บทที่ 694-2 กั๋วซือกลับมา (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 694 กั๋วซือกลับมา (2)

การเสียชีวิตของหนานกงลี่เป็นที่เล่าขวัญอย่างครึกโครมในเซิ่งตู เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยใหญ่ๆ อยู่สามจุด หนึ่ง เหตุใดหนานกงลี่จึงปรากฏตัวในวังหลวง ประตูวังไม่มีบันทึกการเข้าวังของเขาแท้ๆ อีกนัยหนึ่งคือ เขาลักลอบเข้ามาในวัง

คนรับใช้ตระกูลหนานกงบอกว่าเขาออกจากจวนมาด้วยกันกับทหารองครักษ์นามว่าหลิวตง

กรมยุติธรรมรีบส่งคนไปค้นหาตัวทหารองครักษ์นามว่าหลิวตงทันที ผลปรากฏว่าหลิวตงตายโหงอยู่ตรงหัวมุมถนน

โดนคนใช้อาวุธลับสังหารถึงแก่ชีวิต

เห็นได้ชัดว่าฆาตกรมีหลบเลี่ยงลาดตระเวนได้เป็นอย่างดี ไม่ทิ้งร่องรอยเบาะแสใดๆ ไว้ในสถานที่เกิดเหตุเลย ละแวกใกล้ๆ ก็หาพยานพบเห็นไม่ได้

คดีกำลังจะคลี่คลายก็มาถึงทางตันเสียแล้ว

ส่วนจุดที่น่าสงสัยจุดที่สองก็คือขันทีสามคนที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ทั้งสามคนนี้มีอยู่สองคนที่มาจากกรมขันทีภูษาอาภรณ์ อีกคนมาจากตำหนักจงเหอ ทั้งสามคนนี้ไม่มีความเกี่ยวของกันเป็นการส่วนตัวเลย ในทางผิวเผินก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้วยกันในที่เกิดเหตุได้อย่างไร

ข้างกายพวกเขามีกระสอบ มีเชือก ดูเหมือนกำลังจะจับอะไรบางอย่าง

นอกจากนี้หลังจากชันสูตรพลิกศพแล้ว สันนิษฐานว่าพวกเขาโดนกำลังภายในของหนานกงลี่สังหารตาย

“เหตุใดจึงไม่ใช่กำลังภายในของฆาตกรเล่า” ภายในห้องเก็บศพ ผู้ว่าการศาลต้าหลี่ถามเจ้าหน้าที่ชันสูตร

เจ้ากรมยุติธรรมก็อยู่ด้วย เขาค่อนข้างสงสัยในจุดนี้ทีเดียว

เจ้าหน้าที่ชันสูตรเอ่ย “ข้าน้อยได้ตรวจศพของแม่ทัพหนานกงแล้ว แม่ทัพหนานกงไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน ข้าน้อยจึงสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนที่ไม่มีกำลังภายในขอรับ”

ผู้ว่าการศาลต้าหลี่ขมวดคิ้วเอ่ย “ไม่มีกำลังภายใน แต่สามารถใช้กิ่งไม้กิ่งเดียวสังหารแม่ทัพหนานกงผู้เกรียงไกรได้ ตาเฒ่าซุน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร เจ้าคงไม่ได้ตรวจสอบผิดหรอกกระมัง”

เจ้าหน้าที่ชันสูตรเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน้อยชันสูตรศพมาหลายสิบศพ ไม่กล้าบอกว่าไม่เคยผิดพลาดเลย หากใต้เท้าไม่เชื่อ ก็หาเจ้าหน้าที่คนอื่นมาชันสูตรศพแม่ทัพหนานกงได้”

ผู้ว่าการศาลต้าหลี่ย่อมหาใหม่อยู่แล้ว

สุดท้ายผลออกมาเช่นเดียวกันกับผลชันสูตรของตาเฒ่าซุนเลย

“หากเขาสังหารแม่ทัพหนานกงโดยไม่ต้องใช้กำลังภายใน เช่นนั้นสังหารขันทีสามคนก็ยิ่งไม่จำเป็นเลยสิ” ด้วยเหตุผลนี้ เจ้าหน้าที่ชันสูตรจึงคาดการณ์ว่ากำลังภายในที่สั่นสะเทือนทั้งสามคนนี้ถึงแก่ชีวิตมาจากหนานกงลี่

ดังนั้น จุดที่น่าสงสัยจุดที่สามจึงได้เกิดขึ้น ใครกันแน่ที่สามารถสังหารหนานกงลี่ได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ตนเองไม่มีกำลังภายในหรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่ต้องใช้กำลังภายในเลยแม้แต่น้อย

ผู้ว่าการศาลต้าหลี่หยางชั่งกับเจ้ากรมยุติธรรมต่งเว่ยสืบคดีกันหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ และไม่ได้อะไรเลย

ผู้ว่าการศาลต้าหลี่หยางชั่งเอ่ย “หลิวตงนั่นเป็นช่องโห่วที่ดีที่สุดแท้ๆ ขอแค่ถามจากปากเขาได้ว่าหนานกงลี่เข้าวังมาทำอะไร ความจริงของคดีนี้ก็จะไขได้อย่างง่ายดายแล้วแท้ๆ ”

เจ้ากรมยุติธรรมต่งเว่ยเอ่ย “คนก็ตายไปแล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์”

ศาลต้าหลี่กับกรมยุติธรรมต่างตั้งอยู่นอกประตูตวนเหมิน เพียงแต่ศาลต้าหลี่อยู่ทางตะวันตก กรมยุติธรรมอยู่ทางตะวันออก

เมื่อเห็นว่าฟ้าจะสว่างแล้ว กลับจวนไปนอนนั้นเป็นไปไม่ได้ จำต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ที่ทำการ อีกเดี๋ยวต้องเข้าประชุมเช้าไปทูลสถานการณ์ของคดีนี้ให้ฮ่องเต้ฟัง

ในขณะที่กำลังจะแยกย้ายกันนั้น หยางชั่งก็เห็นเจ้ากรมต่งสีหน้าเคร่งขรึมใคร่ครวญบางอย่างอยู่ จึงอดถามไม่ได้ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ”

เจ้ากรมต่งเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่าใครกันแน่ที่สังหารหนานกงลี่ หรือว่าฆ่าเขาในวังหลวง ความรู้สึกนี้มันเหมือน…”

“เหมือนอะไรรึ” หยางชั่งถาม

เจ้ากรมต่งส่ายหน้า “ข้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดอะไร แต่เมื่อข้ายืนอยู่ในที่เกิดเหตุมองศพของหนานกงลี่และกิ่งไม้ที่ถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุนั้น ข้าเหมือนสัมผัสได้ถึงเจตนาที่สังหารเพื่อการล้างแค้น”

นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของเจ้ากรมต่ง เขาเป็นผู้พิพากษาที่มีลางสังหรณ์เฉียบไวต่อคดีคนหนึ่งทีเดียว ลางสังหรณ์ของเขาส่วนใหญ่ล้วนแม่นยำเสียด้วย

พวกเขาเคยจับฆาตกรต่อเนื่องได้คนหนึ่ง และได้โดยไม่มีที่มาที่ไปเช่นกัน ทว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งฆาตกรเจอกับเจ้ากรมต่งบนถนนใหญ่ มองเพียงแวบเดียว เจ้ากรมต่งก็ชี้ตัวคนผู้นั้นแล้วบอก “เขานั่นแหละคือฆาตกร”

ดังนั้นแล้ว เมื่อเจ้ากรมต่งบอกว่าอีกฝ่ายทำเพื่อล้างแค้น หยางชั่งจึงไม่ได้ปัดตกความคิดนี้ในทันที

หยางชั่งคล้ายคิดบางอย่างอยู่ เขาเอ่ย “หนานกงลี่เคยไปล่วงเกินใครมาหรือไม่”

เจ้ากรมต่งเอ่ย “เจ้าควรจะถามว่า ในบรรดาคนที่หนานกงลี่ไปล่วงเกินนั้นมีใครสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายหรือไม่ต่างหาก รูปทรงของกิ่งไม้นั่นเจ้าได้พินิจดูละเอียดหรือยัง รู้สึกหรือไม่ว่ามันเหมือนกับทวนยาว”

หยางชั่งนึกทวนความจำ ก่อนพยักหน้าเอ่ย “ถูกต้อง ปลายข้างหน้าโดนฟันจนแหลม ความยาวก็ใกล้เคียงกับทวนยาวเลย”

เจ้ากรมต่งเอ่ย “จากที่ข้ารู้มา ไม่ต้องใช้กำลังภายในก็มีพละกำลังถึงเพียงนี้ก็มีแต่วิถีทวนของตระกูลเซวียนหยวนนี่ล่ะ”

หยางชั่งขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า…หนานกงลี่ถูกคนของตระกูลเซวียนหยวนสังหารอย่างนั้นรึ คนของตระกูลเซวียนหยวนตายไปหมดแล้วนะ เหลือเพียงอดีตองค์หญิงเพียงคนเดียวซึ่งก็โดนปลดวรยุทธ์ไปแล้ว ตรรกะนี้ของเจ้ามันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

เจ้ากรมต่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ถ้าเกิดว่า…มีคนโชคดีรอดมาได้เล่า”

หยางชั่งเอ่ยอย่างมั่นใจ “ไม่มีถ้าเกิดหรอก เจ้าอย่าลืมสิว่าศพทั้งหมดของตระกูลเซวียนหยวนล้วนถูกชันสูตรหมดแล้ว และตอกฝาโลงปิดตายไว้ถึงได้ให้ท่านชายจิ่งในตอนนั้นหามออกไป”

เจ้ากรมต่งสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “เซวียนหยวนเซิ่ง ตอนที่ข้าเห็นอาวุธสังหารเมื่อตอนกลางวันก็นึกถึงเขาขึ้นมาพิกล”

หยางชั่งเอ่ยอย่างขบขัน “เขายิ่งเป็นฆาตกรไม่ได้เลย ในบรรดาท่านชายตระกูลเซวียนหยวนนั้น เขาตายได้อนาถที่สุด ถูกทวนพู่แดงของตัวเองปักคาไว้บนกำแพงเมือง ธนูนับหมื่นยิงทะลุร่าง ศพแขวนอยู่ที่กำแพงเมืองหนึ่งเดือนเต็มๆ ท่านชายจิ่งแทบจะใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อแลกกับศพของท่านชายตระกูลเซวียนหยวน หากมีคนรอดชีวิตสักคน ท่านชายจิ่งคงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้”

ท่านชายจิ่งยามนี้คืออันกั๋วกง

หยางชั่งชะงักฝีเท้า ตบบ่าเจ้ากรมต่งพลางเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “เหล่าต่งเอ๊ย ข้ารู้ว่าเจ้าเคยได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซวียนหยวนเมื่อนานมาแล้ว พะวงใจตลอดเวลาที่ไม่ได้ร้องขอความเมตตาแทนตระกูลเซวียนหยวนในตอนนั้น แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนรับคดีมาทำเอง ตระกูลเซวียนหยวนวางแผนกบฏจริงๆ ในฐานะที่เจ้ากับข้าเป็นขุนนางราชสำนัก ไม่อาจคบหากับพวกชั่วช้าที่ทรยศบ้านเมืองได้ และไม่อาจขาดคุณธรรมเพราะเห็นแก่พวกพ้องได้ วันนี้เจ้าเอ่ยถึงตระกูลเซวียนหยวนกับข้า ข้าจะถือเสียว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น พอไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทแล้วเจ้าอย่าได้เอื้อนเอ่ยถึงอีก เดี๋ยวฝ่าบาทจะกริ้วเอา”

“เหล่าหยาง” เจ้ากรมต่งเรียกเขาที่หมุนตัวเดินไปทางศาลต้าหลี่เอาไว้

หยางชั่งหันกลับมามองเขา “ว่าอย่างไร”

เจ้ากรมต่งสีหน้าซับซ้อน “เรื่องในตอนนั้น…ไม่ได้ทำผิดจริงๆ น่ะรึ”

หยางชั่งถาม “เจ้าหมายถึงเรื่องใดเล่า”

เจ้ากรมต่งเอ่ย “เจ้ารู้อยู่แก่ใจ”

หยางชั่งแววตาลุ่มลึก เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เหล่าต่ง เจ้าจำไว้แค่ว่าเรื่องที่สิบตระกูลใหญ่ทำ…คือคุณธรรมก็พอ!”

การเสียชีวิตของหนานกงลี่เกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้นในระหว่างตระกูลขุนนางเก่าแก่ แม้ว่าหนานกงลี่จะไม่ใช่บุตรชายคนโตของประมุขตระกูลหนานกง แต่ก็โดดเด่นกว่าพวกพี่ชายมาก ประมุขตระกูลหนานกงเลี้ยงดูเขาอย่างผู้สืบทอดตระกูลคนหนึ่งเลยทีเดียว

ใครจะคิดว่าเขาจะโดนคนฆ่าตายในวังหลวง

ประมุขตระกูลหนานกงเดือดดาลจนควันออกหู กดดันกรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ให้พวกเขาหาตัวฆาตกรออกมาให้ได้ภายในสามวัน!

ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ยามนี้พวกเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย ต่อให้มีต้นสายปลายเหตุแล้ว ก็ไม่อาจดำเนินการสอบสวนคดีฆาตกรรมครานี้ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและเอิกเกริกได้อยู่ดี

เพราะว่าวันคล้ายวันสมภพของฮ่องเต้ใกล้เข้ามาแล้ว

ทั่วทั้งเซิ่งตูวุ่นกับการเฉลิมฉลองให้ฮ่องเต้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ทำคดีฆาตกรรมของหนานกงลี่ให้เอิกเกริกขึ้นมา จะไม่อัปมงคลต่อฮ่องเต้หรอกหรือ

ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงลี่ก็แอบเข้ามาในวังโดยพลการด้วย ย่อมเรียกความไม่พอพระทัยจากฮ่องเต้มาไม่มากก็น้อย

รอให้งานเลี้ยงฉลองวันสมภพของฮ่องเต้ผ่านพ้นไปก่อน พวกเขาค่อยดำเนินคดีอีกครั้ง

กู้เจียวไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย นางยังคงไปสำนักบัณฑิตเหมือนที่แล้วมา

มู่ชิงเฉินก็มาเรียนด้วยเช่นกัน

เขายังคงนั่งที่นั่งที่สองแถวสุดท้ายติดประตูหลังฝั่งขวาเหมือนเดิม

ที่นั่งแรกเป็นของกู้เจียว

ทุกคนชินที่มู่ชิงเฉินนั่งโต๊ะเดียวกันกับกู้เจียวไปแล้ว เห็นเขานั่งตรงนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกแปลกอะไร

มีเพียงกู้เจียวที่สัมผัสได้ชัดเจนว่าบรรยากาศรอบตัวของมู่ชิงเฉินเปลี่ยนไป เขาใช้แววตาระแวดระวังเป็นอย่างมากมองดูนาง

กู้เจียวนั่งลงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

โจวถงที่นั่งข้างหน้านางหันมาหา แย้มยิ้มแจ่มใสมองทั้งคู่พลางเอ่ย “เป็นอย่างที่คิด ยังคงเป็นลิ่วหลังที่ได้รับเกียรตินี้ พอเจ้ากลับมาเรียน ท่านชายชิงเฉินก็มาด้วย”

นั่นน่ะสิ มีเกียรติมากทีเดียว ท่านชายอันดับหนึ่งผู้สูงส่งในเซิ่งตูมาจับตามองนางด้วยตัวเองเลยทีเดียว

มู่ชิงเฉินไม่ได้เอ่ยคำใด บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบจนน่าใจหาย

โจวถงหดหัว ใช้ตำราบังหน้าไว้ กระซิบกับกู้เจียว “ท่านชายชิงเฉินเป็นอะไรไป ไม่พอใจหรือ”

กู้เจียวคิดในใจว่า เสียงระดับนี้ของเจ้าน่ะ ได้ยินกันไปถึงครึ่งห้องแล้ว เจ้ายังต้องใช้ตำรามาบังอะไรอีก

“เจ้าก็ถามเขาเองสิ” กู้เจียวเอ่ย

โจวถงเบ้ปาก เขาไม่กล้าถามหรอก

โจวถงเปลี่ยนเรื่องไป “นี่ ลิ่วหลัง เมื่อวานพวกเจ้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือ เสียเงินหมื่นตำลึงคุ้มค่าหรือไม่”

“หมื่นตำลึงอะไร” ความสนใจของกู้เจียวยังคงอยู่ที่เงินๆ ทองๆ ตลอดกาล

โจวถงเอ่ย “ข้างนอกต่างลือกันทั่วว่าเงินรางวัลของอันดับที่สองคือหนึ่งหมื่นตำลึง แม้แต่บ่าวรับใช้ของสำนักบัณฑิตเรายังบอกเช่นนี้เลย”

กู้เจียวหยิบตำราออกมาจากกระเป๋าหนังสือ “หนึ่งพันตำลึงต่างหาก”

หากเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง มู่ชวนคงโดนนางฝังทั้งเป็นไปนานแล้ว

ไม่สิ ยามนี้นางก็อยากฝังมู่ชวนทั้งเป็นเช่นกัน

ช่างเถิด เห็นแก่ที่ได้ใช้โอกาสนี้สังหารหนานกงลี่ เดี๋ยวไว้ค่อยฝังเขาแล้วกัน

งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้กำหนดขึ้นในวันที่สิบ เดือนหก ขุนนางในราชสำนักขั้นสี่ขึ้นไปและตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเซิ่งตูล้วนได้รับเทียบเชิญร่วมงาน

และก่อนวันงานฉลองหนึ่งวัน กู้เจียวก็ได้ยินข่าวที่นางเฝ้ารอคอยมานาน

กั๋วซือกลับเซิ่งตูแล้ว