกลือพริกไทย

กู้เจียวกลืนน้ำลายดังเอือก

นางเริ่มวาดวงกลมตั้งแต่แรก ค่อยๆ กลายเป็นการวาดกระต่าย กระต่ายย่าง กระต่ายน้ำแดง กระต่ายผัดเผ็ด ยำกระต่าย…

จริงๆ แล้วบนตะแกรงนอกจากกระต่ายย่างแล้ว ยังมีเห็ดย่างอีกสองสามไม้

แต่กู้เจียวอยากจะกินแต่กระต่าย

ในที่สุด เนื้อกระต่ายก็สุกแล้ว

พระภิกษุดึงมีดเล่มเล็กอันคมกริบออกมาจากแขนเสื้อของเขาและกำลังจะหั่นขากระต่ายออกมา แต่ทันใดนั้น ก็มีกระแสพลังปราณที่รุนแรงดังมาจากนอกวัด

กู้เจียวจ้องมองอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะยืนขึ้น

ยามนี้ท้องฟ้ายังไม่มืด แต่ขอบฟ้ามีสีหม่นหมอง มองดูแล้วให้ความรู้สึกถึงลางร้าย

กระแสพลังปราณใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงวัตถุพัดผ่านกิ่งไม้ในป่า

นี่คือวิชาตัวเบา

เร็วกว่าวิชาตัวเบาของกู้เฉิงเฟิงเสียอีก

ต้องรู้ไว้ว่าวิชาตัวเบาของกู้เฉิงเฟิงนั้น สามารถหลบหนีองครักษ์หลงอิ่งได้

การเคลื่อนไหวหยุดลงที่ลานว่างนอกวัด

กู้เจียวรับรู้ได้ถึงสามพลังปราณ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังปราณของเทียนหลัง! และพลังปราณหนึ่งในนั้นยังแฝงอยู่เหนือพลังปราณของเทียนหลังอีกด้วย!

“พวกเจ้าที่อยู่ข้างใน ออกมาเดี๋ยวนี้!”

มีคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาจากกลุ่มสามคน

กู้เจียวมองผ่านประตูที่เปิดแง้มอยู่ เห็นแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งสามคนแต่งตัวปลอมแปลงมา แต่กระบี่ที่คาดเอวอยู่นั้นตรงกับกระบี่ขององครักษ์เสื้อแพรทั้งหกคนในวันนั้น

พวกเขาคือคนของวังหลวง

นักบวชนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ย่างเนื้ออย่างสบายใจราวกับไม่ได้ยินอะไร

“อย่าแอบเลย! กล้าฆ่าคน แต่ไม่มีกล้ายอมรับความจริงหรืออย่างไร”

กู้เจียวคว้าทวนพู่แดงที่วางอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปด้วยท่าทางสง่างาม

ทวนพู่แดงที่นางถืออยู่นั้นวางลงบนพื้นอย่างหนักแน่นและทรงพลังทำให้พื้นดูเหมือนจะสั่นไหว

แววตาของทั้งสามคนต่างปรากฏความประหลาดใจขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าคนที่พวกเขาตามหาจะเป็นเด็กที่อายุน้อยเช่นนี้

ชายที่แข็งแกร่งที่สุดสวมเสื้อคลุมสีม่วง ส่วนอีกสองคนสวมเสื้อคลุมสีดำ

ชายเสื้อคลุมสีม่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคือคนที่ฆ่าองครักษ์เสื้อแพรของวังหลวงใช่หรือไม่”

กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ย “ใช่ ข้าเอง แล้วอย่างไร พวกเจ้านี่ถึงขั้นไม่คิดจะปิดบังกันอีกแล้วหรืออย่างไร”

ชายเสื้อคลุมสีม่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “หึ กับแค่คนหนึ่งคน มีอะไรที่ต้องปิดบังกัน”

กู้เจียวมองเขาแล้วเอ่ย “ช่างหยิ่งยโสเสียจริง”

องครักษ์เสื้อแพรด้านซ้ายเอ่ย “หยิ่งยโสที่สุดคือเจ้าต่างหาก! กล้าฆ่าคนของวังหลวงเชียวหรือ ผู้ใดส่งเจ้ามา”

องครักษ์เสื้อแพรด้านขวาก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “สวี่เอ้อ พวกเราคงเข้าใจผิดหรือเปล่านะ เจ้าหนูคนนี้ดูยังอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ฆ่าองครักษ์เสื้อแพรทั้งหกคนได้”

เด็กน้อยตรงหน้านั้นยังเด็กและดูอ่อนเยาว์เกินไป แม้ว่าพลังปราณในตัวเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่น่าจะฆ่าองครักษ์เสื้อแพรหกคนได้ภายในพริบตา

ชายเสื้อคลุมสีม่วงขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ไอ้หนู เจ้ามีพวกพ้องหรือไม่”

กู้เจียวเอ่ย “มีหรือไม่มี เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”

ชายเสื้อคลุมสีม่วงเอ่ย “พวกข้าใช้เวลาห้าวันในการตามหาเจ้ามาที่นี่ ต้องยอมรับว่าเจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้าง แต่ถึงตอนนี้มันจบแล้ว วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

กู้เจียวเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะตายเมื่อไหร่ แต่ข้ารู้แน่ว่าพวกเจ้าจะตายเมื่อใด” นางจ้องมองพวกเขาทั้งสามคนอย่างไร้ความกลัว พลางเอ่ยอย่างท้าทาย “พวกเจ้าจะเข้ามาทีละคน หรือจะเข้ามาพร้อมกัน”

ความเคียดแค้นพุ่งถึงจุดสูงสุดในทันใด!

ชายเสื้อคลุมสีม่วงเผยโฉมก่อนจะเอ่ย “ไอ้หนู เจ้าอยากตายเร็วๆ ข้าจะสงเคราะห์เอง! บุกพร้อมกัน!”

กู้เจียวยกมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือทวนพู่แดงขึ้น ทำท่าหยุดมือ “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้บอกว่าจะสู้กับพวกเจ้า”

ทั้งสามคนงุนงง

กู้เจียวพุ่งกลับเข้าไปในวัดร้างอย่างรวดเร็ว หลบไปอยู่หลังนักบวชและยื่นหัวเล็กๆ ออกมา ชี้ไปที่นักบวชด้วยนิ้วของนาง “พวกเจ้าไปสู้กับเขา!”

นักบวช “…”

ทั้งสามคน: “…”

ในวัดอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อย่างและเห็ดย่าง นักบวชไม่อยากทำลายผลผลิตทางอาหารที่ตนลงแรงมาถึงหนึ่งชั่วโมง จึงลุกขึ้นเดินออกไป

ชายเสื้อคลุมสีม่วงฮึดฮัดพลางเอ่ย “เป็นแค่นักบวช! เจ้ากับเด็กคนนั้นเกี่ยวอะไรกัน”

นักบวชถอนหายใจอย่างรำคาญ “จะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ไป ข้าไม่ชอบพูดจามากความ”

องครักษ์เสื้อแพรด้านขวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “หยิ่งยโสยิ่งกว่าเด็กคนนั้นเสียอีก มาดูกัน!”

เขาพุ่งเข้าใส่นักบวชเป็นคนแรก

กู้เจียวกัดเนื้อกระต่ายย่างหอมกรุ่นไปด้วย ชมการต่อสู้ของทั้งสามคนไปด้วย

นางฆ่าเทียนหลังมาแล้วสองคน ครั้งหนึ่งนางใช้อาวุธช่วย อีกครั้งนางถอดเครื่องรางคุ้มครองออก และทุกครั้งนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

นี่เป็นโอกาสที่นางได้สังเกตเทียนหลังจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์

เร็วมาก!

เร็วกว่าองครักษ์เสื้อแพรทั้งหกคนมาก

หมัดของเขาพุ่งมาถึงหน้านักบวชในพริบตา

นักบวชไม่สามารถหลบได้ทันเหรอ เหตุใดถึงไม่ขยับ

หมัดนี้โดนเข้าหัวไป หัวของนักบวชคงจะสั่นสะท้านแน่ๆ

แรงปะทะของหมัดทำให้จีวรของนักบวชปลิวไปข้างหลัง นักบวชจ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา จนกระทั่งหมัดของเขาเกือบจะกระทบกับสันจมูกของเขา นักบวชก็ยกมือขึ้นคว้าข้อมือของเขา

“พวกท่านทั้งหลายไม่ควรมารบกวนการกินของข้า”

เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าทางใดๆ ที่ซับซ้อน เพียงแค่โยนเขาออกไป

เทียนหลังผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีทางสู้เลยแม้แต่น้อย

เมื่ออีกฝ่ายล้มลงบนพื้น เขาก็กระอักเลือดออกมาอย่างแรง และจากนั้นเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก

กู้เจียว “แข็งแกร่งมาก”

ชายเสื้อคลุมสีม่วงเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก จิตใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะต้องใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเพื่อต่อสู้กับนักบวชคนหนึ่ง”

เขาเพิ่มพลังภายในของเขาให้ถึงขีดสุด พลังอันน่ากลัวที่เหนือกว่าเทียนหลังหลายเท่าก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งดินแดน

เขาเหมือนสิงโตที่หลับใหล ในที่สุดก็อ้าปากเผยเขี้ยวที่แหลมคม

“ดูท่านี้!”

เขาพุ่งเข้าชนนักบวชอย่างรุนแรงราวกับภูเขาถล่มคลื่นยักษ์

ผ่าม!

นักบวชคว้าหน้าผากของเขาด้วยมือเดียว

ชายเสื้อคลุมสีม่วง: “…”

กู้เจียวนับกระบวนท่าวรยุทธ์

ยามต่อสู้กับเทียนหลังทั้งสองคน ใช้ไปหนึ่งและสามท่ากระบวนท่าตามลำดับ ส่วนตอนต่อสู้กับหัวหน้าเทียนหลังใช้ไปเจ็ดกระบวนท่า

กู้เจียวนึกย้อนกลับไปว่าตนเองใช้กระบวนท่าไปกี่ท่าในการต่อสู้กับเทียนหลังทั้งสองคน

อืม ลืมไปแล้วว่ากี่ท่า

แต่ไม่ใช่เพราะเยอะเกินจนนับไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน!

ตอนนี้กู้เจียวได้ตัดความเป็นไปได้ที่นักบวชผู้นี้จะเข้ามาในแคว้นเยี่ยนด้วยวิธีการตีตราทาสออกไปแล้ว

ดังนั้นเขาต้องมีใบอนุญาตเข้าแคว้นเยี่ยนอย่างถูกต้อง

เช่นนั้นแล้วคำถามก็คือ เขาได้รับใบอนุญาตเข้าแคว้นเยี่ยนมาได้อย่างไร หรือว่าเขาเป็นชาวแคว้นเยี่ยนอยู่แล้ว และถือใบอนุญาตเข้าแคว้นเยี่ยนอยู่แล้วตั้งแต่แรก

นางคุยกับเขาด้วยภาษาของแคว้นเจา แต่เขาคุยกับองครักษ์เสื้อแพรทั้งสามด้วยภาษาแคว้นเยี่ยน

เขาเอ่ยทั้งสองภาษาอย่างได้อย่างดีเยี่ยม

ที่จริงนอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว นางยังมีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งในใจนั่นคือ เขาจะมาปรากฏตัวที่ด่านชายแดนได้อย่างไร และบังเอิญเจอนางที่กำลังถูกคนจากวังหลวงไล่ล่าอีก

เป็นความบังเอิญหรือเปล่า

หรือว่า…

ขณะที่ความคิดของนางกำลังพลุ่งพล่านอยู่นั้น นักบวชก็เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย

เสื้อผ้าของเขาไม่มีรอยเปื้อนใดๆ และไม่เปรอะด้วยเลือดแม้แต่หยดเดียว สะอาดมากจนมองแวบแรกก็เหมือนกับนักบวชผู้หลุดพ้นจากทางโลก

ใครจะคาดคิดว่านักบวชคนนี้จะฆ่าคนได้เร็วกว่ามือสังหาร

เขาสะบัดแขนเสื้อกว้างแล้วนั่งลงข้างกองไฟ

กู้เจียวถาม “เมื่อกี้ใช่กระบวนท่ายุทธ์อะไร”

ตอนแรกนางมองไม่เห็นกระบวนท่า แต่หลังจากนั้นนางก็พอจะสังเกตได้บ้างว่า มีระเบียบแบบแผน ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อใช้ต่อสู้กับนักฆ่าที่เก่งกาจ

นักบวชหัวเราะแล้วเอ่ย “ทำไม อยากเรียนรึ”

กู้เจียวพยักหน้าแล้วตอบ “อืม”

นักบวชเอ่ย “ไม่สอน”

กู้เจียว “…”

เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องถาม

นักบวชเริ่มลงมือกินกระต่าย เขากำลังยื่นมือไปหยิบแต่เหลือแต่เพียงเศษเนื้อเท่านั้น!

กู้เจียวเรอเล็กน้อย

นักบวชกัดฟันโมโห เขานั่งย่างมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้เขาจะชิงกินเสียก่อน

นักบวชดึงขาหลังกระต่ายที่เหลือครึ่งหนึ่งออกมาจากเตาย่าง แก้สายรัดขวดเหล้าที่เอวออก แล้วกินเนื้อและดื่มเหล้าไปด้วย

กู้เจียวกำลังจะกลับไปนอนในกองฟาง

ทันใดนั้น เมื่อนางลุกขึ้น นักบวชที่กำลังกินอยู่ครึ่งหนึ่งก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหัน และพุ่งไปขี่หลังของกู้เจียว!

ใช่แล้ว ขี่หลัง

ไม่ใช่หลบหลัง

กู้เจียว เกิดอะไรขึ้น

กู้เจียวถามด้วยความงุนงง “เจ้าเป็นอะไร”

นักบวชที่นอนราบอยู่บนหลังนางและถือขากระต่ายและถุงเหล้าตะโกนติดอ่าง “งู งู งู งู งู!””

“อ๋อ” กู้เจียวเห็นงูที่อยู่ใต้โต๊ะ นางเดินไปหางูพร้อมกับแบกเขาไว้ ก้มลงจับหางงูแล้วยกมันขึ้น เอ่ยอย่างสงบ “เป็นงูกะปะตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีพิษ”

นักบวชที่เพิ่งฆ่าสามมือสังหารอย่างห้าวหาญเมื่อวินาทีที่แล้ว กลับกลายเป็นขี้ขลาดในวินาทีถัดมา

เขาตะโกน “เอาออกไป เอาออกไป! เอาออกไปเร็วๆ !”

กู้เจียวเอียงศีรษะเล็กน้อย “เจ้ากลัวงูรึ”

นักบวช “ข้าไม่กลัว!”

กู้เจียวพยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วโยนงูตัวเล็กไปด้านหลัง

“โอ้ โอ้ โอ้!” ขนทั้งตัวนักบวชลุกตั้งชัน!

ร่างของเขาอ่อนแรงลง ไม่มีแรงที่จะเกาะหลังกู้เจียวอีกต่อไป เขาหงายหลังลงไปบนพื้น

ทันใดนั้นกู้เจียวก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เขาถูกงูกัด

ข้าก็บอกแล้วนี่นาว่าแม้จะเก่งขนาดนี้ แม้แต่เสือก็ยังฆ่าได้ง่ายๆ แต่เหตุใดถึงถูกงูกัดได้

ก็เพราะเห็นงูแล้วอ่อนแรง ทำอะไรไม่ถูกอย่างไรล่ะ

กู้เจียวยิ้มร้าย ถืองูกะปะตัวเล็กเดินตรงมาหาเขาทีละก้าว

“หึหึหึ” นางหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย

น่ากลัวเกินไปแล้ว

นักบวช “…”

นักบวชเรียก “แม่หนู! เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าจะทำอะไรน่ะ”

กู้เจียวย่อตัวลง ยื่นงูกะปะตัวเล็กให้เขาตรงหน้า โบกมือแล้วเอ่ย “งูตัวเล็กจะคิดอะไรร้ายๆ ได้ล่ะ อย่างมากก็แค่อยากกัดเจ้าน่ะแหละ ใครใช้เจ้าไม่อยากสอนวิชาให้สาวน้อยที่ฉลาดที่สุดในแคว้นนี้สักนิดล่ะ”

งูกะปะตัวเล็ก: “…”

นักบวช: “…”