ปาจรีย์สั่นศีรษะ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ยังเลยจ้ะ”
“ยังหรือ?” วารุณีขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น รถมีปัญหาหรือ?”
“เปล่าจ้ะ” ปาจรีย์ขบริมฝีปากล่างและอธิบาย “ปัญหาคือพวกเราเองจ้ะ วารุณี ฉันปรึกษากับคุณแม่แล้วว่าพวกเราจะไม่ไปไหน”
“ทำไมล่ะ?” วารุณีเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ
ปาจรีย์ก้มหน้าลง “พวกเราอยากอยู่ที่นี่ ย้ายบ้านตลอดมันเหนื่อยน่ะ แล้วก็ยุ่งยากมากด้วย”
“แต่ว่าพงศกรติดต่อกับพวกเธอแล้วนี่ บางทีอาจจะไปหาเธอในไม่ช้า เธอ……”
“เขามาหาแล้วจ้ะ” ปาจรีย์กล่าว
ใบหน้าวารุณีเต็มไปด้วยความแปลกใจ “อะไรนะ? ไปหาแล้วหรือ?”
“จ้ะ”
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” วารุณีลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
ไม่นึกเลยว่าพงศกรจะเจอปาจรีย์แล้วจริง ๆ
เธอรู้ว่าพงศกรจะเจอปาจรีย์ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ตาม เขามีช่องทางการติดต่อของปาจรีย์แล้ว เขาคงรู้ที่อยู่ปัจจุบันของปาจรีย์แล้วแน่ ๆ
คิดไม่ถึงว่าเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว
ตอนนี้พงศกรคิดร้ายต่อปาจรีย์ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่อยู่ในท้อง นั่นยิ่งทำให้ทนไม่ได้ เธอกลัวว่าตอนนี้พงศกรจะให้ปาจรีย์เอาเด็กออกอีก
อย่างไรพงศกรก็เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ถ้าปาจรีย์จะต่อต้านเขาด้วยกำลัง มันเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ
ปาจรีย์รู้ว่าวารุณีเป็นห่วงตนเอง เธอรู้สึกอบอุ่นในใจ จึงตอบอย่างยิ้ม ๆ “ฉันไม่เป็นไร เธอวางใจเถอะวารุณี”
“ไม่เป็นไรจริงหรือ?” วารุณีขมวดคิ้ว และยังคงไม่วางใจ
ปาจรีย์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่เป็นไรจริง ๆ จ้ะ ฉันไม่ได้โกหกเธอนะ พงศกรเขามาที่นี่แล้วจริง ๆ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาถูกคุณพ่อทุบตีจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปแล้วละจ้ะ”
“พรืด!” วารุณีสำลักน้ำลายของตัวเอง ไม่นานก็ตอบกลับ “เดี๋ยวนะ ถูกตีจนเข้าโรงพยาบาล? ฝีมือคุณลุงหรือ?”
เธอจะแปลกใจก็ไม่แปลก ก็เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
ความหวาดกลัวของตระกูลจิรดำรงค์ที่มีต่อพงศกร เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ
เธอจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าคุณพ่อประสิทธิ์จะสามารถทำร้ายพงศกรถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลได้
ปาจรีย์รู้ว่าวารุณีตกใจอะไร พูดตามตรง ตัวเธอเองยังแปลกใจตอนที่เห็นคุณพ่อลงมือกับพงศกร
แม้ว่าเธอจะลืมความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับพงศกรแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวเธอถึงยังกลัวพงศกรขนาดนี้
แต่จากการสั่นของร่างกายเธอเมื่อเธอได้ยินชื่อของพงศกร และท่าทางของคุณพ่อคุณแม่ที่ดูเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม เธอก็รู้ทันที ว่าพวกเขากลัวพงศกรเป็นอย่างมาก
ดังนั้น เธอทั้งตกใจและชื่นชมที่คุณพ่อสามารถต้านทานความกลัวและลงมือกับพงศกรได้
“ใช่จ้ะ ฝีมือคุณพ่อ ฉันสงสัยว่าถ้าไม่ใช่เพราะกลัวตาย คุณพ่ออาจจะฆ่าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยซ้ำ” ปาจรีย์ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ
วารุณีเม้มปาก “อย่าคิดแบบนั้นเชียว ถ้าพงศกรตาย คุณลุงก็จบเห่น่ะสิ”
“ฉันรู้จ้ะ เพราะงั้นตอนที่ฉันเห็นเขาท่าไม่ดี จึงหยุดคุณพ่อไว้ แล้วก็เรียกรถพยาบาล” ปาจรีย์พยักหน้าพลางกล่าว
วารุณีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “งั้นก็ดีแล้วจ้ะ ว่าแต่เธอกับคุณกับป้าตัดสินใจแล้วจริง ๆ หรือว่าจะไม่ไป ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้นล่ะ”
ในระหว่างวัน เธอได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อประสิทธิ์ ในสาย คุณพ่อยังคงหวังว่าเธอและคนของนัทธีจะมาพาพวกเขาไป เพราะพงศกรรู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน และจะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้
และคุณพ่อประสิทธิ์เป็นหัวหน้าครอบครัว ความเห็นของเขา ก็ต้องรวมถึงความเห็นของปาจรีย์กับคุณแม่ปารวีด้วยเช่นกัน
ทว่าเพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ปาจรีย์และคุณแม่ปารวีตัดสินใจที่จะไม่ไปแล้ว การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เป็นเพราะช่วงเวลานี้พวกเธอสองแม่ลูกตัดสินใจอย่างจวนตัว
ดังนั้น เธอจึงอยากรู้ว่าอะไรคือเหตุผล
ปาจรีย์เม้มปาก ลังเลอยู่สองวินาทีจึงตอบกลับไป “อันที่จริงเหตุผลง่ายมาก นั่นคือเราต้องการที่จะอยู่และต่อสู้กับพงศกรด้วยกัน”
“ต่อสู้กับพงศกรด้วยกัน?” วารุณีขมวดคิ้ว “ทำไมพวกเธอถึงมีความคิดแบบนี้ คิดอะไรอยู่กันแน่?”
“อันที่จริง มันเกิดขึ้นตอนที่คุณพ่อฉันลงมือกับพงศกรน่ะจ้ะ” ปาจรีย์ถอนหายใจ “อย่างที่เธอคิด พงศกรทั้งรวยและมีอำนาจ แต่พวกเราตระกูลจิรดำรงค์เป็นแค่คนธรรมดา ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ฉันเอาชนะเขาไม่ได้เลย”
วารุณีพยักหน้า
ถูกต้อง เธอเห็นด้วยกับความคิดนี้
ปาจรีย์ยกมุมปาก “ในตอนแรก พวกเราตระกูลจิรดำรงค์ก็คิดแบบนี้เหมือนกันจ้ะ ดังนั้นที่ผ่านมาเราจึงหลบลี้หนีหน้าพงศกร ซ่อนได้ก็ซ่อน จากนั้นพวกเรานับวันก็ยิ่งกลัว นับวันยิ่งขี้ขลาด ยิ่งรู้สึกสู้เขาไม่ได้จริง ๆ แต่เมื่อครู่นี้ คุณพ่อโกรธเขามากจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเขา แต่เขายอมอย่างว่าง่าย จึงโดนคุณพ่อทุบตีจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ในตอนนั้น ฉันก็นึกขึ้นได้ และตระหนักได้ว่า ที่แท้ไม่ใช่ว่าพวกเราเอาชนะเขาไม่ได้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ”
“เอ่อ……” วารุณีขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีปัญหา แต่พูดไม่ได้
ปาจรีย์ถอนหายใจและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หลังจากที่ฉันกับแม่คุยกันเรื่องนี้ เราก็ตัดสินใจอยู่ต่อ ถึงอย่างไรพงศกรก็ไม่ได้แข็งแกร่ง และไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น งั้นครอบครัวของเราจะอยู่ต่อไป ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ว่าถ้าครอบครัวเราร่วมมือกันแล้วจะไม่สามารถต่อสู้กับพงศกรได้ แม้ว่าเขาจะมีอำนาจ แต่ตอนที่เขาอยู่ที่นี่ เขาก็ตัวคนเดียว”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้นะ” วารุณยังคงไม่วางใจ
ปาจรีย์ยิ้ม “วารุณี ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วง แต่เราตัดสินใจแล้วจ้ะ อีกอย่างถ้าจะต้องย้ายบ้านและซ่อนไปทุกที่ มันเหนื่อยจริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ท่านก็อายุมากแล้ว ฉันทนเห็นพวกท่านหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะฉันไม่ได้หรอกจ้ะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้วารุณีถึงกับพูดไม่ออก
เธอลองมองในแง่ของปาจรีย์ คิดว่าถ้าเธอมีพ่อแม่ที่แก่ชราเช่นนี้ เธอก็คงไม่ยอมให้พวกท่านยากลำบากไปกับเธอเช่นกัน
ใช่ เธอก็ไม่ยอมเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอเข้าใจปาจรีย์แล้ว
วารุณีนวดขมับพลางถามอย่างจริงจัง “ปาจรีย์ ฉันจะถามอีกครั้ง เธอคิดเรื่องนี้ดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? เธอต้องรู้เอาไว้นะว่าถ้าคราวนี้เธอไม่ไป ต่อไปถ้าพงศกรทำอะไร เธอจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ”
ปาจรีย์มองไปยังคุณแม่ปารวีที่อยู่ข้าง ๆ
คุณแม่ปารวียิ้มให้เธอ เธอยิ้มตอบ และพูดกับวารุณีในสายว่า “ฉันรู้จ้ะวารุณี เราคิดไว้แล้ว อยู่ต่อไป ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยครอบครัวเราก็อยู่ด้วยกันตลอด แย่ที่สุดก็แค่ตายด้วยกัน บางครั้งฉันก็คิดว่า ตายไปอย่างน้อยก็ยังดีกว่าใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวในทุกวัน”
วารุณีขมวดคิ้ว “พูดอะไรน่ะ ตายไม่ตายอะไรกัน”
ปาจรีย์หัวเราะ “จ้ะ ฉันผิดไปแล้ว แต่วารุณี ฉันคิดอย่างนั้นจริง ๆ ฉันเชื่อว่าคุณพ่อก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่มีใครอยากหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอดเวลาหรอก”
วารุณีถอนหายใจ “ฉันรู้จ้ะ ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไม่เกลี้ยกล่อมเธออีก ฉันรู้ว่าไม่ว่าฉันจะพูดอย่างไร เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้น ฉันเคารพในการตัดสินใจของเธอจ้ะ”
“ขอบใจจ้ะ” ปาจรีย์ซาบซึ้งใจไม่หาย
วารุณียิ้ม “ขอบใจทำไมกัน พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ตอนที่ฉันท้องอารัณกับไอริณ พวกเธอก็ช่วยฉันอย่างเต็มที่ ดังนั้น ตอนนี้ฉันก็ควรจะช่วยเธอสิจ๊ะ”
“ฉันรู้จ้ะ แต่ฉันยังรู้สึกผิดต่อเธออยู่เลย” ปาจรีย์ก้มหน้าลง “เพราะตอนแรกเราตัดสินใจที่จะไป ตอนนี้คนของพวกเธออยู่ที่นี่แล้ว แต่เรากลับไม่ไปแล้ว ทำให้คนของเธอมาเสียเที่ยวเสียแล้ว”