ตอนที่ 212-2 ผู้บงการเบื้องหลัง
ความจริงป้าหลัวไม่เคยบอกวันเกิดของตนเองกับนาง แต่วันนี้ในปีที่แล้ว ตอนนางกินข้าวที่บ้านหลัว บนโต๊ะมีไก่เพิ่มมาหนึ่งตัวอย่างไม่มีสาเหตุ ชุ่ยอวิ๋นยังคีบน่องไก่น่องหนึ่งให้ป้าหลัวด้วย ยามนั้นนางจิตใจไม่ละเอียดอ่อนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ตอนนี้นึกทบทวนดู วันนั้นน่าจะเป็นวันเกิดของป้าหลัว
ปี้เอ๋อร์รีบแกะห่อผ้า หยิบของบำรุงออกมา “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะไปหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยพยักหน้า “เจ้าไปรับพวกเขากลับมาเถอะ แล้วถือโอกาสนำชะมดเชียงไปให้บิดาของข้าด้วย หลังจากนั้นก็พาจูเอ๋อร์มา”
ปี้เอ๋อร์จากไปทำตามคำสั่ง อย่างแรกไปหอหลิงจือส่งชะมดเชียง จากนั้นรับจูเอ๋อร์ สุดท้ายก็ไปจวนกั๋วกงรับฉานเอ๋อร์กับเจ้าตัวน้อยทั้งสี่กลับมา
ตอนขากลับ บนศีรษะของจูเอ๋อร์มีบุปผามุกงามสะกดตาคนอยู่ดอกหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปเก็บมาจากที่ใด
เฉียวเวยขนข้าวของห่อน้อยห่อใหญ่ขึ้นรถม้า ตอนที่กำลังจะออกเดินทาง หรงมามาก็อุ้มหลิวเกอร์เดินหอบแฮ่กเข้ามาหา นางมองเจ้าซาลาเปาน้อยที่นั่งอยู่ในรถม้า แล้วถามอย่างฉงน “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ไปด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้านึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้บังเอิญเป็นวันเกิดแม่บุญธรรมของข้า จึงจะพาพวกเขาไปอวยพรวันเกิดให้แม่บุญธรรมของข้าด้วยกัน”
หรงมามาเคยพบป้าหลัวมาก่อน ทราบว่าตอนที่เฉียวเวยตกยากที่สุด ป้าหลัวเป็นผู้ยื่นมือมาช่วยเหลือ วันนี้ผู้อื่นฉลองวันเกิด เฉียวเวยกับลูกๆ ไม่มีเหตุผลจะไม่ไปร่วมอวยพร เพียงแต่ว่า…
เฉียวเวยมองหลิวเกอร์ในอ้อมแขนของนาง “มีเรื่องอะไรหรือ หรงมามา”
หรงมามายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “แต่เดิมไม่ทราบว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะไปด้วย เหล่าฮูหยินจึงให้บ่าวอุ้มหลิวเกอร์มาหาพวกเขา”
มารดาผู้ให้กำเนิดไม่อยู่แล้ว ขาก็บาดเจ็บ อารมณ์ของเด็กน้อยคนนี้จึงไม่ดีนัก เหล่าฮูหยินเห็นแล้วปวดใจ เมื่อได้ยินว่าเด็กน้อยสองคนกลับมาแล้วจึงให้นางอุ้มหลิวเกอร์มาทันที ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาจะไปอีกแล้ว
หลิวเกอร์ก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง
วั่งซูเปิดผ้าม่าน มองหลิวเกอร์ที่มีผ้าพันบนขาอย่างสงสัยใคร่รู้แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนิ่มว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ เจ็บหรือไม่”
หลิวเกอร์เศร้าใจ ขอบตาแดงระเรื่อ
วั่งซูยื่นมือน้อยๆ อันอวบอ้วนออกมา “ข้านวดให้เจ้านะ”
หรงมามาอุ้มหลิวเกอร์ไปหา เฉียวเวยกำลังจะห้ามแต่ไม่ทันกาลแล้ว วั่งซูนวดเบาๆ หนึ่งหน หลิวเกอร์ก็ถูกนวดจนเลือดกระฉูด…
หลิวเกอร์มือซ้ายกอดต้าไป๋ มือขวากอดเสี่ยวไป๋ บนตักมีจูเอ๋อร์อยู่ถึงหยุดร้องไห้ได้อย่างหวุดหวิด นั่งรถม้าของเฉียวเวยตุเลงๆ ออกไปจากเมืองหลวง
เฉียวเวยถือโอกาสแวะหรงจี้ ถามเรื่องที่นากับเถ้าแก่หรง ที่นาเริ่มเพาะเลี้ยงปศุสัตว์แล้ว พวกเขาเชิญลุงต้าฉุยจากหมู่บ้านซีหนิวมา ลุงต้าฉุยอยู่คนเดียวลำพัง ในหมู่บ้านเขาไม่มีสหายสักคน อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน แต่อยู่ในที่นา เถ้าแก่หรงจ้าง ‘ลูกน้อง’ มาให้เขาอยู่หลายคน ให้ทำตามที่เขาสั่งงาน เขาจึงสลัดคราบกลายเป็นหัวหน้าคนงาน เขาค่อนข้างพออกพอใจเลยทีเดียว
เถ้าแก่หรงอวดมีดสั้นเล่มใหม่ของตนให้เฉียวเวยดู “นี่เป็นสมบัติจากหนานฉู่ แม่ทัพน้อยมู่ตกรางวัลให้”
เฉียวเวยยิ้มร้าย “อ้อ คบหากับคนของจวนเทพสงครามด้วยหรือ มีความสามารถไม่น้อยเลยนี่”
เถ้าแก่หรงตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเอง “ใช่สิ! ไม่ดูเสียบ้างว่าพี่หรงของเจ้าคือผู้ใด!”
ความจริงก็คือวังหลวงเตรียมจัดงานเลี้ยงเพื่อคณะราชทูตหนานฉู่ จึงเชิญคนของหรงจี้ไปปรุงอาหาร พ่อครัวเหอทำแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ด แม่ทัพน้อยมู่กินแล้วถูกใจยิ่งนัก ถามว่าผู้ใดเป็นคนปรุง เถ้าแก่หรงจึงหน้าหนาบอกว่าตนเอง แม่ทัพน้อยมู่จึงตกรางวัลให้เขาเป็นมีดสั้นเล่มหนึ่ง
เฉียวเวยมองเขาอย่างดูแคลน “แย่งผลงานคนอื่นเช่นนี้ยังกล้าทำ ท่านไม่กลัวพ่อครัวเหอปีนหน้าต่างห้องท่านตอนกลางคืนบ้างหรือ”
เถ้าแก่หรงแค่นเสียงหยัน “ข้าเป็นเถ้าแก่!”
เฉียวเวยบอกลาเถ้าแก่หรง แล้วนั่งรถม้าเตรียมตัวจะกลับหมู่บ้าน
จูเอ๋อร์กระโดดโลดเต้นเดินเข้ามา ในมือถือมีดสั้นแวววับดูล้ำค่าเล่มหนึ่ง
ปี้เอ๋อร์เพ่งสายตามอง “เอ๋ นี่ไม่ใช่มีดสั้นเล่มนั้นที่แม่ทัพน้อยมู่มอบเป็นรางวัลแก่พ่อครัวเหอหรอกหรือ”
เฉียวเวยขานอืมตอบเบาๆ คำหนึ่ง จากนั้นคว้ามีดสั้นไปจากมือจูเอ๋อร์ ยัดมีดสั้นเข้าไปในแขนเสื้อกว้างต่อหน้าสายตาโกรธเคืองของจูเอ๋อร์
ปี้เอ๋อร์ทำหน้าดูแคลน ท่านไม่กลัวพ่อครัวเหอปีนหน้าต่างเข้าห้องท่านตอนกลางคืนหรือ…
…
ตอนรถม้ามาถึงหมู่บ้านเป็นยามเที่ยงวันพอดี ชาวบ้านทั้งหลายล้วนกำลังทานอาหารอยู่ที่บ้าน รถม้าจอดหน้าประตูบ้านตระกูลหลัว เด็กน้อยคนหนึ่งจับกำแพงเดินเตาะแตะมาหา พอมาถึงธรณีประตูตรงหน้า เขาก็เดินต่อไม่ได้ ร่างกายเล็กจ้อยทิ้งตัวลงนั่งเปลี่ยนมาเป็นคลาน พอคลานข้ามธรณีประตูได้ ก็ไม่ลุกขึ้นเดินต่อแล้ว คลานมาจนถึงข้างรถม้า มองคนที่ก้าวลงมาจากรถม้าอย่างสงสัยใคร่รู้
คนที่ลงมาคนแรกสุดก็คือเฉียวเวย
เฉียวเวยจำจวิ้นเกอร์ได้ทันที นางอุ้มจวิ้นเกอร์ขึ้นมา ยิ้มแย้มบอกว่า “เรียกท่านอาซิ!”
จวิ้นเกอร์ฟันกำลังงอก น้ำลายไหลเปรอะทั่วตัว “ทั่นอา”
เพิ่งสิบเดือนเท่านั้นก็เรียกก็เรียกทั่นอาได้แล้ว เก่งจริงเชียว!
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “จวิ้นเกอร์เป็นเด็กดีจริงๆ!”
ป้าหลัวที่อยู่ในบ้านได้ยินเสียงดัง พลั่วในมือยังไม่ทันวางก็เข้ามาต้อนรับด้วยความตื่นเต้นยินดี “ข้าก็ว่าข้าได้ยินเสียงอะไร! วันนี้ทำไมกลับมาได้เล่า” จากนั้นนางก็มองไปด้านหลังของเฉียวเวย “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า”
“ท่านยาย!”
วั่งซูโผล่หน้าออกมาจากในตัวรถ ยิ้มร่ากระโดดลงมาจากรถม้า
ตอนนี้เองชุ่ยอวิ๋นก็เดินออกมาพร้อมกับผ้ากันเปื้อน
ป้าหลัวส่งพลั่วให้นาง นางรับไปแล้วทักทายเฉียวเวยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “เสี่ยวเวยกลับมาแล้วหรือ”
วั่งซูเรียกเสียงหวาน “ท่านป้า!”
ชุ่ยอวิ๋นก้มตัวลงมา หยิกใบหน้าน้อยของนาง “วั่งซูตัวสูงแล้ว”
จิ่งอวิ๋นก็ลงจากรถม้ามาด้วย “ท่านยาย ท่านป้า”
หลังจากนั้นปี้เอ๋อร์ก็อุ้ม…อุ้มหลิวเกอร์ที่ถูกหนีบอยู่ระหว่างเจ้าสองไป๋กับลิงน้อยตัวหนึ่งลงมาจากรถม้า
ป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋นงุนงงไปชั่วครู่ เด็กนี่ใครกัน แต่งตัวเรียวร้อย ใบหน้าขาวสะอาด ริมฝีปากแดงยิ่งกว่าหญิงสาว ขนตายาวจนน่าเหลือเชื่อ แม้จะแต่งตัวเป็นคุณชายน้อย แต่หน้าตากลับ…กลับงดางามปานประหนึ่งแม่นางน้อย
เฉียวเวยจึงตอบว่า “หลิวเกอร์ น้องชายของหมิงซิว”
“น้องชายหรอกหรือ” ป้าหลัวเกือบจะถามแล้วว่าไม่ใช่น้องสาวหรือ “เหตุไฉนมีน้องชายอายุน้อยเช่นนี้ได้เล่า”
เฉียวเวยหัวเราะ “ก็อายุน้อยทีเดียว” นางไม่ได้บอกว่าเป็นลูกบิดาคนเดียวกันแต่คนละแม่ ถึงอย่างนั้นป้าหลัวก็น่าจะเดาได้ อย่างไรเสียตอนที่หมิงซิวมาเยือนถึงบ้านเพื่อสู่ขอ ก็เคยบอกแล้วว่ามารดาบังเกิดเกล้าของตนล่วงลับไปแล้ว
เฉียวเวยบอกกับหลิวเกอร์ “เรียกป้าหลัวกับท่านน้าสิ”
หลิวเกอร์ไม่เรียก
ป้าหลัวยิ้ม “ไม่เป็นไร เด็กน้อยไม่รู้จักคนแปลกหน้า อย่าทำให้เขากลัวเลย”
หลิวเกอร์ไม่เรียกก็เพราะว่าท่านป้าคนนี้ดูแล้วเหมือนพวกหญิงรับใช้ที่ใช้แรงงานหนัก ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนสาวใช้ที่ทำงานใช้แรงงาน เขาไม่เรียกบ่าวรับใช้ว่าท่านป้ากับท่านน้าหรอก
ป้าหลัวกลับไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ นางพาทุกคนเข้าไปด้านใน
หลิวเกอร์ไม่เคยมาสถานที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน ไม่มีสิ่งใดน่ามองสักนิด ทุกสิ่งน่าเกลียด ทั้งยังเก่าคร่ำคร่า บนขื่อคานยังมีใยแมงมุม
เขานั่งอยู่บนเตียงเตา กอดเจ้าสองไป๋กับลิงน้อยหนึ่งตัวที่แลกมาด้วยการเลือดกระฉูด จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูวิ่งออกไป ไม่นานก็พาพี่ชายหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งกลับมา เขาได้ยินจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเรียกเด็กคนนั้นว่าเอ้อร์โก่วจื่อ
เอ้อร์โก่วจื่อสวมเสื้อผ้าขาดๆ รองเท้าก็มีแต่โคลน ตัวสกปรกมอมแมม
หลิวเกอร์รังเกียจ
จิ่งอวิ๋นจูงเอ้อร์โก่วจื่อมานั่งบนเตียงเตา
เอ้อร์โก่วจื่ออยู่ใกล้กับหลิวเกอร์เพียงนิดเดียว หลิวเกอร์ขยับไปด้านข้าง แต่แล้ววั่งซูก็ทิ้งตัวลงมานั่งเบียดเขากลับไป
วั่งซูล้วงก้อนน้ำตาลหลากสีจำนวนหลายชิ้นออกมาจากถุงเงินใบน้อย “พี่เอ้อร์โก่ว นี่ให้ท่าน!”
เอ้อร์โก่วจื่อมองนางอย่างประหลาดใจ “เจ้าเลียไปแล้วหรือยัง”
วั่งซูยิ้ม “ยังเลย!”
แค่ตอนดึกๆ อดใจไม่ไหว กัดไปไม่กี่คำเท่านั้นเอง!
เอ้อร์โก่วจื่อหยิบขนมสีน้ำตาลชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน รสเกาลัด มีกลิ่นนมอยู่จางๆ รสเข้มข้นแต่ไม่เลี่ยน อร่อยจนอยากจะกลืนลิ้นลงไปด้วย
หลิวเกอร์สูดน้ำลาย เขาไม่ตะกละ เขาไม่ตะกละหรอก อยู่ในจวนเขามีให้กินทุกวัน อร่อยกว่าสิ่งนี้อีก!
แต่เหตุใดวั่งซูซ่อนของไว้มากมายเช่นนี้ แต่ไม่เคยให้เขากินเลยเล่า
จิ่งอวิ๋นหยิบของเล่นชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังสือใบน้อยของตนเอง
เอ้อร์โก่วจื่อถาม “นี่คือสิ่งใด”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “ตัวต่อปริศนา ให้เจ้า”
“ว้าว!” เอ้อร์โก่วจื่อรับตัวต่อปริศนามา “เล่นอย่างไร”
หลิวเกอร์เบ้ปาก เล่นอย่างไรก็ยังไม่รู้ เขาเล่นเป็นตั้งแต่สี่ขวบแล้ว
จิ่งอวิ๋นสาธิตให้เอ้อร์โก่วจื่อดูรอบหนึ่ง เอ้อร์โกวจื่อก็ยังเล่นไม่เป็น จิ่งอวิ๋นสอนอย่างอดทนอีกรอบหนึ่ง แต่เอ้อร์โก่วจื่อก็ยังเล่นไม่เป็น
“ข้าเล่นเป็น” หลิวเกอร์ยื่นคอเข้ามาบอก
เอ้อร์โก่วจื่อมองเขา “อ้อ” แล้วถามจิ่งอวิ๋นต่อ “เล่นอย่างไรนะ”
จิ่งอวิ๋นดึงแท่งไม้ชิ้นหนึ่งออกมา “ชิ้นนี้วางตรงนี้
สหายน้อยสองคนเล่นกันอย่างจดจ่อยิ่งนัก วั่งซูป้อนน้ำตาลก้อนให้ตัวเองก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ป้อนให้พี่ชายก้อนหนึ่ง ป้อนให้เอ้อร์โก่วจื่ออีกก้อนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นมือของนางก็ยื่นมาทางหลิวเกอร์
แม้ข้าจะไม่อยากกิน แต่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นหลานสาวตัวน้อยของข้า ข้าจะไว้หน้าเจ้าก็แล้วกัน
หลิวเกอร์อ้าปากน้อยๆ สีแดงระเรื่อขึ้น
น้ำตาลก้อนในมือวั่งซูเข้าไปอยู่ในปากของเสี่ยวไป๋
หลิวเกอร์ตะลึง
หลังจากนั้น วั่งซูก็ป้อนให้จูเอ๋อร์กับต้าไป๋ตัวละก้อน ต้าไป๋รังเกียจจึงไม่กิน
หลิวเกอร์กลืนน้ำลาย
วั่งซูมองหลิวเกอร์แล้วยิ้มน้อยๆ หลิวเกอร์ยิ้มตามพลางอ้าปากรับ แต่แล้ววั่งซูก็ยัดน้ำตาลก้อนเข้าปากของตัวเอง
หลิวเกอร์ “…”
…
เฉียวเวยอยู่ในห้องด้านข้าง นางเรียงของที่นำกลับมาด้วยลงบนโต๊ะทีละชิ้น ของกิน เสื้อผ้า ของใช้ มีครบทุกสิ่งอย่าง ป้าหลัวมองของที่ตนเองไม่รู้จักชื่อกองพะเนิน แล้วตกใจจนไม่กล้ารับ “นี่เจ้าทำอะไรหืม กลับบ้านมารดาทีก็ขนของบ้านแม่สามีมาจนเกลี้ยง ไม่กลัวผู้อื่นนินทาหรือไร”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ยังห่างไกลจากคำว่าขนมาหมดนัก ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่มีคนมอบให้ข้า ตัวข้าใช้เองไม่หมด เก็บไว้ก็เสีย”
“มอบให้บิดาของเจ้าสิ” ป้าหลัวว่า
เฉียวเวยเปิดกล่องบนโต๊ะ “มอบให้แล้ว แต่ท่านดูยาเกล็ดหิมะกับผ้าเหล่านี้สิ คงจะมอบให้ท่านพ่อข้าใช้ไม่ได้ใช่หรือไม่เล่า”
ปากนางเอ่ยเช่นนี้ แต่ป้าหลัวก็เข้าใจดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ของที่นางไม่ได้ใช้จริงๆ แต่เป็นของที่นางตั้งใจเตรียมมาให้พวกขา “แล้วกล่องพวกนี้คืออะไรอีก”
เฉียวเวยเปิดกล่องออก “ถั่งเช่า โสมกับเห็ดหลิงจือ แม่บุญธรรม หากท่านว่างก็ตุ๋นน้ำแกงบำรุงร่างกายดื่มสักหน่อย”
ป้าหลัวตกตะลึง “โธ่ ของแพงเช่นนี้ ข้าดื่มไม่ลงหรอก!”
แม้ชีวิตตอนนี้จะดีกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่สุดท้ายก็ยังเป็นคนในชนบท ไหนเลยจะกล้าดื่มของราคาแพงเช่นนี้
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ประการแรกลูกสาวบุญธรรมของท่านเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลจีแล้ว กตัญญูต่อท่านด้วยโสมกับเห็ดหลิงจือไม่กี่กล่องจะเป็นอันใดไป ข้ายังอยากจะสร้างบ้านหลังใหญ่โตให้ท่านอีกสักหลังเสียด้วยซ้ำ”
ป้าหลัวยิ้ม “บ้านน่ะ พี่ชายเจ้าสร้างแล้ว”
เฉียวเวยตกตะลึง “พี่ชายข้าสร้างบ้านแล้วหรือ จริงหรือหลอก”
หลัวหย่งเหยียนค้าขายกุ้งได้กำไรมาไม่น้อย ตอนนี้เขารับซื้อไข่เป็ดจากแปดหมู่บ้านในสิบลี้ ทุกวันได้กำไรไม่น้อย ไม่นานมานี้ก็คิดจะร่วมมือกับคนซื่อตรงสองสามคนในหมู่บ้านสร้างทุ่งปศุสัตว์เล็กๆ ตรงภูเขาด้านหลัง คิดว่าวันหน้าคงจะได้กำไรมากกว่าเดิม
ในมือมีเงินเหลือแล้ว ย่อมอยากทำบ้านใหม่สักหน่อย
ป้าหลัวบอกว่า “ยังไม่ได้ลงมือจริงจัง ตอนนี้กำลังหารือกับนายช่างเจิ้งเรื่องนี้อยู่ บอกว่าเลือกวันฤกษ์งามยามดีแล้วค่อยเริ่มจัดการดิน”
…
อาหารกลางวันกินที่บ้านป้าหลัว บนโต๊ะเป็นดังคาด มีไก่ตุ๋นอยู่ตัวหนึ่ง เพราะไม่ทราบว่าเฉียวเวยจะมา จึงไม่ได้เตรียมอาหารที่ดีกว่านี้ไว้ พวกเขาผัดไข่สองฟอง ทุบหัวปลาหนึ่งตัวมาทำอาหารอย่างกะทันหัน
ป้าหลัวจะคีบน่องไก่ให้เด็กๆ แต่เฉียวเวยชิงคีบน่องหนึ่งวางลงในชามของนางเสียก่อน “นี่วันเกิดของท่าน น่องไก่ย่อมเป็นของท่าน ท่านต้องมีความสุขเช่นนี้ทุกวัน สุขสบายเช่นนี้ทุกปี
ป้าหลัวรู้สึกแสบจมูกขึ้นมานิดๆ
พวกเขาทานอาหารกันที่โต๊ะใหญ่ หลิวเกอร์มองหญิงรับใช้ (ป้าหลัว) ผู้ยากจนคนนั้นกับสาวใช้(ชุ่ยอวิ๋น) ที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนยิ่งนักคนนั้นอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องกินข้าวด้วยกันกับคนพวกนี้
อาหารก็ดำปิ๊ดปี๋ ไม่งดงามแม้แต่น้อย
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถือตะเกียบด้วยตนเอง
หลิวเกอร์ไม่ขยับ
“เหตุใดไม่กินเล่า” เฉียวเวยถาม
“ข้าจะให้ป้อน” หลิวเกอร์มองไปหาปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์เป็นสาวใช้เพียงคนเดียวในรถม้า เรื่องนี้เขารู้ชัดเจน
ปี้เอ๋อร์นั่งตรงข้ามกับเขา กำลังพุ้ยข้าวในชามเหมือนไม่รับรู้สายตาที่เขาส่งมาให้
เฉียวเวยขยี้ผมเขาอย่างไม่เกรงใจสักนิด “เจ้าอายุเท่าใดแล้วยังต้องป้อนอีก จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสองขวบก็จับตะเกียบกินเองได้แล้ว หากไม่กินเองก็หิ้วท้องหิวไปเสีย”
ถ้าเช่นนั้นข้าหิ้วท้องหิวก็ได้
หลิวเกอร์คิดอย่างดื้อดึง
“หอมมากๆ!” วั่งซูกินลูกชิ้นเนื้อหนึ่งลูก
วั่งซูกินอาหารอย่างรวดเร็วยิ่งนักจริงๆ
ท้องของหลิวเกอร์ร้องโครกคราก มองดูลูกชิ้นเนื้อบนโต๊ะใกล้จะถูกวั่งซูกินจนเกลี้ยง ขณะที่คนบนโต๊ะตัวนี้ไม่กลัวการข่มขู่ว่าจะอดอาหารของเขาสักคนเดียว
โหดเหี้ยมนัก
เขาจะอดอาหาร เขาจะอดอาหาร เขาจะอดอาหารจริงๆ!
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา
ไม่ใช่สิ ช้อนต่างหาก เพราะเขาใช้ตะเกียบไม่เป็น
อาหารดำปิ๊ดปี๋ จะต้องรสชาติย่ำแย่แน่
เฉียวเวยตัดลูกชิ้นเนื้อลูกน้อยให้หลิวเกอร์ ชุ่ยอวิ๋นทำลูกชิ้นเนื้อใส่เครื่องปรุงอย่างไม่งก รสชาติออกเต็มทั้งยังหอมอร่อยอย่างยิ่ง
หลิวเกอร์ชิมไปคำหนึ่ง แตกต่างจากรสชาติจืดชืดที่เขากินในจวน เค็มนักเชียว แต่เหตุไฉนจึงอร่อยปานนี้เล่า