ปีอู้อิ๋น รัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบสี่ หลงถิงเฟยถูกกองทัพต้ายงล้อมอยู่ทางใต้ของจี้ซื่อ สู้ศึกนองเลือดมาสิบกว่าวันแต่มิอาจฝ่าวงล้อม ยามนั้นไต้โจวถูกพวกคนเถื่อนรุกราน สถานการณ์วิกฤต กองทัพต้ายงใช้ศรส่งสารบอกเรื่องนี้ หมายทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพ ผนวกกับกองทัพเป่ยฮั่นเสบียงหมดสิ้น แม่ทัพทั้งหลายอยากสังเวยกองทัพไต้โจวเพื่อโอกาสฝ่าวงล้อม หลงถิงเฟยล่วงรู้เข้าจึงต้องกำหนดแผนฝ่าวงล้อมด้วยตนเองเพราะจนทางเลือก
…พงศาวดารเป่ยฮั่น บันทึกหลงถิงเฟย
หลี่เสี่ยนชักอาชาขึ้นมายืนบนเนินเตี้ย ดวงตาประหนึ่งคบเพลิง มองกองทัพต้ายงที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็คล้ายไม่ยิ้ม หลังจากจัดทัพอยู่หลายวัน เขาก็รับช่วงอำนาจควบคุมกองทัพกลับมาอีกหน พร้อมกับรับผิดชอบล้อมสังหารกองทัพเป่ยฮั่น เพราะจี้ซื่อเป็นทิศทางหลักที่กองทัพเป่ยฮั่นจะฝ่าวงล้อม ดังนั้นเขาจึงนำทัพใหญ่มาขวางทางถอยของกองทัพเป่ยฮั่นด้วยตนเอง
ระหว่างการต่อสู้เข่นฆ่าหลายวันที่ผ่านมา กองทัพต้ายงซึ่งมีกำลังพลกล้าแกร่งขวางการบุกของกองทัพเป่ยฮั่นได้ชะงัด ส่วนจ่างซุนจี้ที่อยู่ด้านหลังรับผิดชอบบีบหนทางรอดของกองทัพเป่ยฮั่น ช่วยหลี่เสี่ยนกระหนาบโจมตีกองทัพเป่ยฮั่นจากด้านหลัง แทบทุกครั้งที่การฝ่าวงล้อมของกองทัพเป่ยฮั่นล้มเหลวจนจำต้องล่าถอยล้วนเป็นเพราะผลงานของจ่างซุนจี้ แน่นอนว่าการบัญชาการทัพอันแข็งแกร่งของหลี่เสี่ยนก็เป็นสาเหตุสำคัญที่กองทัพเป่ยฮั่นมิอาจฝ่าวงล้อมสำเร็จจวบจนบัดนี้เช่นกัน
นับตั้งแต่ทำศึกสงครามมานานปี มีเพียงวันนี้ที่หลี่เสี่ยนเพิ่งจะได้สัมผัสความรู้สึกอันเยี่ยมยอดยามทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ
แต่หลี่เสี่ยนก็ยังคงหงุดหงิด ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น หลายวันนี้เจียงเจ๋อจึงอารมณ์ไม่ดีอยู่เกือบตลอดเวลา เขาไม่สนใจเรื่องของกองทัพสักนิด ทุกวันเอาแต่อ่านตำราไม่ก็คัดอักษร ทุกครั้งที่เห็นตนก็มักทำหน้าเย็นชาเหมือนโกรธเคืองตนอยู่ ไม่สิ มิใช่กับตนเท่านั้น ยามจ่างซุนจี้มีเวลาว่างไปขอพบ เขาก็ทำท่าเฉยชาเช่นนี้ด้วย แม้แต่จิงฉือก็ล้วนถูกเขาไล่ออกมา แต่ตนกลับมิทราบว่าที่แท้สิ่งใดทำให้ชายหนุ่มผู้สุขุมอ่อนโยนคนนี้มิรับไมตรีของผู้อื่นเช่นนี้
หลี่เสี่ยนส่ายศีรษะ สลัดความคิดว้าวุ่นในใจทิ้ง แล้วมองไปด้านหน้า เมื่อวานตนได้ข่าวจากไต้โจวจึงฉุกคิด ใช้ศรส่งสารไปถึงหลินปี้ คิดว่ากองทัพไต้โจคงขวัญกำลังใจสั่นคลอนแล้ว จากข่าวที่ทหารสอดแนมส่งกลับมา วันสองวันนี้กองทัพเป่ยฮั่นคงจะเสบียงหมด กองทัพเป่ยฮั่นจักต้องฝ่าวงล้อมภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แน่ รุ่งอรุณคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงมาคุมที่นี่ด้วยตนเอง
ทันใดนั้นกระบวนทัพด้านหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลี่เสี่ยนตื่นตัว เงยหน้ามองไปก็เห็นกองทัพไต้โจวพุ่งเข้าใส่กระบวนทัพของต้ายงดั่งลูกศรแหลมคมภายใต้แสงตะวันแรกของอรุณรุ่ง ผู้ที่นำอยู่หน้าสุด คลุมผ้าคลุมผืนใหญ่ปักลายหงส์ทอง นางก็คือองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ แม้หนนี้หลินปี้ยังคงสวมหมวกเกราะ ทว่ามิได้ปิดหน้ากากลงมา ดวงตางามพิลาสดั่งหยกเผยสู่ภายนอก อาชาดุจมังกรทะยาน คนดั่งหงส์เหินร่อน ทว่าสีหน้ากลับเย็นยะเยือกประหนึ่งน้ำแข็ง แต่เสน่ห์กลับมิลดทอนลงแม้แต่น้อย
หลี่เสี่ยนหัวใจสะท้านไหว ห้วงเวลานั้น ในดวงตาของเขามีเพียงท่วงท่าองอาจห้าวหาญอันงดงามตราตรึงนั่นเท่านั้น
เพียงพริบตาที่หลี่เสี่ยนรีรอ หลินปี้ก็ควบอาชานำหน้าพุ่งเข้ามายังทิศตะวันออกของกองทัพต้ายง หอกสีเงินร่ายรำ กำราบผู้ขวางทางจนราบ เบื้องหลังนาง กองทัพไต้โจวโห่ร้องเสียงดังสนั่น ทหารด้านหลังง้างธนู ทหารด้านหน้าเหวี่ยงหอกดาบ ทะลวงเข้ามายังกระบวนทัพของต้ายง ลูกศรอันว่องไวประหนึ่งห่าฝนเหล่านั้นคล้ายกับมีดวงตางอกอยู่ พวกมันหลีกหลบร่างกายของกองทหารไต้โจว คร่าชีวิตทหารต้ายงอย่างอำมหิต
หลี่เสี่ยนตกตะลึง รีบออกคำสั่งบัญชาทัพ สะบัดผืนธง เสียงกลองดังขึ้นพร้อมเพรียง ฝั่งตะวันออกของกองทัพต้ายงเริ่มถอยหลังอย่างมีระเบียบ ปีกสองฝั่งถอยช้ากว่าเล็กน้อย หมายจะโอบล้อมกองทัพไต้โจวเอาไว้ นี่เป็นวิธีที่ทำมาตลอดในช่วงหลายวันนี้
หลินปี้อยู่ในสนามรบมานาน ย่อมทราบว่าเวลานี้สมควรควบคุมความเร็วการโจมตีเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้กองทัพศัตรูโอบล้อมสามด้าน ทว่าหนนี้หลินปี้เลือกทางที่ต่างออกไป นางตะโกนดังลั่น “ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายในบ้านเกิดกำลังตั้งตาคอย พี่น้องทั้งหลาย ฆ่า!”
หลังจากนั้นจึงบุกทะลวงเข้ามากลางกระบวนทัพของต้ายงอย่างมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น กองทัพไต้โจวเสียบเข้ามากลางหน้าอกของกองทัพต้ายงประหนึ่งดาบแหลมคมเล่มหนึ่ง
หลินปี้ตวาดเสียงใส หอกสีเงินปัดแหลนอาชาเล่มหนึ่งออก ก่อนจะเสียบทะลุลำคอของทหารม้าต้ายงนายหนึ่งในพริบตา ทหารม้าต้ายงผู้กำลังจะสิ้นใจคนนั้นดวงตาแดงก่ำดุจโลหิต สีหน้าโหดเหี้ยม เขาคำรามดังลั่นแล้วทิ้งแหลนอาชาในมือ สองมือชุ่มโลหิตคว้าหอกสีเงินไว้แน่น แม้นตายก็มิยอมปล่อยมือ หลินปี้หมุนร่างบนหลังอาชา มือซ้ายชักดาบคู่กายจากข้างเอว คมดาบสะท้อนแสงวูบหนึ่งฟันแขนสองข้างของคนผู้นั้นขาดสะบั้น จากนั้นหอกสีเงินพลันกวาดขวาง ปักทะลุลำคอของทหารต้ายงที่โถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ต่อมาดาบคู่กายก็ตวัด ฟันศีรษะของทหารต้ายงอีกคนหนึ่งก่อนดาบงามจะกลับเข้าฝัก
ยามนี้หลินปี้ผู้สังหารคนสามคนในชั่วพริบตา แลดูเหี้ยมโหดประหนึ่งรากษส ทว่าดวงหน้างามวิลาสกลับประดุจบุปผาคลั่งแย้มกลีบบานกลางสนามรบ ทำให้บุปผชาติยามวสันต์อันสวยสดเสื่อมความงาม
การเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งของนางกระตุ้นให้กองทัพไต้โจวสำแดงพลังอันแข็งแกร่งที่สุดของแต่ละคนออกมา หลังจากบุกลึกเข้ามาในวงล้อม พวกเขาแทบทุกคนล้วนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหลายคนพร้อมกัน ทว่าด้วยทักษะการขี่อาชาและวรยุทธ์อันยอดเยี่ยมของพวกเขาจึงไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย กองทัพไต้โจวราวกับกลายเป็นเม่นที่มีขนแหลมทั่วร่าง ทลายวงล้อมของกองทัพต้ายงไปทีละชั้น
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้ว เดิมทีคิดว่ากองทัพไต้โจวจะขวัญกำลังใจลดทอน คิดไม่ถึงหลินปี้กลับใช้การสังหารศัตรูเพื่อกลับมาตุภูมิปลุกใจกองทัพไต้โจว ตอนนี้ดูแล้วกลายเป็นว่าความมุ่งมั่นหมายสู้ตายของกองทัพไต้โจวกลับเพิ่มพูนขึ้นอีก ดูท่าทัพตะวันออกไม่แน่ว่าจะต้านทานไหว แต่หากยามนี้ไปเสริมกำลังให้ทัพตะวันออก คงยากจะรับมือกองทัพชิ่นโจวที่ต้องเผชิญหน้าหลังจากนี้
แต่เดิมตนคาดการณ์ว่ากองทัพชิ่นโจวอาจเกิดความขัดแย้งกับกองทัพไต้โจว เพราะกองทัพไต้โจวเหมาะกับการเป็นแนวหน้าฝ่าวงล้อม ล่อสายตาของกองทัพต้ายงที่สุด แต่ไม่แน่ว่ากองทัพไต้โจวจะยินดีเสียสละเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าหลินปี้กลับยินยอมพร้อมใจบุกตะลุยเป็นแนวหน้าให้หลงถิงเฟย นางไม่คำนึงถึงความสูญเสียของกองทัพไต้โจวหรือไร
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเอ่ยเสียงเย็นชากับนายทหารของทัพตะวันออกที่มุ่งมาขอความช่วยเหลือ “จงบอกหลัวจาง จะไม่มีกองหนุน หากกองทัพใหญ่ห้าหมื่นของเขาขวางกองทัพไต้โจวมิอยู่ ก็มิจำเป็นต้องมาขอขมา ปาดคอตนเองไปเสียเถิด”
เวลานี้กองทัพไต้โจวฉีกแนวป้องกันชั้นแรกของทัพตะวันออกต้ายงสำเร็จแล้ว ทันใดนั้นหูของหลินปี้ก็ได้ยินเสียงกลองทุ้มหนักแน่น กลองใหญ่หลายร้อยใบส่งเสียงดังกระหึ่มพร้อมกัน ชวนให้หัวใจของผู้คนคล้ายปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึนหนาทึบ
หลินปี้เงยหน้ามอง กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของพลเดินเท้าต้ายงตั้งแถวรออยู่เก้ากระบวนทัพ แต่ละกระบวนทัพประกอบด้วยพลทหารสามพันนาย ด้านหน้าสุดคือโล่ยักษ์สูงเท่าตัวคน ด้านหลังคือหอกเรียงรายถี่ยิบ หลังจากนั้นเป็นพลดาบ ต่อมาเป็นพลธนู ด้านหลังสุดยังมีกระบวนทัพอีกกระบวนทัพหนึ่ง ธงแม่ทัพของต้ายงชูอยู่ด้านใน บนนั้นคืออักษรคำว่า ‘หลัว’ อันพลิ้วไหวทรงพลัง
ดวงตาของหลินปี้ทอประกายเย็นยะเยือก ชูหอกสีเงิน ชี้ไปยังกระบวนทัพของกองทัพต้ายงแล้วตวาดว่า “ปล่อยศร!”
กองทัพไต้โจวไม่ลดความเร็วอาชา ศรระลอกแรกพุ่งเข้าไปในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมของต้ายง ระยะห่างยังเหลืออีกสองร้อยก้าว พอถึงห่าศรระลอกที่ห้า สองกองทัพก็อยู่ห่างกันเพียงห้าสิบก้าว ระยะร้อยกว่าก้าวยิงศรห้าระลอก วิชายิงธนูของกองทัพไต้โจวคู่ควรกล่าวขานว่าเป็นเอกในใต้หล้า ลูกศรอันแม่นยำบีบให้กองทัพต้ายงหมดหนทางเงยหน้า ต้องก้มตัวหดคอซ่อนอยู่หลังแผ่นโล่ ความน่าเกรงขามลดทอนลงอย่างเลี่ยงมิได้
ในตอนนี้เอง กองทัพไต้โจวพลันพุ่งเข้ามาในกระบวนทัพของต้ายง อาชาศึกชนแผ่นโล่ หอกยาวเสียบทะลุร่างคน สองกองทัพไม่เลิกยิงศร ลูกศรดุจห่าฝนร่อนระบำกลางนภา พลธนูของทัพต้ายงยิงศรสุดชีวิต หมายขัดขวางการรุกคืบของกองทัพไต้โจว ทว่ากองทัพไต้โจวกลับประหนึ่งภูตผี ยิงศรระลอกแล้วระลอกเล่าโจมตีสวนกลับมา พวกเขาเคลื่อนไหวสารพัดท่วงท่าบนหลังม้า ทั้งหลีกหลบ เหวี่ยงดาบ แทงหอก เสือกแหลน แต่ถึงกระนั้นก็ยังยิงศรออกมาสังหารศัตรูได้ในทุกสถานการณ์
กระบวนทัพแรกถูกทลายลงในฉับพลัน กระบวนทัพที่สองก็ถูกทะลวงในพริบตา ในตอนนี้เองด้านหลังของกองทัพไต้โจวพลันมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น ทหารม้าทัพต้ายงที่ถูกกองทัพไต้โจวทะลวงฝ่าแนวป้องกันมาเมื่อครู่จัดทัพชูธงใหม่แล้วโอบโจมตีมาจากด้านหลัง ทหารม้าด้านหลังของกองทัพใต้โจวหันกลับไปยิงศรโจมตีสวน สองกองทัพผนึกประสาน การบุกของกองทัพไต้โจวจึงถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้