บทที่ 683-2 องค์หญิงกลับมาแล้ว (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 683 องค์หญิงกลับมาแล้ว (2)

กลางดึก กู้เจียวฝัน

หลังจากมาถึงเมืองเซิ่งตู นางก็ฝันบ่อยขึ้นอย่างสังเกตได้ แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อนางตื่นขึ้นมา นางมักจะลืม แต่ในความฝันทุกอย่างกลับเชื่อมโยงกันราวกับเป็นหนึ่งเดียว

ตัวอย่างเช่น เมื่อนางมาถึงในฝัน นางก็จำได้ทันทีถึงสวนที่เต็มไปด้วยดอกระฆังและสุสานที่ไม่มีป้ายหลุมศพ

คืนนี้ไม่ใช่สวนหรือสุสาน แต่เป็นสนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาล ทหารม้าเหล็กทอง เลือดนองทุ่ง ต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน มีทหารล้มตายอยู่ตลอดเวลา หมอกเลือดปกคลุมจนท้องฟ้าเป็นสีแดง

บนกองกระดูกนับพัน ชายคนหนึ่งสวมเกราะเงินขี่ม้าดำที่ปกคลุมด้วยเกราะเงินเช่นกัน มือหนึ่งกำบังเหียน มือหนึ่งกำทวนสีแดง

เกราะเงินของเขาอาบไปด้วยคราบเลือด แต่ดวงตาของเขาไม่มีแม้แต่ความลังเล

เขามองไปที่กองทัพนับพันตรงหน้าก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “ลูกหลานแห่งตระกูลเซวียนหยวนไม่มีวันยอมจำนนแม้จะสู้จนถึงคนสุดท้าย!”

ในวินาทีต่อมา ฉากในความฝันก็เปลี่ยนไป

ยังคงเป็นชายผู้นั้น

เขาสวมเกราะเงินยืนอยู่ที่หน้าค่ายบัญชาการ จ้องมองขุนนางตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กบฏอย่างนั้นหรือ ตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏแล้วอย่างไรเล่า สวรรค์ไม่ยุติธรรมต่อตระกูลเซวียนหยวน ตระกูลเซวียนหยวนก็จะขอต่อต้านสวรรค์!”

“อินอิน…อินอิน…”

ใช่ เสียงของชายคนนั้น

ฉากฝันเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เสียงของเขาในฉากนี้อ่อนโยนและอบอุ่นเป็นพิเศษ

แต่หน้าตาของเขาช่างดูน่าสลดหดหู่ยิ่งนัก

ไหล่ของเขาถูกลูกธนูยิง ขาก็ถูกลูกธนูยิงอีกสองดอก เขานอนอยู่บนพื้น เลือดอาบไหลนอง

เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง

ข้างกายเขา มีเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสองขวบนั่งอยู่

“ท่านลุง ท่านลุงเลือดออก ท่านลุงเลือดออกเยอะมาก”

เขายิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช็ดเลือดบนฝ่ามือโดยไม่ทิ้งร่องรอยบนชุดเกราะ จากนั้นยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหญิงตัวเล็ก “ลุงไม่ได้เลือดออก ลุงกำลังเล่นกับอินอินอยู่”

เด็กหญิงตัวน้อยหันศีรษะไปมา ราวกับกำลังตรวจสอบความจริงในคำเอ่ยของเขา

จากนั้นนางก็ถามขึ้น “ท่านลุงเจ็บไหม”

เขายิ้มพลางเอ่ย “ไม่เจ็บเลยสักนิด อินอิน เรามาเล่นกันดีไหม”

“เล่นอะไรหรือ” เด็กหญิงตัวเล็กถาม

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก อดทนต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย ชี้ไปที่กระท่อมเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าพลางเอ่ย “เจ้าเห็นกระท่อมเล็กๆ ข้างหน้าไหม”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อินอินเห็นแล้ว”

เขายิ้มอย่างอ่อนแรงพลางเอ่ย “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม แล้วเจ้าก็วิ่งไป วิ่งให้เร็วๆ อย่าหยุด และอย่าหันหลังกลับมา เจ้าหาที่ซ่อนในกระท่อม แล้วถ้าเจ้าทำให้ลุงหาไม่เจอ ลุงจะซื้อลูกกวาดให้เจ้ากิน”

เด็กหญิงตัวน้อยซ่อนตัวอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน นานจนนางหลับไปหนึ่งตื่น ท้องฟ้าที่มืดก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

นางพยายามปีนออกมาจากกล่อง นางก้าวเท้าสั้นๆ อย่างทุลักทุเลและเดินเซไปเซมา

ภูเขากลายเป็นทะเลแห่งซากศพและเลือด

ร่างเล็กของนางที่โดดเดี่ยวเดินผ่านศพที่นอนจมอยู่ในกองเลือด

“ท่านลุงอยู่ที่ไหน”

“อินอินไม่เล่นกับลุงแล้ว”

“อินอินไม่เอาลูกกวาดแล้ว อินอินเอาท่านลุง”

เด็กหญิงตัวน้อย เงยหน้าขึ้นมองกำแพงเมือง

กู้เจียว “อย่านะ…”

กู้เจียวตัวสั่น ลืมตาขึ้น

นักบวชนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ นาง มองนางด้วยสายตาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ฝันร้ายหรือ”

ดูเหมือนจะเป็นฝันร้าย แต่นางก็จำอะไรไม่ได้เลยเมื่อตื่นขึ้นมา มีเพียงภาพเดียวที่นางจำได้… ชายคนหนึ่งในชุดเกราะเงินถูกแทงด้วยทวนพู่แดงปักอยู่บนกำแพงเมือง

กู้เจียวลูบหัวใจตัวเอง

นักบวชมองนางแล้วหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อโยนใส่นาง “ให้”

“อะไร” กู้เจียวถาม

“ลูกกวาด” พระภิกษุเอ่ย

“ข้าไม่ชอบกินลูกกวาด” กู้เจียวคืนขนมให้เขา

“อ๋อ” นักบวชเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงมีคนไม่ชอบกินลูกกวาดเล่า ลูกศิษย์ตัวน้อยของข้านี่ชอบกินขนมมากเลยนะ ทุกครั้งที่เขาอารมณ์ไม่ดี แค่เอาขนมมาหลอกล่อเขา ก็จะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้ทุกครั้ง”

กู้เจียวถามเขาอย่างแปลกประหลาด “เจ้ายังมีลูกศิษย์อีกหรือ”

ลูกศิษย์แบบไหนที่รอดเงื้อมมือเจ้าเกินสามวันได้

เช่นนั้นก็คงเป็นลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งสุดๆ ไปเลย!”

ยามดึก กู้เจียวไม่ได้ฝันอีกเลย นางนอนหลับจนถึงเช้า

ร่างกายของนางไม่เป็นอะไรแล้ว ต่อให้คนจากจวนไท่จื่อจะตามล่านางอีก แม้นางอาจจะสู้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอหนีได้

ถึงเวลากลับบ้านแล้ว

“เอ๊ะ ไปไหนเสียแล้ว”

พูดไม่ทันขาดคำ

นักบวชก็มาถึงวัดร้างพร้อมกับผลไม้ป่า เขาเอ่ย “กินอะไรไปก่อน อีกเดี๋ยวต้องออกเดินทางแล้ว”

กู้เจียวถามเขา “เจ้าจะไปแล้วหรือ”

นักบวชตอบ “เจ้าไม่ไปหรือ”

กู้เจียวตอบ “ข้าไปอยู่แล้ว”

นักบวชเอ่ย “เช่นนั้นก็รีบกินแล้วออกเดินทางกัน!”

“ได้”

กู้เจียวกินผลไม้ป่าสดๆ ไม่กี่ลูก รสชาติเปรี้ยวมาก

หลังจากอิ่มแล้ว กู้เจียวก็เก็บของของนาง ยาในกระเป๋าปฐมพยาบาลเหลือไม่มากแล้ว ธนูของนางก็หายไป แต่นางสามารถทำใหม่ได้ เพราะอาจารย์หลู่และเสี่ยวซุ่นจะทำธนูสักคันนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

กู้เจียวสะพายทวนพู่แดงและตะกร้าสาน

นักบวชหยิบผลไม้เปรี้ยวเข็ดฟันที่เหลือใส่ลงไปในตระกร้าสะพายหลังของนาง “ไว้กินระหว่างทาง!”

กู้เจียวเหลือบตามองเขา “เจ้าขี้เกียจถือเองเลยยัดให้ข้าใช่ไหม”

นักบวชถือลูกประคำในมือข้างเดียว “สาธุ สาธุ พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ภิกษุได้ทำดีแล้ว”

กู้เจียว ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว

ทั้งสองเดินออกจากวัดร้าง

ว่ากันตามตรง กู้เจียวอยากจะไปดูสภาพขององค์หญิงที่สุสานฮ่องเต้ แต่นับตั้งแต่ที่จวนไท่จื่อส่งองครักษ์เสื้อแพรชุดแรกไป ผ่านไปแล้วหกวัน ทุกอย่างที่ควรจะเกิดขึ้นก็น่าจะเกิดขึ้นหมดแล้ว

เป็นไปได้ว่าองค์หญิงเคลื่อนไหวเร็วพอที่จะพบศพองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่หลังสะพาน และรีบกลับไปที่เมืองเซิ่งตูก่อนที่องครักษ์เสื้อแพรชุดที่สองจะมาถึง

หรือว่า… องค์หญิงอาจจะถูกทำร้ายแล้ว

“ข้าจะกลับไปที่เมืองเซิ่งตู เจ้าจะวางแผนไปที่ไหน” กู้เจียวถามนักบวช

“ข้า…”

นักบวชเพิ่งจะเอ่ยจบ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นไอสังหารพุ่งเข้ามาจากข้างหลัง!

นักบวชหันตัวกลับในทันใด คว้าตัวกู้เจียวให้หลบอยู่ข้างหลัง ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมารับแรงโจมตีของอีกฝ่าย!

กระบวนท่านั้นทำให้พื้นดินแยกเป็นรอยร้าว

นักบวชมองไปที่ทางเดินที่ว่างเปล่า หัวเราะเยาะพลาง “หึ กล้าโจมตีข้าจากระยะไกล ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ สาวน้อย เจ้าไปก่อนเถอะ”

กู้เจียวยื่นศีรษะเล็กๆ ออกมาจากด้านหลังเขาแล้วถาม “เจ้าสู้ได้ใช่ไหม ถ้าสู้ไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้า”

หากเป็นที่จัดการได้ด้วยกระบวนท่าเดียว นักบวชคงไม่ต้องออกหมัด พลังปราณจากฝ่ามือเมื่อครู่รุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนสู้กับเทียนหลังสามคนนั้นด้วยซ้ำ

นักบวชยิ้มอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาทรงเสน่ห์ของเขาหรี่ลง “เป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรยากเอาการ แต่ก็ไม่ถึงกับสู้ไม่ได้ ข้าให้เจ้าไปก่อนเพราะไม่อยากให้คนนั้นเห็นหน้าเจ้า เขาอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกันกับข้า ถ้าข้าสู้ไม่ได้ เขาอาจจะมาหาเรื่องเจ้าในอนาคต แน่นอนว่าถ้าเจ้าต้องการอยู่ต่อ…”

เขายังเอ่ยไม่จบ หันไปมองก็เห็นกู้เจียวที่เมื่อกี้ยังอยากจะช่วยเขา วิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันใด

นักบวช “…”

กู้เจียวใช้เวลาสองวันในการเดินทางไปกลับจากเขากวนซานไปยังเมืองเซิ่งตู

ว่ากันตามตรง คนในจวนไท่จื่อไม่รู้ว่าใครฆ่าองครักษ์เสื้อแพรชุดแรก พวกเขาพบวัดร้างจากการติดตามร่องรอยจากที่เกิดเหตุ

นางและนักบวชได้ทำลายเบาะแสทั้งหมดก่อนออกจากวัดร้าง

ตราบใดที่นางไม่ประมาท นางก็จะไม่ถูกค้นพบจากคนในวัง

กู้เจียวกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น

อาจารย์แม่หนานได้ยินเสียงม้าอยู่นอกประตู นางเดินออกไปโดยไม่ลังเลพลางเปิดประตู “เจียวเจียว!”

ช่วงนี้ หากมีเสียงกีบม้าในตรอก อาจารย์แม่หนานก็จะออกมาดู

“เจ้ากลับมาแล้ว!” อาจารย์แม่หนานมองไปรอบๆ ตรอก ก่อนจะดึงกู้เจียวเข้ามาข้างใน ปิดประตูรั้ว ลงกลอน ถามด้วยความกังวล “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม เหตุใดจึงไปนานนัก”

“ข้าไม่เป็นอะไร” กู้เจียวเอ่ย “ที่บ้านสบายดีใช่หรือไม่”

อาจารย์แม่หนานถอนหายใจพลางเอ่ย “พวกข้าไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ว่ากู้เหยี่ยนเขา… โรคหัวใจกำเริบครั้งหนึ่งในคืนที่สองหลังจากที่เจ้าจากไป โชคดีที่ยังมียาที่เจ้าทิ้งไว้ให้ เขาไข้ขึ้นทั้งคืน ตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรเป็นไรแล้ว”

คืนที่สองหลังจากที่นางจากไป ก็เป็นคืนที่นางต่อสู้กับองครักษ์เสื้อแพรพอดี

นางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นกู้เหยี่ยนจึงรู้สึกไม่สบายตัวด้วย

“ข้าจะไปดูกู้เหยี่ยน” กู้เจียวเอ่ย

“เขาเพิ่งจะหลับไป” อาจารย์แม่หนานกับกู้เจียวเดินเข้ามาในห้องของกู้เหยี่ยน

บนเตียง กู้เหยี่ยนลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ใบหน้ายังคงซีดเซียวเหมือนเคย

อาจารย์แม่หนานกระซิบ “เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ เกิดอะไรขึ้น”

กู้เจียวเหลือบมองกู้เหยี่ยนที่กำลังนอนอยู่บนเตียง พลางเอ่ยกับอาจารย์แม่หนาน “ข้าประมือกับคนจากจวนไท่จื่อ เจอปัญหาเล็กน้อย ติดอยู่ในวัดร้างอยู่หลายวัน แต่ปัญหานั้นได้ถูกแก้ไขแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

อาจารย์แม่หนานรู้ว่ากู้เจียวเป็นคนชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียว นางจึงถามย้ำ “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

กู้เจียวปฏิเสธทันที “ข้าไม่เป็นอะไร”

อาจารย์แม่หนานรู้ว่ากู้เจียวไม่ชอบบอกความจริง นางจึงเปลี่ยนเรื่อง “ลิ่วหลังมาหาเจ้าตั้งหลายครั้ง เพิ่งจะกลับไปเมื่อบ่ายนี้เอง”

ทำให้สามีและจิ้งคงเป็นห่วงเสียแล้วสินะ

กู้เจียวเอ่ย “ไว้ข้าจะเข้าไปในเมืองไปหาพวกเขา”

อาจารย์แม่หนานเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ให้เสี่ยวเฟิงพาเจ้าไป เขาเองก็มาถามข่าวคราวของเจ้าทุกวัน”

กู้เจียวตอบ “ได้สิ ว่าแต่เสี่ยวซุนและอาจารย์หลู่เล่าเจ้าคะ”

อาจารย์แม่หนานตอบ “พวกเขาไปซื้อฟืนกันน่ะ เจ้าหิวหรือยัง ข้าไปทำกับข้าวให้กิน”

อาจารย์แม่หนานออกจากห้องไป

กู้เจียวเดินมาที่เตียง ก้มลงพลางยื่นมือแตะหน้าผากของกู้เหยี่ยน

กู้เหยี่ยนค่อยๆ ลืมตาขึ้น

กู้เจียวยิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว”

น้ำคลอเบ้าในดวงตาของกู้เหยี่ยน เขามองนางไม่วางตา “เจ้าโกหก”

กู้เจียวอ้าปาก “ข้า…”

กู้เหยี่ยนเอ่ย “เจ้าบาดเจ็บ”

กู้เจียวรู้ว่า แม้จะโกหกคนทั้งโลกได้ แต่ก็ไม่อาจโกหกกู้เหยี่ยนได้

กู้เหยี่ยนชี้ไปที่ขอบเตียง “นั่งลง”

กู้เจียวจึงตอบ “ข้าตัวสกปรก”

กู้เหยี่ยนก็ไม่เอ่ยอะไร ยังคงมองนางอย่างดื้อรั้น

กู้เจียวถอนหายใจ นั่งลงข้างเตียงของกู้เหยี่ยน กู้เหยี่ยนวางหัวลงบนตักของนางและโอบรอบเอวของนาง “พี่สาว”

“หืม”

“อย่าออกไปนานๆ อีกนะ”

“ได้”

กู้เจียวเดินออกจากห้องของกู้เหยี่ยน อาจารย์แม่หนานก็ต้มบะหมี่เสร็จแล้ว

อาจารย์แม่หนานวางชามบะหมี่เนื้อแดดเดียวหน่อไม้แห้งร้อนๆ ลงบนโต๊ะแปดเซียนกลางห้องโถง พลางเอ่ยถามกู้เจียว “กู้เหยี่ยนหลับแล้วหรือ”

กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าค่ะ นอนหลับแล้ว ครั้งนี้เขาโกรธจริงๆ กว่าจะปลอบได้ก็นาน”

อาจารย์แม่หนานอดหัวเราะไม่ได้ “ปลอบได้ก็ดีแล้ว ไม่รู้หรือเจ้าหายไปกี่วัน”

กู้เจียวหยิบตะเกียบขึ้นมา ถามอาจารย์แม่หนาน “ข้าไปหลายวันแล้ว เมืองเซิ่งตูมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างไหมเจ้าคะ”

อาจารย์คิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “เรื่อง…ที่จริงก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง”

กู้เจียวที่กำลังสูดเส้นบะหมี่อยู่ ก่อนจะชะงักไป

อาจารย์แม่หนานเอ่ย “องค์หญิงกลับมาแล้ว”