War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2193
ตอนที่ 2,193 : โฉมงามแดนเหนือ

สตรีที่กำลังเหินเข้าใกล้เจียนผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์ส่วนตัวคนรองของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม เวินเยี่ยน!

นอกจากนี้นางยังเป็นคนที่รายงานเรื่องก่านหรูเยี่ยนกับหอคุมกฏ!

และเนื่องจากรายงานของนาง เค่อเอ๋อแม่ลูกถึงได้ถูกคนของหอคุมกฏพบตัว สุดท้ายก็ถูกจับไปกักขังไว้ที่หอคุมกฏ!

ต่อมาเมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงลัทธิบูชาไฟ เขาจึงได้รู้…ว่าสาเหตุหลักที่เค่อเอ๋อกับลูกสาวเขาต้องมาตกระกำลำบากเป็นผลสืบเนื่องมาจากรายงานของนางคนเดียว! ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเห็นนางเป็นศัตรู!!

ศิษย์พี่ของนาอย่างปู้หงที่เคยออกหน้าแทนนาง เขาก็ทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมันไปแล้ว

และก่อนที่จ้าวแท่นบูชามังกรครามจะทันได้ออกหน้าลงมือกับเขาในเรื่องนี้ เขาก็ลอบออกจากลัทธิบูชาไฟไปเสียก่อน

เมื่อต้วนหลิงเทียนหวนกลับมาอีกครั้ง อาจารย์ของนางอย่างจ้าวแท่นบูชามังกรครามก็ไร้โอกาสล้างแค้นให้ศิษย์ทั้ง 2 อีกต่อไป…

นั่นเพราะการกลับมาของต้วนหลิงเทียน เป็นการกลับมาพร้อมพลังอันน่าสะพรึงกลัว! ถึงขั้นที่อาจารย์ของนางยังทำได้แค่ก้มหัว!!

“ตะ…ต้วน ต้วนหลิงเทียน!”

เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มที่กำลังเหินมาเบื้องหน้าและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าเวินเยี่ยนก็ซีดลง ร่างบางยังสั่นสะท้านไปอย่างแรงด้วยความหวาดกลัวจับใจ

ชายหนุ่มเบื้องหน้านั้นมาในชุดสีม่วง ไม่ได้เป็นเครื่องแบบเหมือนเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของลัทธิบูชาไฟแต่อย่างไร จึงทำให้โดดเด่นเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เวินเยี่ยนหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่ใช่ชุดที่แต่งตัวตามอำเภอใจของอีกฝ่าย แต่เป็นใบหน้าของอีกฝ่ายต่างหาก!

ถึงแม้นางจะเคยเห็นใบหน้านี้ครั้งเดียวจากรูปเหมือน แต่นางก็จดจำขึ้นใจไม่มีวันลืม!

ตอนนี้พอได้เห็น ก็ตกใจกลัวราวเห็นผี!

“ต้วนหลิงเทียน หลังจากที่จ้าวลัทธิออกแถลงการณ์เป็นการส่วนตัว ก็ได้หวนคืนสู่ลัทธิบูชาไฟ…และด้วยพลังฝีมืออันแข็งแกร่งจึงได้เป็นถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ”

“หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟ อีกฝ่ายก็ได้สยบจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว รวมถึงสยบจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิง ที่พลังฝึกปรือพึ่งบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ใน 3 กระบี่”

“ยังบุกไปฆ่ารองจ้าวหอคุมกฏต่งหยวนจิ้นกับบุตรชายอย่างอุกอาจถึงเขตหวงห้ามของหอคุมกฏ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งหยวนจิ้นที่ถึงกับถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาจ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง…”

ข่าวเหล่านี้เป็นเวินเยี่ยนได้รับทราบมาจากคนในเกาะศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่นางพึ่งออกจากการปิดด่านวันนี้

นางได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังมาระยะหนึ่งแล้ว นางจึงไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นหลังต้วนหลิงเทียนออกมาจากกับดักของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเลย ความรู้ความเข้าใจในตัวต้วนหลิงเทียนของนางยังเหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน

นางกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง…

ว่าการปิดด่านบ่มเพาะของนางครั้งนี้ พอออกมาโลกภายนอกจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่!

วันนี้ต้วนหลิงเทียนได้เติบโตก้าวหน้าขึ้น ถึงจุดที่กระทั่งอาจารย์ของนาง จ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย ยังไม่กล้าออกหน้าจัดการต้วนหลิงเทียนให้นางได้อีกต่อไป! ทำให้นางได้แต่เก็บงำความแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียนเอาไว้ลึกสุดใจ…

เพราะนางกับต้วนหลิงเทียน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป…

นางไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติจะเป็นศัตรูกับต้วนหลิงเทียนไปตลอดชั่วชีวิต…

อย่างไรก็ตามเวินเยี่ยนไม่คิดไม่ฝันเลยว่านางจะโชคร้ายถึงขนาดนี้!

นางแค่เดินทางกลับจากเกาะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น! แต่ดันมาพบเจอเข้ากับต้วนหลิงเทียนกลางทาง!!

เมื่อนึกถึงเรื่องราวอันน่ากลัวที่ต้วนหลิงเทียนกระทำมาเมื่อไม่กี่วันก่อน นางรู้สึกเสมือนสองขาบางๆของนางมีตะกั่วหมื่นพันชั่งลากถ่วงเอาไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆได้

“เวินเยี่ยน?”

ในขณะเดียวกัน ด้านต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบเวินเยี่ยนเช่นกัน

นอกจากนั้นเขายังไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะได้บังเอิญพบเจอคนที่รายงานฟ้องก่านหรูเยี่ยนกับหอคุมกฏ ขณะที่เขาออกมาสูดอากาศด้านนอกและพยายามหาหนทางไปเรื่อย…

ยิ่งพอนึกถึงเรื่องที่เค่อเอ๋อแม่ลูกประสบชะตากรรมถูกคุมขังในหอคุมกฏ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นทันที ทำให้เวินเยี่ยนรู้สึกเสมือนพลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง หน้านางซีดลงไร้สีเลือดด้วยความตกใจกลัว ร่างบางยังสั่นสะท้านไปอย่างแรง!

ทันใดนั้นเอง…

“เหอะ!”

เสียงแค่นสบถเย็นชาหนึ่งอันควบผสานไปด้วยพลังเซียนสุริยันกล้าแกร่ง พลันระเบิดออกไปจากร่างก่อเกิดเป็นพลังกดดันไร้สภาพอันไร้เทียมทานกวาดสะท้านสะเทือนแผ่นฟ้าโถมเข้าใส่เวินเยี่ยน!

พริบตานั้นเวินเยี่ยนก็ถูกแรงกดดันอันน่าสะพรึงกดทับเข้าร่างอย่างแรง! ร่างบางยิ่งมายิ่งสั่นราวเจ้าเข้า ใบหน้ากลายเป็นไร้สีเลือด ยังกระอักโลหิตออกปากคำใหญ่!!

ฝุ่บ!

แทบจะพร้อมกกันกับที่กระอักโลหิตออกมา ร่างเวินเยี่ยนก็ทิ้งตัวลงคุกเข่ากลางอากาศ ร่ำร้องวิงวอนขอความเมตตาต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงสั่น น้ำตาไหลรินเป็นสาย “ขอใต้เท้าผู้พิทักษ์หลิงเทียนเมตตาละเว้นผู้น้อยด้วย…ขอใต้เท้าผู้พิทักษ์หลิงเทียนละเว้นผู้น้อยด้วยเจ้าค่ะ!”

นางรู้ดีแก่ใจ

ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะฆ่านางทิ้งตรงนี้ ก็นับเป็นเรื่องราวอันขี้ประติ๋วนัก! ไม่มีทางที่จะมีใครคิดเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางหรือหาความจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย…

เพราะถึงแม้นางจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟ แต่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนที่เป็นถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ตัวตนของนางนั้น…ช่างไร้ราคาเสียจนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!

สำหรับลัทธิบูชาไฟแล้ว ต่อให้มีนางสักร้อยคน ก็ไม่สู้มีต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียว!

เผชิญหน้ากกับการคุกเข่าวิงวอนร่ำร้องขอความเมตตาน้ำตานองหน้าอย่างขี้ขลาดของเวินเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยสายตาชิงชังรังเกียจ ทั้งขยะแขยงนัก หากแต่เขาก็ไม่คิดจะฆ่านางให้เสียมือ!

ความเคลื่อนไหวต่อมาก็เพียงสืบเท้าก้าวออกไปคนละทางกับที่เวินเยี่ยนคุกเข่ารองขอความเมตตาเท่านั้น

ฟุ่บบ!

ต้วนหลิงเทียนคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นสายลมหอบหนึ่ง พัดผ่านร่างเวินเยี่ยนที่กำลังหวาดกลัวเสียขวัญและตึงเครียดจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปในพริบตา…

แค่แรงกดดันจากพลังของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้นางบาดเจ็บจนกระอักเลือด หากอีกฝ่ายคิดฆ่านางขึ้นมา กระทั่งตายนางคงไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายอย่างไร…

จนเมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้วจริงๆ เวินเยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกหนาวสะท้านจับใจนัก แผ่นหลังยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความหวาดกลัว!

‘ดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณเจ้าแบบนี้ ถือเป็นบทลงโทษของเจ้าแล้วกัน…’

นี่คือความคิดในใจของต้วนหลิงเทียนขณะเขาเหินร่างผ่านเวินเยี่ยน…

ที่แท้ในขณะที่เขาเหินร่างผ่านเวินเยี่ยน เขาได้ใช้เวทย์พลัง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ ผสานพลังวิญญาณดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนออกจากดวงจิตนางในเวลาเพียงชั่วพริบตา! ยังกลืนกินจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ!!

นี่เป็นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งสามารถกระทำได้หลังทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เปลี่ยนจิตวิญญาณสวรรค์ เขาสามารถผสานปฐมเวทย์กลืนกินเข้ากับพลังวิญญาณใช้ออกได้อย่างแยบคาย!

ณ ตอนนี้ตราบใดที่อีกฝ่ายมีพลังวิญญาณอ่อนด้อยกว่าเขาระดับหนึ่ง เขาสามารถดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างไร้ร่องรอย โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว!

เวินเยี่ยนเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน ระดับพลังวิญญาณของนางก็เป็นแค่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน ห่างชั้นจากพลังวิญญาณระดับเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนคนละโลก!

เรียกว่าด้วยระดับพลังวิญญาณของเขาตอนนี้ ผู้ที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนลงมา ไม่มีทางรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ!

แต่แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้มันสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของเขาอย่างมหาศาล!

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ หลังเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนอย่างไร้ร่องรอย พลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาก็พร่องหายไป!

หากเขาเลือกที่จะดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนด้วยวิธีการรุนแรง อย่างดูดกลืนตรงๆให้นางเจ็บปวดทรมาน เขาก็แทบไม่เปลืองพลังวิญญาณแม้แต่น้อย เพราะมันไม่จำเป็นเลย…

เรื่องราวทั้งหมดเวินเยี่ยนย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา

“โชคดีที่มันมิได้ทำอะไรข้า…หาไม่แล้วข้าได้ตายแน่…”

เวินเยี่ยนหลังพบว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว นางก็อดกล่าวรำพันออกมาพลางถอนหายใจไม่ได้ ตอนนี้นางรู้สึกว่าโชคดีเสมือนได้เกิดใหม่…

หากแต่ลึกลงไปในแววตาของนาง ยังคงเผยประกายดุร้ายรุนแรง ราวกับนางอยากจะฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นพันๆชิ้นด้วยสองมือคู่นี้ของนาง…

แน่นอนว่านอกจากความดุร้ายแล้ว ยังมีความไม่ยินยอมอยู่ด้วย

“อีก 3 เดือน ลูกสาวของธิดาเทพจะถูกประหารงั้นรึ?”

“เฮ่อ เด็กน้อยนั่นช่างน่าสงสารยิ่ง นางเพียงแค่เกิดมา และไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่กลับต้องมาตกตายเพราะชาติกำเนิดเช่นนี้…”

“หากจะโทษก็โทษที่นางชะตาอาภัพเกิดมาผิดครอบครัวเถอะ…หากชาติหน้ามีจริงข้าหวังว่าเด็กน้อยนั่นจักไปเกิดในครอบครัวที่ดี….”

“อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ช่างแปลกนัก…นี่มันก็นานมาแล้วแต่ท่านจ้าวลัทธิยังมิมีทีท่าว่าจะลงโทษธิดาเทพเลย ทว่ากลับเลือกจะลงโทษลูกสาวของธิดาเทพก่อน ช่างชวนให้ผู้คนฉงนใจยิ่ง…”

เมื่อเข้าสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มได้ยินบทสนทนาที่เป้นทำนองเดียวกันมากมาย

“ชะตาอาภัพเกิดมาผิดครอบครัว?”

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายหนักแน่นจริงจัง “ซือหลิง พ่อไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปเด็ดขาด…ไม่มีวัน!”

….

ณ ทางเหนือ ดินแดนที่อุดมไปด้วยหิมะตกกระหน่ำตลอดทั้งปี…

ฮู้ววว! ฮูววว! ฮู้วววว!!

เป็นพายุหิมะที่โถมกระหน่ำซัดสาดโลกหล้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน ปุยขาวเย็นดั่งขนนกที่หลุดร่วงตกฟ้าหนาทึบ บดบังทัศนวิสัยผู้คนให้ยากแลเห็นสิ่งใด มองไปทางใดก็เห็นเพียงผืนหล้าที่ปกคลุมไปด้วยชั้นขาวเยียบเย็นปานผ้าห่มหนา…

และหากมองผ่านห่าปุยเย็นขาวละเอียดนี้ไปได้ จะพบว่ามีร่างสะโอดสะองค์ 2 ร่างยืนหยัดท้าลมยะเยือกบนยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน

ถึงแม้หิมะจะกระหน่ำถาโถมลงมาปานจะย้อมชโลมให้โลกจมปุยขาว แต่พิกลนักยามพวกมันเข้าใกล้ร่างบางทั้ง 2 พวกมันก็แยกย้ายไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น ลำพังคิดแตะต้องเสื้อผ้ายังยาก นับประสาอะไรจะแบ่งปันความเย็นให้กร้ำกรายผิวกระจ่าง…

เป็นสตรีสองนางที่มีรูปโฉมพิลาศล้ำสะท้านแดนดินนัก…

ยามพวกนางยืนหยัดเคียงกันเช่นนี้ ปานจะรังแกสรรพสิ่งทั่วหล้าให้ละอาย ทิวทัศน์ที่ธรรมชาติรังสรรค์ปานจะหม่นหมองลงไปถนัดตา

“พี่สาวเทียนหวู่ พี่ใหญ่หลิงเทียนช่างร้ายกาจยิ่ง! พี่ใหญ่สังหารจ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนนั่นได้ง่ายๆเลย! นั่นมันอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียนเชียวนะ!!”

หนึ่งในสตรีที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดานั้น เป็นความงามที่แลดูสนุกสนานซุกซนนางหนึ่ง แววตาของนางคล้ายจะเต็มไปด้วยความขี้เล่นสดใส ชวนให้ผู้คนอยากดูแลทะนุถนอม ทั้งอยากปกป้องนางให้มีแต่ช่วงเวลาเริงร่านัก ยิ่งแก้มชมพูระเรื่อยามยิ้มสดใสนั่น ยังมีอานุภาพทำร้ายใจชาย ชวนให้ผู้คนหมั่นเขี้ยวอยากขบงับลงเบาๆสักครา…

“โอย…เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากผ่านการยกระดับพรสวรรค์ทั้งพลังจาก มหาค่ายกลพลิกชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราแล้ว ข้าจะสามารถเหนือกว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนได้เสียอีก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นได้แค่ฝัน!”

สตรีงามแลดูสดใสกล่าวสืบต่อ นางยังกล่าวบ่นออกมาหน้ามุ่ยแก้มป่องแลดูน่าเอ็นดูนัก

“ทำไมเล่า เฉวี่ยไน่ เจ้าอยากแข็งแกร่งกว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนมากเลยหรือ?”

สตรีงามหมดจดอีกคนในชุดสีแดงเพลิง อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มบางๆหลังได้ยินวาจาของสตรีข้างกาย

“มิใช่เช่นนั้นหรอก…”

สตรีที่ถูกเรียกหาว่าเฉวี่ยไน่ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ในใจของข้าพี่ใหญ่หลิงเทียนย่อมร้ายกาจที่สุด…ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณอันใดนั่น ก็สู้พี่ใหญ่หลิงเทียนของข้าไม่ได้หรอก!!”

ได้ยินคำตอบนี้ สตรีในชุดแดงเพลิงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้างามยิ่งมายิ่งคลี่กางกว้างขึ้น สุดท้ายก็อดมได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ

“เอ๋า พี่สาวเทียนหวู่ ไฉนถึงหัวเราะข้าเล่า?”

สตรีข้างๆพลันทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง

“มิมีใด…ข้าเพียงคิดว่าหากตอนนี้พี่ใหญ่หลิงเทียนรู้ว่า เฉวี่ยไน่ ของเรามีพรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือร้ายกาจถึงขนาดไหนแล้ว พี่ใหญ่ต้องตกใจมากแน่ๆ”

สตรีในชุดแดงเพลิงส่ายหัวไปมา ค่อยหันไปกลั้นยิ้มทางอื่น

บางเรื่องราวนางได้ให้สัญญากับผู้อื่นไว้แล้ว ย่อมไม่สะดวกเปิดเผยออกมามากกว่านี้

ฟังจากบทสนทนาของสตรีงามทั้ง 2 ก็สามารถบอกตัวตนที่พวกนางเปิดเผยในวาจาได้ทันที

เป็น หานเฉวี่ยไน่ กับ เฟิ่งเทียนหวู่ นั่นเอง

สองนางนี้ดั่งสตรีสะคราญโฉมแห่งแดนเหนือก็ไม่ปาน รอยยิ้มของพวกนางหนึ่งทำให้ทิวทัศน์หม่นหมอง อีกหนึ่งก็ล่มได้ทั้งเมือง…