ตอนที่ 841 คุณธรรมของที่ปรึกษา

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 841 คุณธรรมของที่ปรึกษา

ฟางเหล่าแทบจะถูกองครักษ์ประคองขึ้นไปบนรถม้า ยังไม่ทันนั่งลงดีฟางเหล่าก็แหวกม่านสั่งการองครักษ์ที่อยู่นอกรถม้า “พวกเจ้าคนหนึ่งล่วงหน้าไปสืบข่าวก่อนว่าเมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือไม่ เมื่อรู้ข่าวแล้วจงรีบกลับมารายงานข้าทันที”

“ขอรับ!” องครักษ์คนหนึ่งรับคำแล้วจากไปทันที

เมื่อฟางเหล่าเห็นว่าองครักษ์ผู้นั้นขี่ม้าจากไปแล้ว เขาจึงลดม่านลง จากนั้นเอนกายพิงรถม้า

แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ได้แต่ภาวนาให้ข่าวที่ได้ยินคือเรื่องเข้าใจผิด

รถม้าเคลื่อนตัวออกจากเมืองซั่วหยางไปตามทางที่ขรุขระ ฟางเหล่าเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา เอาแต่คิดว่าหากฟ่านอวี๋ไหวที่มีกำลังทหารอยู่ในมือคิดกบฏสังหารองค์รัชทายาทขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำเช่นไรดี

หลังออกมาจากเมืองซั่วหยาง รถม้าแล่นไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยามท้องฟ้าก็มืดสนิทลง แม้จะเดินทางโดยใช้ถนนของทางการ ทว่า เมื่อพ้นจากเมืองซั่วหยาง…สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่พัดลู่ลมไปมา

ฟางเหล่ารู้สึกชาไปทั้งใบหน้าเนื่องจากการสั่นสะเทือนของรถม้าที่แล่นไปตามทางที่ขรุขระ ไม่นานองครักษ์ที่ฟางเหล่าสั่งให้ไปสืบข่าวก็กลับมารายงาน เขาขี่ม้าขนาบไปกับรถม้าของฟางเหล่า จากนั้นกล่าวกับฟางเหล่าที่อยู่ในรถม้า “เซียนเซิง ข้ากลับมาแล้วขอรับ”

ฟางเหล่าที่นั่งหลับตาอยู่ในรถลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง เขารีบแหวกม่านรถม้าออกพลางเอ่ยถาม “เป็นเช่นไรบ้าง”

“เมื่อครู่ข้าไปสืบข่าวจากเจ้าของโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาด้านหน้า เขาเล่าว่าช่วงหลายวันมานี้ทุกคนที่กลับมาจากเมืองหลวงล้วนกล่าวกันแต่เรื่องที่เหลียงอ๋องสมคบคิดกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าและหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ฟ่านอวี๋ไหวกบฏขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นรายงาน

ใจของฟางเหล่ากระตุกวูบ รถม้าสั่นสะเทือนจนเขารู้สึกเวียนศีรษะ

“เซียนเซิง ข้าสอบถามจากพ่อค้าที่มาจากเมืองหลวง พ่อค้าเหล่านั้นกล่าวว่าตอนนี้เมืองหลวงเข้าได้แต่ออกไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปในเมืองหลวงขอรับ ตอนนี้จะทำเช่นไรดีขอรับ!” องครักษ์ถาม

เรื่องใหญ่โตจนรับรู้กันทุกคนเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วอย่างแน่นอน…

กลับไปเมืองหลวงอาจมีแต่ตายสถานเดียว

ทำเช่นไรดี

เขาจะทำเช่นไรได้!

เขาคือที่ปรึกษาของจวนองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทคือเจ้านายของเขา!

หลายปีมานี้องค์รัชทายาทเชื่อใจเขามากกว่าผู้ใดทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นก่อนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะปรากฏตัวขึ้นก็ตาม ทว่า ในฐานะที่ปรึกษา เมื่อเขาเลือกเจ้านายแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อองค์รัชทายาท

แม้ในใจฟางเหล่าจะรู้สึกหวาดกลัวมากเพียงใด ทว่า เขาต้องกลับไป

องค์รัชทายาทคือรากฐานของแคว้นต้าจิ้น องค์รัชทายาทคือสายเลือดหลักของแคว้น เขาคือคนต้าจิ้น…เขาต้องกลับไปปกป้องสายเลือดหลักของแคว้น

ดังนั้นต่อให้ฟางเหล่าจะหวาดกลัวมากเพียงใด…เขาก็ต้องกลับไปปกป้องเจ้านาย นี่คือหน้าที่ของคนแคว้นต้าจิ้น คือคุณธรรมของที่ปรึกษา แม้เขาจะเสียชีวิตเพราะช่วยเหลือเจ้านาย ทว่า ถือว่าเขาได้ตายในหน้าที่

ฟางเหล่ากล่าวเสียงสั่นอย่างไม่ลังเล “เจ้ามีป้ายสัญลักษณ์จวนองค์รัชทายาทอยู่ เจ้าจงลองไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพอื่นดู…”

ฟางเหล่านึกถึงเมืองซั่วหยาง นึกถึงสถานการณ์ในเมืองซั่วหยางที่ตนเห็นเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าตระกูลไป๋กำลังจะก่อกบฏจึงรีบเอ่ยกำชับองครักษ์ “ทว่า อย่าไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพซั่วหยางเด็ดขาด!”

มิเช่นนั้นกองทัพซั่วหยางอาจถือโอกาสนี้ยกทัพไปยังเมืองหลวง จากนั้นจัดการกับเชื้อพระวงศ์ทุกคนในราชสำนักแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้เหลียงอ๋อง อ้างว่าตัวเองทำไปเพื่อปราบปรามความวุ่นวาย เช่นนั้นราชวงศ์หลินคงตกอยู่ในอันตรายแน่

“ไปที่อื่น ไปหาแม่ทัพหลิวหงที่ต้าเหลียง ระหว่างทางเจ้าอาจไปขอร้องให้บรรดาแม่ทัพที่มีกำลังทหารอยู่ในมือช่วยเหลือ บัดนี้พวกเราไม่มีราชโองการจากองค์รัชทายาทจึงทำได้เพียงแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปให้ได้มากที่สุดเท่านั้น หวังว่าจะมีแม่ทัพกล้าหาญบุกมาช่วยฝ่าบาทและองค์รัชทายาทก่อนที่แม่ทัพหลิวหงจะรู้ข่าวและนำทัพกลับมา”

“แล้วเซียนเซิงเล่าขอรับ” องครักษ์ถาม

“ข้า…” ฟางเหล่ากลืนน้ำลายลงคอ สีหน้าส่อแววหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “ข้าต้องกลับไปเมืองหลวง ต้องกลับไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท หาทางช่วยองค์รัชทายาทยื้อสถานการณ์ไว้จนกว่ากองทัพเสริมจะมาช่วยเหลือ”

องครักษ์มองใบหน้าที่ซีดเผือดของฟางเหล่า เห็นได้ชัดว่าฟางเหล่าหวาดกลัวมากเพียงใด เขาจึงกล่าวเสียงรอดไรฟัน “เซียนเซิงคือที่ปรึกษาข้างกายขององค์รัชทายาท เซียนเซิงไปขอความช่วยเหลือจะเหมาะสมกว่าหรือไม่ขอรับ เซียนเซิงเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอ กลับไปก็ช่วยอันใดไม่ได้หรอกขอรับ”

ฟางเหล่าส่ายหน้า ไม่รู้ว่ากำลังโน้มน้าวตัวเองหรือองครักษ์อยู่กันแน่ “ถึงแม้ข้าจะจับดาบขึ้นต่อสู้ไม่เป็น ข้าก็ต้องกลับไปปกป้ององค์รัชทายาท! ข้าต้องวางแผนให้องค์รัชทายาทยื้อไว้ให้ได้จนกว่าทัพเสริมจะมาถึง”

เมื่อเห็นฟางเหล่ายืนกรานเช่นนี้ องครักษ์จึงไม่ได้โน้มน้าวอีก เขากำหมัดคารวะฟางเหล่า “เซียนเซิงรักษาตัวด้วยขอรับ”

กล่าวจบองครักษ์ผู้นั้นขี่ม้าจากไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลิวหงที่ต้าเหลียงทันที

จวนไป๋ที่ซั่วหยาง

บัดนี้ประมุขไป๋ ไป๋ฉีเหอและบรรดาผู้อาวุโสตระกูลไป๋ที่จงรักภักดีต่อจวนไป๋ที่เขาสนับสนุนขึ้นมาใหม่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โถงรับรองของจวนไป๋ บรรดาฮูหยินและคุณหนูตระกูลไป๋ล้วนอยู่กันครบ

ฮูหยินใหญ่ต่งซื่อนั่งถือถ้วยน้ำชาฟังองครักษ์ที่คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นกลางโถงรับรองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเมืองหลวงให้ฟังอย่างละเอียดอยู่บนเก้าอี้สูงสุด

เมื่อบรรพบุรุษตระกูลไป๋ทุกคนได้ยินก็หวาดหวั่นขึ้นมาทันที

“องค์หญิงใหญ่สั่งให้ข้านำข่าวจากเมืองหลวงและคุณหนูเจ็ดมาส่งที่ซั่วหยาง ทว่า คุณหนูเจ็ดเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์หญิงใหญ่และคุณหนูรองจึงไม่ยอมกลับมาขอรับ องค์หญิงใหญ่จึงส่งข้ามาแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบก่อนขอรับ” องครักษ์กล่าว

ไป๋จิ่นเซ่ออยู่ที่เมืองหลวงต่อเพราะกลัวว่าหากเหลียงอ๋องก่อกบฏสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ท่านย่าอาจปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะต้องการปกป้องอำนาจของราชวงศ์หลิน หากนางยังอยู่ข้างกายท่านย่า นางจะสามารถส่งข่าวให้พี่หญิงใหญ่รับรู้ได้ทันท่วงที บางทีเรื่องนี้อาจยังพอมีทางแก้ไขได้…

ทว่า หากนางกลับมายังซั่วหยางแล้วเหลียงอ๋องขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จจริงๆ จุดยืนของท่านย่าไม่ชัดเจน ถึงเวลานั้นไป๋จิ่นเซ่อคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน

“องค์หญิงใหญ่ส่งคนมาแจ้งข่าว ข้าจึงเชิญพวกท่านมาที่นี่เพื่อปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี” ต่งซื่อใช้ฝาน้ำชากดใบชาที่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำชาลงไป จากนั้นจิบเล็กน้อย ท่าทางของต่งซื่อไม่ได้เหมือนคนที่ตัดสินใจไม่ถูกจนต้องเรียกบรรดาบรรพบุรุษตระกูลไป๋มาปรึกษาสักนิด

บัดนี้เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย หากเหลียงอ๋องขึ้นครองราชย์สำเร็จขึ้นมาจริงๆ เขาต้องส่งคนมาจับตัวตระกูลไป๋ในซั่วหยางไปเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่บุตรสาวของนางอย่างแน่นอน

บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เหลียงอ๋องจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร

ต่งซื่อเรียกบรรพบุรุษตระกูลไป๋มารวมตัวกันที่นี่เพราะต้องการให้คนเหล่านี้ออกเงิน

เมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย เมืองซั่วหยางต้องเตรียมเสบียงสำรองให้มากพอ หากคนจากเมืองหลวงมาจับตัวคนที่ซั่วหยาง พวกนางจะต้องต้านทานไว้จนกว่าวันที่บุตรสาวของนางจะยกทัพกลับมา

ชาวบ้านและทหารในซั่วหยางมีจำนวนมาก หากซั่วหยางถูกล้อม เสบียงจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทันที

แม้ตอนนี้เสบียงในซั่วหยางจะพอให้คนทั้งเมืองรับประทานไปประมาณสามเดือน ทว่า ต่งซื่อต้องคิดให้ไกลกว่านั้น หากไป๋ชิงเหยียนกลับมาไม่ทันภายในสามเดือนเล่า

พวกนางต้องเตรียมเสบียงให้พอสำหรับครึ่งปีถึงจะปลอดภัยที่สุด

ไป๋ฉีเหอรู้ทันทีว่าต่งซื่อมีแผนการในใจแล้ว นางเรียกพวกเขามาเพราะต้องการความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษตระกูลไป๋เท่านั้น เขารีบกำหมัดคารวะต่งซื่อพลางกล่าวขึ้น “ฮูหยินมีเรื่องอันใดสามารถเอ่ยสั่งมาได้เลยขอรับ พวกเราเจริญและตกต่ำไปด้วยกันอยู่แล้ว เรื่องใหญ่อยู่ตรงหน้าเช่นนี้ พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของฮูหยินขอรับ”

เมื่อบรรดาผู้อาวุโสได้ยินประมุขไป๋กล่าวเช่นนี้ทุกคนจึงพยักหน้าตาม

ต่งซื่อวางถ้วยชาในมือลง กวาดสายตาเย็นชามองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจทุกท่านแล้ว”