บทที่ 879 บุตรชายของอริยะสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 879 บุตรชายของอริยะสวรรค์

คำพูดของฉิวซีไหลมีน้ำหนักยิ่ง หนักแน่นทรงพลัง กวาดล้างความไม่สบายใจของเหล่าอริยะออกไปในคราวเดียว

ใช่แล้ว

มรรคาสวรรค์มีอริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ ยังต้องกลัวอันใดอีก

“ใช่แล้ว มีอริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัวเลย”

“อริยะสวรรค์ปิดด่านอยู่ตลอด หากว่ามรรคาสวรรค์มีภัย เขาต้องรับรู้ได้แน่นอน”

“จะว่าไป ก่อนหน้านี้ข้าท่องอยู่ในฟ้าบุพกาล พอบอกฐานะว่าเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ ผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลล้วนไม่กล้าล่วงเกินข้าทั้งสิ้น”

“ถูกต้อง มรรคาสวรรค์ก้าวหน้าไปอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ครั้งนี้ได้ต้อนรับห้าเทวทัณฑ์ ต้องแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมรรคาสวรรค์เรา”

เหล่าอริยะพากันพูดคุย บรรยากาศคึกคักขึ้นมา เหล่าอริยะหน้าใหม่ก็สนใจใคร่รู้ในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรยิ่งนัก

สำหรับอริยะมรรคาสวรรค์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในช่วงที่ผ่านมานี้ อริยะสวรรค์เกรียงไกรนับว่าเป็นตำนาน ลึกลับอย่างยิ่ง

….

หลายพันปีต่อมา ห้าเทวทัณฑ์มาถึง

ห้าเทวทัณฑ์เข้าสู่ชั้นฟ้าที่สามสิบสามภายใต้การนำทางของจอมอริยะเสวียนตู

จอมอริยะเสวียนตูตระหนกอยู่ในใจ

ไม่น่าเชื่อว่าพลังของมรรคาสวรรค์จะไม่ขวางกั้นห้าเทวทัณฑ์ นี่มันอะไรกัน

ผานซินและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าเปลือกตากระตุกวูบเช่นกัน

ทั้งคณะมาถึงตำหนักเอกภพ เหล่าอริยะมารวมตัวกันที่นี่ สายตาของเหล่าอริยะจับจ้องห้าเทวทัณฑ์ ต่างสนใจใคร่รู้ ล้วนไม่ได้มีพิธีรีตอง

อี๋เทียนกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มรรคาสวรรค์พัฒนาไปยอดเยี่ยมจริงๆ มีอริยะมากมายขนาดนี้แล้ว”

ฟางเหลียงมองอี๋เทียน สีหน้าซับซ้อน

อี๋เทียนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลที่ดวงจิตมรรคาสวรรค์ส่งมาเกิดใหม่ เท่ากับเป็นมรรคาสวรรค์กลับชาติมาเกิด ฟางเหลียงเป็นผู้ก่อตั้งสำนักวิถีสวรรค์ย่อมรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิด

เพียงแต่ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นด้านอำนาจหรือว่าตบะ ล้วนก้าวข้ามฟางเหลียงไปแล้ว บุตรแห่งมรรคาสวรรค์ก้าวข้ามมรรคาสวรรค์ไปแล้ว ฟางเหลียงย่อมกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

สายตาของหานทั่วมองไปที่หานอวี้

คู่บรรพบุรุษลูกหลานสบตากัน สื่อสารกันอย่างไร้สุ้มเสียง

หานอวี้ก็ไม่คิดเช่นกันว่าหานทั่วจะเป็นหนึ่งในห้าเทวทัณฑ์ ทั้งยังเดินนำด้านหน้าสุดด้วย

หานทั่วเห็นว่าหานอวี้สำเร็จเป็นอริยะแล้ว ในใจถึงขั้นที่นึกชื่นชม เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น

จอมอริยะเสวียนตูเดินนำห้าเทวทัณฑ์ออกมาด้านหน้า จากนั้นเหล่าอริยะก็พากันนั่งลง

หานทั่วเอ่ยขึ้นว่า “ตัวข้าถือกำเนิดในมรรคาสวรรค์ ที่มาในครั้งนี้ ไม่ได้มีเหตุผลเจาะจงอันใด ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวล”

คำว่ากังวลสองคำนี้เผยให้เห็นความประหม่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของเหล่าอริยะ เหล่าเทวทัณฑ์ยิ้มออกมา

ออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ไม่ว่าผู้ใดที่ได้พบพวกเขาล้วนประหม่ากังวล เมื่อผ่านไปนานเขา พวกเขาย่อมบ่มเพาะความหยิ่งผยองขึ้นมา

หานทั่วเองก็เป็นเช่นนี้ เมื่อห้าเทวทัณฑ์มาถึง เหล่าอริยะกลับไม่ทำความเคารพ เย่อหยิ่งยิ่งกว่าดวงจิตมหามรรคเสียอีก เช่นนี้มิใช่เรื่องดีเลย

หากอริยะมรรคาสวรรค์บ่มเพาะทัศนคติดูหมิ่นต่อดวงจิตมหามรรค มีแต่จะชักนำความเดือดร้อนมาให้มรรคาสวรรค์ไม่หยุดหย่อน วันนี้ห้าเทวทัณฑ์มีเขาเป็นผู้นำ ไม่ถือสาหาความได้ แต่วันหน้าหากเป็นดวงจิตมหามรรคตนอื่นที่มาเล่า

คงไม่อาจปล่อยให้ท่านพ่อของเขาต้องตามล้างตามเช็ดไปตลอดได้กระมัง!

หานทั่วคิดว่าจำเป็นต้องกำราบสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้อริยะเหล่านี้ชักนำปัญหามาอีก

ผานซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราย่อมไม่กังวลแน่นอน มีอริยะสวรรค์เกรียงไกรนั่งแท่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในฟ้าบุพกาลมาเยือน พวกเราล้วนไม่กริ่งเกรง”

อริยะคนอื่นๆ พากันยิ้มออกมา

สำหรับดวงจิตมหามรรค พวกเขาไม่กริ่งเกรงที่จะต้องล่วงเกินเลย เดิมทีก็เป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจสลายความเป็นอริได้อยู่แล้ว ตอนนี้ที่มาสานสัมพันธไมตรีก็เพราะจนปัญญาจะทำอันใดอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้ก็เท่านั้น

ในเมื่อเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ไยต้องมีมารยาทอีกเล่า

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “ลืมแนะนำไปเลย เทวทัณฑ์ท่านนี้คือบุตรชายแท้ๆ ของอริยะสวรรค์เกรียงไกร หานทั่ว”

บุตรชายอริยะสวรรค์เกรียงไกร!

เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกมา เหล่าอริยะต่างหน้าเปลี่ยนสี

อี๋เทียนหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้านามว่าอี๋เทียน เป็นบุตรบุญธรรมของอริยะสวรรค์เกรียงไกร”

สามเทวทัณฑ์ที่เหลืออดกลอกตาไม่ได้ คนผู้นี้หน้าไม่อายเลย ทำให้เสียชื่อห้าเทวทัณฑ์โดยแท้

เพียงแต่สำหรับหานทั่วและอี๋เทียนแล้ว สามเทวทัณฑ์ที่เหลือต่างยอมรับนับถือด้วยใจจริง พรสวรรค์ในการต่อสู้ของสองคนนี้น่ากลัวเกินไป สยบพวกเขาได้ตั้งนานแล้ว

หานทั่วส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดมาก

“ที่แท้ก็เป็นบุตรชายของอริยะสวรรค์ เช่นนั้นก็เป็นคนกันเอง ไม่ทราบว่าสหายเต๋าหานกลายเป็นเทวทัณฑ์ได้อย่างไร” เทพสูงสุดหนานจี๋หัวเราะดังฮ่าๆ พลางเอ่ยถาม

หานทั่วก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าประสบการณ์ในหลายปีมานี้

เขาและอี๋เทียนล้วนผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ได้ตำแหน่งเทวทัณฑ์มาอย่างเปิดเผยชอบธรรม ย่อมไม่กลัวที่จะต้องเล่า

สามเทวทัณฑ์ที่เหลือมีประวัติที่มาผันผวนแตกต่างกันไปเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่คุ้นเคยกับมรรคาสวรรค์ ย่อมไม่ยอมเล่า

ชั่วขณะนั้น ภายในตำหนักเอกภพเหลือเพียงเสียงของหานทั่ว เหล่าอริยะล้วนตั้งใจฟังคำพูดของเขา

อริยะแห่งสำนักซ่อนเร้นมองไปที่หานทั่ว ในใจต่างภาคภูมิใจ

หานทั่วเป็นบุตรชายแท้ๆ ของหานเจวี๋ย วันหน้าเขาต้องได้สืบทอดสำนักซ่อนเร้นแน่ หากว่าเป็นพวกอ่อนแอเหลาะแหละ พวกเขาย่อมดูแคลน การแสดงออกของหานทั่วในปัจจุบันนี้ทำให้พวกเขาพึงพอใจยิ่ง ถึงขั้นที่ปีติยินดีด้วยซ้ำ

ช่างเป็นมังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์โดยแท้

ข่าวแพร่ไปถึงสำนักซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว

เหล่าศิษย์สืบทอดที่อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก็ทราบเรื่องนี้ผ่านหมื่นโลกาฉายชัด

พวกเขากำลังรวมตัวกัน พูดคุยถึงเรื่องนี้

มู่หรงฉี่สะท้อนใจยิ่ง “อาจารย์ปู่ช่างมีลูกเล่นเสียจริง ไปอยู่ในกลุ่มห้าเทวทัณฑ์ ซ้ำยังเป็นหัวหน้าของกลุ่มห้าเทวทัณฑ์ด้วย”

ต้าซั่นเทียนแววตาเปล่งประกาย เอ่ยว่า “ก็ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นแผนการของผู้ดวงดวงจิตมหามรรคที่พุ่งเป้ามายังท่านเจ้าสำนัก”

ทุกคนต่างคิดตาม รู้สึกว่ามีเหตุผลจริงๆ

หานมิ่งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากว่าผู้นำดวงจิตมหามรรคควบคุมจิตรับรู้หานทั่วได้ นี่ก็มิใช่เรื่องดีแล้ว”

กวนปู้ไป้ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่ เจ้าสำนักจะไม่ทราบเรื่องได้อย่างไร ในเมื่อทราบแล้ว เช่นนั้นก็แปลว่ามีความมั่นใจเต็มที่”

กวนปู้ไป้เป็นอริยะเสรีกลับชาติมาเกิด ถือกำเนิดมาพร้อมกับหัวใจมุ่งหมายไร้พ่ายแพ้ เคารพชื่นชมในตัวหานเจวี๋ยเป็นที่สุด ในสายตาเขาหานเจวี๋ยเหมาะสมกับฉายาไร้พ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้ไร้พ่ายไหนเลยจะถูกวางแผนปองร้ายได้ง่ายๆ เล่า

หากถูกวางแผนปองร้ายได้ ไหนเลยจะยังคู่ควรกับสมญาไร้พ่าย

เวลานี้เอง เทพมารขุนพลสวรรค์เดินเข้ามา ตะโกนเรียก “กวนปู้ไป้ มาประลองกันในแบบจำลองการทดสอบสักรอบเถอะ”

เทพมารฟ้าบุพกาลกระหายสงครามมาตั้งแต่เกิด แบบจำลองการทดสอบกลายเป็นแหล่งความบันเทิงมหาศาลที่สุดของพวกเขา ในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทพมาร เทพมารขุนพลสวรรค์สามารถต่อสู้กับกวนปู้ไป้ได้คนเดียว เนื่องจากเทพมารตนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าปะทะกับเขา มีเพียงกวนปู้ไป้ที่หัวแข็งพอ

พอกวนปู้ไป้ได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ก่อนตอบว่า “เข้ามาเลย วันนี้ข้าจะพิชิตสมญาสุดยอดเทพมารของเจ้าให้ได้!”

คนอื่นๆ ที่กำลังคุยเรื่องหานเจวี๋ยอยู่มองหน้ากัน ต่างรู้สึกขบขันนัก

หลังจากถูกกวนปู้ไป้ดึงสติ ความกังวลในใจของพวกเขาก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน

ใช่แล้ว

ผู้ใดจะสามารถปองร้ายหานเจวี๋ยได้เล่า

….

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

แปลว่าผ่านไปหนึ่งแสนปีแล้ว ตบะของเขาก้าวหน้าขึ้นมหาศาลอีกครั้ง เข้าใกล้การทะลวงขั้นไปเรื่อยๆ

เดิมทีเขาคิดจะปิดด่านบำเพ็ญรวดเดียวจนทะลวงขั้น เพียงแต่เมื่อนึกถึงหานชิงเอ๋อร์ เขาก็ยังคงใจอ่อน

เขาถ่ายทอดเสียงหาหานชิงเอ๋อร์ เรียกนางเข้ามาพบ

ปัง!

ประตูใหญ่ของอารามเต๋าถูกเปิดออกอย่างรุนแรง หานชิงเอ๋อร์ในชุดแดงพุ่งเข้ามาหาหานเจวี๋ยราวกับพายุโลกันตร์

“ท่านพ่อ!”

หานชิงเอ๋อร์ร้องเรียก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้องหมองใจ ทั้งแง่งอนและตื่นเต้นยินดี

นางรอคอยวันนี้มาตลอด รอมานานเหลือเกิน!

ครบหนึ่งแสนปีแล้ว

นางใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน

นางคิดจะฝืนบุกเข้ามาอยู่หลายครั้ง แต่ถูกชิงหลวนเอ๋อร์ขวางไว้ เพื่อให้เอาชนะชิงหลวนเอ๋อร์ได้ นางจำเป็นต้องเริ่มฝึกบำเพ็ญ ส่วนชิงหลวนเอ๋อร์เพื่อไม่ให้ถูกนางล้ำหน้าไปได้ ก็มุมานะฝึกบำเพ็ญเช่นกัน

ชั่วขณะนั้น สองแม่ลูกประชันขันแข่งกัน หานชิงเอ๋อร์สำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว ส่วนชิงหลวนเอ๋อร์ก็เป็นเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์

………………………………………………………………