บทที่ 852 ซ่อมสำเร็จ

บทที่ 852 ซ่อมสำเร็จ

เสี่ยวเถียนประทับใจกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพวกชาวบ้านเหลือเกิน สิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ก็คือความสามัคคี ไม่แปลกใจเลยกับคำพูดที่ว่า ‘ผองประชาพายเรือใหญ่แล่น’ แม้จะเป็นเพียงเขื่อนเล็ก ๆ ที่กำลังจะถล่มลงมา แต่ด้วยกำลังคนที่มาร่วมกันซ่อม เสี่ยวเถียนจึงเชื่อว่ามันจะเสร็จในไม่ช้า

แต่จินตนาการวิเศษเสมอ เวลาทำจริงมันยากกว่านั้นมาก แม้วิธีการที่ใช้จะดี แต่ด้วยภูมิประเทศที่พิเศษเราจึงล้มเหลวในครั้งแรก

ทุกคนต่างผิดหวังยามเห็นกระแสน้ำกลับมารุนแรงอีกครั้ง

แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องเดินหน้าต่อ เหล่าช่างฝีมือที่มีหน้าที่ต่างมารวมตัวกันปรึกษาหารือกันอีกรอบ ทุกคนได้เรียนรู้บทเรียน และลงมือซ่อมเขือนอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่คนที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวจึงรีบมาช่วยเหลือ

คนเริ่มมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสงสว่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถึงฝนจะยังตกอยู่แต่เสี่ยวเถียนกลับรู้สึกอบอุ่นในใจ

แม้ในโลกใบนี้จะมีคนที่ไร้มนุษยธรรมอย่างลุงกับป้าของเสี่ยวซู่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนดี ๆ อยู่ มีผู้คนตั้งกี่คนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือกันในค่ำคืนที่พายุโหมกระหน่ำให้คนที่อยู่ปลายน้ำซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย

ความเร็วในการซ่อมเร็วขึ้น

หลังจากนั้นพวกเขาก็ตะโกนคำปลุกใจ

เสียงรวมพลังดังกึกก้องพร้อมกับรอยแยกที่ค่อย ๆ ปิดลง หลังจากนั้นสักพักมันก็เหลือประมาณเมตรกว่าแล้ว แต่ในรอบสุดท้ายก็ยังล้มเหลวอยู่…

ทุกคนเพิ่มความเร็วและซ่อมมันอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ด้วยพลังมหาศาลได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าน้ำจะมาเร็วแค่ไหน คนหนึ่งต่อหินหนึ่งก้อนก็สามารถสร้างเขื่อนได้

ในไม่ช้า มัดไผ่ที่ใส่หินไว้ก็ถูกนำมาปิดกั้นส่วนแตกร้าวได้สำเร็จ แต่ด้วยความที่มันเป็นหินมันก็มีทำให้น้ำสามารถทะลุออกมาได้ ถึงปริมาณจะลดลงแต่ทุกคนยังห่วงอยู่ดี ว่าหากฝนตกหนักแบบนี้ในไม่ช้าหินอาจจะถูกพัดไปกับน้ำในที่สุด ตอนนั้นที่จะเกิดหายนะของจริง

“พวกเรา ตอนนี้มาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว ทุกคนร่วมแรงร่วมใจสร้างเขื่อนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงอีกครั้งเถอะ”

ไม่รู้ว่าคนพูดเป็นใคร แต่เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันกึกก้อง ทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางพายุจิตวิญญาณอันเหนื่อยล้าและความรู้สึกอยากพักผ่อนกลับมาฟื้นฟูได้เพราะประโยคที่ว่า

ถ้ามีคอนกรีตเราคงสร้างเขื่อนได้ง่ายกว่านี้ แต่ตอนนี้มันไม่มีจึงทำได้แค่ใช้วิธีดั้งเดิมในการปิดกั้นน้ำไว้ก่อนถ้าลงน้ำตอนนี้ทัศนวิสัยจะแย่มาก แล้วจะเป็นอันตรายต่อคนลงไปด้วย

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดเจ็บจนเกิดอันตรายถึงชีวิตไปก่อน เราจึงผูกเชือกกับตัวคนเอาไว้อย่างที่เคยทำกับต้าจู้จื่อก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้คนช่วยกันดึงแล้ว แต่ผูกติดไว้กับต้นไม้ริมแม่น้ำแทน

เสี่ยวเถียนสังเกตภูมิประเทศอย่างระมัดระวัง

ถึงจะซ่อมเขื่อนเสร็จแต่ในไม่ช้ามันก็คงเอาไม่อยู่แน่นอน ถ้าอยากจะเปลี่ยนก็คงต้องหามุมใหม่แล้วละ แต่เธอไม่เชี่ยวชาญด้านนี้ หาคนที่เชี่ยวชาญมาวางแผนคงจะดีกว่า

เธอเป็นคนรุ่นหลัง ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนต่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใครเป็นอะไรก็ช่วยเหลือกันอย่างไม่อิดออด แต่หลังจากนั้นจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว ถ้าเจออันตรายแบบนี้คาดว่าคงไม่มีใครอาสาเข้าไปช่วยหรอก

เวลาแบบนี้หาเงินให้คนที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ

ซานกงนึกสงสัยตอนเห็นน้องยืนมองเขื่อนซ้ายทีขวาที

“เสี่ยวเถียน ดูอะไรอยู่น่ะ!”

“หนูว่าสถานการณ์ของเขื่อนมันยังอันตรายอยู่ค่ะ มุมตรงนั้นค่อนข้างอันตราย น้ำไหลลงมาปะทะจุดนี้ตรง ๆ มันจะต้องเกิดปัญหาแน่ ๆ ค่ะ”

ถ้าเสี่ยวเถียนเอาไปพูดกับคนอื่นคงจะโดนตวาดใส่ เพราะมันเหมือนกับเป็นการแช่ง แต่ตอนนี้เธอกำลังคุยกับพี่สามอยู่เลยไม่ได้กลัวอะไร

ซานกงเชี่ยวชาญในการปลูกพืช เขาไม่ค่อยมีความรู้ด้านการชลประทานนัก

จากนั้นก็ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้น “ถ้าซ่อมเขื่อนแบบนี้มีแต่จะทำให้มุมตรงนั้นเสี่ยงมากขึ้น และคงยื้อเวลาอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ สู้ออกแรงอีกหน่อยทำให้มันทู่ลงจะได้ยื้อเวลาได้อีกหน่อยไง”

สองพี่น้องมองหน้ากัน มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในหมู่ชาวบ้านด้วย

นายกเหลียงและเลขาตู้เห็นด้วย เพราะคนคนนี้เป็นผู้มีความสามารถที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน โดยรวมถึงเขาจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่มีความสามารถในด้านชลประทานอย่างแท้จริง เพราะงั้นจึงไม่มีทางพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน

“รบกวนอาจารย์ฟ่านด้วยนะครับ คุณคิดว่าต้องใช้วิธีการซ่อมแบบไหนถึงจะดีหรือครับ?”

เลขาตู้เอ่ยอย่างเกรงใจ แต่มันก็แค่นั้น

ถึงเราจะมีตำแหน่งเป็นผู้นำในท้องถิ่นแต่อำนาจจำกัดมาก จึงไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาได้

เช่น ในคืนนี้มีคนอาสามาช่วยเขื่อนกันมากมาย หากเป็นช่วงหลายปีก่อนหน้านั้นก็คงจะให้คะแนนการทำงานแล้วละ แต่จำนวนคนเยอะเกินไปจึงไม่กล้าพูดอะไร

จะให้เงินก็ไม่กล้าเสนอก่อนอีก

โชคดีที่ประชาชนมีน้ำใจต่อกัน หากคนต้นน้ำมีปัญหาได้คนปลายน้ำไปช่วยก็คงไม่บ่นอะไรมากนัก

ส่วนชายที่รู้จักกันในชื่ออาจารย์ฟ่าน ได้ยินว่าเลขาธิการในเมืองสนับสนุนเขาด้วย จึงตะโกนเรียกคนอื่น ๆ ให้มาลงมือตามที่เขาคาดเดาเอาไว้

อย่างที่บอก คนเยอะพละกำลังเยอะ

เราทำงานตั้งแต่มืดจนถึงรุ่งสางกระทั่งซ่อมเสร็จในที่สุด ตามคำบอกของเขามันทำให้ส่วนมุมของเขื่อนเปลี่ยนไปมาก เห็นแล้ววางใจได้มากขึ้น เราเปลี่ยนคนลงน้ำไปดูอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่ามันกั้นไว้แน่นจนไม่มีน้ำซึมออกมา

ท้องฟ้าแจ่มใส ฝนหยุดตกแล้ว ปริมาณน้ำฝนในคืนนี้เกินกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

นายกเหลียงและเลขาตู้เป็นกังวล บริเวณอื่น ๆ จะโดนผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ไหม

คนทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่มีเรื่องให้จัดการอีกมาก จึงไม่ได้พักผ่อน แค่จัดแจงเรื่องฝั่งนี้อีกนิดหน่อยแล้วไปทำงาน

ตอนนั้นเองที่นึกได้ว่ายังมีอาจารย์เสิ่นกับนักเรียนเขาอยู่

เราชื่นชมกับคนทั้งสามมาก ๆ

การที่คนต้นน้ำมาช่วยคนปลายน้ำเพราะพวกเราคุ้นเคยกันดี แต่กลุ่มเสิ่นจื่อเจินมาช่วยตามความสมัครใจ

“เหนื่อยหน่อยนะครับอาจารย์เสิ่น ไปพักผ่อนที่บ้านผมเถอะ จะได้กินข้าวเช้ากันครับ” เลขาตู้เชิญชวนอย่างจริงใจ

เมื่อวานเราควรจะได้แก้ปัญหาเรื่องเสี่ยวซู่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้จัดการเลยเพราะฝนตกหนักตลอดทั้งคืน

เสิ่นจื่อเจินพยักหน้า ถึงตนจะช่วยน้อยแต่ก็ไม่ได้เกียจคร้าน ตอนนี้ร่างกายเหมือนจะพังจริง ๆ และเขาอยากพักผ่อนมาก ๆ แถมยังต้องรีบเข้าเมืองนั่งรถไฟกลับเมืองหลวงตอนเย็นอีก

แต่เรื่องซ่อมเขื่อนเป็นเรื่องจำเป็นมาก ๆ

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนเลขาตู้ด้วยครับ!” เขาไม่เกรงใจแล้วตอบตกลง

ขณะจะเดินตามเลขาตู้ไป ก็เห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาหา