ฟางเฉิงอวี่เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินออกไปแล้วเห็นคุณหนูจวินหมุนตัวนั่งข้างกองไฟก็จะยกเท้าวิ่งเข้าไป แต่จูจั้นดึงเขาไว้อีกหน
“ไปไหนเล่า” เขาเอ่ยพลางผลักเขาไปด้านนอก “รีบไปปลอบท่านย่าเจ้า เจ้าเด็กไม่กตัญญูคนนี้”
พูดจบตนก็ก้าวยาวเดินมาหาคุณหนูจวินด้านนี้
โกรธจะตายแล้ว ฟางเฉิงอี่กัดฟัน
“ท่านไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องของสตรีบุรุษอย่าสอดมือ” เขาเอ่ย
จูจั้นเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน สองสามก้าวก็มายืนข้างกายคุณหนูจวินแล้ว
ฟางเฉิงอวี่ฮึดฮัดกระทืบเท้า ได้แต่หมุนตัวตามนายหญิงผู้เฒ่าฟางไป
ไม่ทราบว่าเขาพูดอันใด ท้ายที่สุดก็ปีนขึ้นรถของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง ทิ้งผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งไว้ พาผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งจากไปอย่างฉับไว
ด้านหลังร่างค่อยๆ เงียบสงบลง มีเพียงกองไฟส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ
จูจั้นขยับไม้ฟืนท่อนหนึ่งเข้ามาช้าๆ สะกิดเท้าของคุณหนูจวิน
“ทำอะไร?” คุณหนูจวินเลื่อนเท้าออก ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่มีอะไรนี่” จูจั้นเอ่ย ปักไม้ฟืนบนพื้น “ดูว่าเจ้ากำลังทำอะไร”
นั่งอยู่ไม่ขยับชัดๆ ยังถามว่าทำอะไร
คุณหนูจวินพรูลมหายใจ
“กำลังโกรธ” นางเอ่ย
“ความคิดระหว่างคนกับคนย่อมไม่เหมือนกัน โกรธเรื่องนี้ไร้ความหมาย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้นจะมีประโยคนั้นที่ว่าไม่ชนกำแพงใต้ไม่หันกลับไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาได้อย่างไร”
“ข้าก็แค่โกรธ” คุณหนูจวินขึ้นเสียงมองเขา “ไม่ได้หรือ?”
“ได้” จูจั้นพยักหน้าหน้าขรึม “ได้แน่นอน ความหมายของข้าคือเจ้าทำถูกต้อง ที่นางทำผิด ไม่เชื่อฟังย่อมควรโกรธ”
เขาก็พูดจาน่าฟังเป็นด้วย คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง จับไม้ฟืนในมือเขาโยนเข้าไปในกองไฟ
“ข้าไม่รู้แล้วว่านางคิดอย่างไร นางคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ยขึ้น
รู้ชัดว่าบนเขามีเสือดันจะเดินทางขึ้นเขา?
ไม่ นั่นหมายถึงไม่กลัวความยากลำบาก แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางนี่เรียกอะไร แมงเม่าบินเข้ากองไฟ?
“เจ้ารู้ว่าตัวเจ้าเองคิดอะไรก็พอ” จูจั้นเอ่ย “ส่วนผู้อื่นคิดอย่างไรที่จริงอย่างไรก็ได้ เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่ศึกษาว่าผู้อื่นทำไมคิดเช่นนี้ พวกเราเพียงต้องให้เขาทำตามที่พวกเราคิดเท่านั้น”
ก็ถูก
ที่จริงนางก็ทำเช่นนี้มาตลอดนี่ ไม่ว่าตอนเพิ่งมาถึงตระกูลฟางเกลี้ยกล่อมนายหญิงผู้เฒ่าฟางผ่านการรักษาฟางเฉิงอวี่ หรือที่เมืองหลวงสร้างชื่อเสียงผ่านการรักษาฝีดาษ ผู้อื่นคิดอย่างไรมีสิ่งใดสำคัญ นางทำเรื่องที่นางต้องทำก็พอแล้ว
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ทำไมอยู่ดีๆ โกรธเช่นนี้เล่า คงเป็นเพราะเศร้าใจที่เขาไม่สู้กระมัง
นางนับคนตระกูลฟางเป็นครอบครังจริงๆ จังๆ เห็นครอบครัวคิดเพียงจะมุ่งไปตายเช่นนี้เช่นนี้ จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบา
“ท่าน ตอนรู้ว่าข้าตาย โกรธมากหรือไม่?” ฉับพลันนางก็หันหน้ามองจูจั้นแล้วเอ่ยถาม
“แน่นอน” จูจั้นเอ่ย “เจ้าเขลาบัดซบ”
คุณหนูจวินถลึงตามองเขา
“ข้ายินดี” นางเอ่ย
จูจั้นสีหน้าบึ้งวูบหนึ่ง
“ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้” เขาเอ่ย แล้วหันหน้ามองกองไฟ “เจ้าโกรธตอนนี้ยังทัน แต่เวลานั้นข้าโกรธก็ไม่มีความหมายอย่างสิ้นเชิง”
เวลานั้นตนตายแล้ว
คุณหนูจวินมองใบหน้าด้านข้างของเขา ยามไม่พูดไม่ยิ้ม บนหน้าของเขามักจะมีความเศร้าสร้อยปกคลุมอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกแล้ว เวลานี้ตอนนี้ยิ่งเห็นชัด
“ยังดีตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่ก็บ่งบอกว่า ไม่ใช่ความสิ้นหวังทั้งหมดจะไร้ความหวังจริงๆ”
จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะทีหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้นไปเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขาแล้วก็ยิ้ม จูจั้นก็ยิ้มด้วย
ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินไปหาม้าด้านนั้น
“แต่พูดขึ้นมานายหญิงผู้เฒ่าคนนี้ก็วางอำนาจเอาเรื่อง” จูจั้นเอ่ย
“ใช่แล้ว นางวางอำนาจยิ่งมาเสมอ” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ท่านก็มองออกเหมือนกันรึ?”
“มองออกสิ เห็นข้ากลับไม่ตื่นเต้นสักนิด ไม่คำนับด้วย” จูจั้นเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหัวเราะพรืดแล้ว
“นั่นเพราะนางไม่รู้จักท่าน ข้ากับเฉิงอวี่ก็ลืมแนะนำท่านด้วย นางคิดว่าท่านเป็นผู้ติดตามของข้ากระมัง” นางเอ่ยบอก
“พูดเหลวไหล” จูจั้นเอ่ยพลางเลิกคิ้ว “ข้ายังต้องให้แนะนำ? ข้าสติปัญญาสูงส่งวรยุทธ์ล้ำเลิศหน้าตาไม่ธรรมดาดูปุบก็ไม่ใช่คนธรรมดา”
คุณหนูจวินถุยทีหนึ่ง หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น
ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ มองคนสองคนพลิกกายขึ้นม้ามุ่งไปทางหยางเฉิง ผู้คุ้มกันทั้งหลายของตระกูลฟางพลันโล่งอก เมื่อครู่นายหญิงผู้เฒ่าฟางเห็นชัดว่าไม่ได้จากกับคุณหนูจวินด้วยดี ยังดีๆ คุณหนูจวินไม่ได้จากไปเสียให้จบๆ ไม่เช่นนั้นนายน้อยคงร้อนใจแล้ว พวกเขารีบติดตามไป
บนถนนใหญ่ของหยางเฉิงครึกครื้นยิ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนถกเถียงเรื่องคุณหนูสามที่เกิดจากอนุภรรยาคนนั้นของตระกูลฟางมาฟ้องตระกูลฟาง เลืาลือกันว่าระหว่างนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ แล้วออกจากที่ว่าการอำเภอ หลังจากนั้นก็กลับมาอีก แม้ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ในรถไม่ได้เผยหน้า แต่ชาวบ้านทั้งหลายที่คุ้นเคยกับฟางเฉิงอวี่มองปราดเดียวก็จำผู้คุ้มกันของเขาได้
“นายน้อยฟางกลับมาแล้ว”
“นายน้อยฟางทำไมเพิ่งกลับมา?”
“โธ่ เวลานี้กลับมาได้อย่างไร พี่สาวทั้งหลายในตระกูลจะแย่งสมบัติตระกูล เขาลำบากใจเท่าใด”
นายน้อยฟางกลับมาทำให้ทุกคนยิ่งวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาทิศทางความเป็นไปของเรื่องราว ไม่นานนักก็มีคนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินผ่านถนนใหญ่อีก
ตอนคนผู้นี้เพิ่งขี่ม้าเข้าทุกคนยังไม่ทันสนใจ จนกระทั่งผ่านไปถึงมีคนสังเกต
“นั่นไม่ใช่คุณหนูจวินหรือ?”
สตรีที่รู้สึกตัวตะโกน
สายตาทั้งหมดล้วนมองไป เห็นผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งล้อมสตรีที่ลงจากม้า แม้แค่แผ่นหลัง แม้ไม่ได้เห็นหลายปีอยู่บ้างแล้ว แต่ยังคงจดจำได้
บนถนนใหญ่ฉับพลันตกสู่ความอลหม่าน
“คุณหนูจวินก็กลับมาด้วยแล้ว”
“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นายหญิงผู้เฒ่าเชิญนางกลับมากระมัง?”
“คุณหนูจวินกลับมาก็ดีแล้ว มีคุณหนูจวินคุม เรื่องราวต้องคลี่คลายอย่างราบรื่นแน่”
อาลักษณ์หลินที่ยืนอยู่มุมถนนได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ของชาวบ้านทั้งหลายในใจก็อดไม่ได้สบถทีหนึ่ง
คนโง่เหล่านี้นี่นะ คิดว่าคุณหนูจวินคนนี้เป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ แล้ว ยังให้นางมาธำรงความยุติธรรมอีก ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นนางก่อเรื่องขึ้นมา
ช่าง…
อาลักษณ์หลินส่ายศีรษะมองไปทางแผ่นหลังของสตรีคนนั้นที่หายไปบนถนนใหญ่ แล้วอิจฉาอยู่บ้าง
ดังนั้นจึงพูดกันว่าชื่อเสียงนี่ผู้แข็งแกร่งเขียนขึ้นเอง นางแข็งแกร่ง นางจึงเป็นราชา ต่อให้สิ่งที่ทำล้วนเป็นงานของยมราช นางก็เป็นนักบุญเป็นเทพเซียนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยโลกช่วยบำบัดทุกข์เข็ญ
……………………………………….
……………………………………….
ในคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางเงียบสงบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
เห็นบุตรชายที่จากไปนาน นายหญิงใหญ่ฟางไม่ได้ดีใจอย่างที่เคยคาดคิด ตรงกันข้ามสีหน้ากลับบึ้งตึง
“เป็นแผนลับของเจ้าใช่หรือไม่?” นางตวาดเสียงเบา มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าบึ้งเดินตรงดิ่งเข้าไปปฏิเสธไม่ให้พวกนางติดตาม
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก
“ไม่นับว่าใช่กระมัง” เขาเอ่ย “แผนถูกพวกท่านเดาออกหมดแล้ว ยังนับว่าลับอะไร”
นายหญิงใหญ่ฟางสบถทีหนึ่ง
“เจ้าทำลายชื่อเสียงพวกพี่สาวของเจ้าย่อยยับแล้ว” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่หน้าขรึม
“ท่านแม่ ชื่อเสียงของพวกพี่สาวจะเสียหายเพราะเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า? อีกอย่างชื่อเสียงของพวกเราคนตระกูลฟาง ไยต้องให้คนอื่นมาตัดสิน” เขาเอ่ย เชิดคางเล็กน้อย
นายหญิงใหญ่ฟางพรูลมหายใจกำลังจะเอ่ยวาจากลับก็เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา นางตกใจสะดุ้งโหยงจากนั้นก็เข้าใจ
“ที่แท้เจ้า…” นางเอ่ย
คุณหนูจวินคำนับนายหญิงใหญ่ฟาง
“ท่านป้าตระหนกแล้ว เรื่องโดยละเอียดหลังจากนี้ข้าจะกล่าวกับท่าน” นางเอ่ย “ข้าขอไปพบท่านยายก่อน”
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าสับสนไม่พูดอีกมองคุณหนูจวินเข้าไปด้านใน นางมองบุตรชายที่หัวเราะคิกคักอยู่ข้างกายอีกหน
“ข้าไม่สนแล้ว” นางเอ่ย ยื่นมือกุมหน้าผากหมุนตัวก็จากไป
รอนายหญิงใหญ่ฟางออกไปแล้ว ฟางเฉิงอวี่กำลังจะไป ก็มีสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งมุดออกมาจากด้านข้าง
“นายน้อยเจ้าคะ นายน้อยเจ้าคะ คุณหนูรองฝากมาบอกว่านายน้อยอย่าสนใจแต่ลูกพี่ลูกน้องจนลืมพี่สาว” นางเอ่ยอย่างขลาดๆ จากนั้นทำใจกล้าเลียนแบบน้ำเสียงของฟางอวี้ซิ่ว “อย่างอื่นไม่พูด ก่อนอื่นส่งอาหารเครื่องดื่มดีๆมาหน่อย”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าไปพบพี่สาวทั้งหลายสักหน่อย” เขาเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่เดินไปทางที่ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วอยู่ คุณหนูจวินก็ก้าวเท้าเข้าห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง สาวใช้หญิงรับใช้ด้านนอกแม้พยายามขัดขวาง แต่ไหนเลยจะขวางอยู่เล่า
นายหญิงผู้เฒ่าฟางนอนอยู่บนเก้าอี้โยกคล้ายเหนื่อยอย่างที่สุด หลับตานอนหลับอยู่
“ข้าทราบว่าท่านยายเหนื่อยนัก ทว่าถ้อยคำบางอย่างข้ายังคงต้องพูด” คุณหนูจวินนั่งลงด้านข้างเอ่ยขึ้น “ท่านยาย สิ่งที่ท่านพูดไม่ถูกต้อง”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแต่ไม่ลืมตา
“ข้าไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ข้าพูดถูกต้อง” นางเอ่ย “นี่เป็นเพียงความเชื่อของข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่ถูก ข้าคิดว่าข้าถูก โต้เถียงกันไม่มีความหมายอันใด เหมือนเช่นที่บัณฑิตเหล่านั้นพูด วิถีต่างไม่ร่วมก่อการก็เท่านั้น”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ไม่ ความหมายของข้าไม่ได้จะบอกว่าความเชื่อของท่านยายถูกหรือผิด” นางเอ่ยขึ้น
นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ยังไม่ลืมตา
“ข้าจะบอกว่าเจ้าแผ่นดินคนนี้ที่ท่านเชื่อ ผิด” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
เจ้าแผ่นดินคนนี้ที่เชื่อ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางลืมตาขึ้น มองมาทางคุณหนูจวินอย่างติดจะดุดันอยู่บ้าง
“เจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรไหม?” นางเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้ารู้” คุณหนูจวินมองนาง “ที่ข้าบอกว่าอันตราย ก็คือความหมายนี้”
………………………