แน่นอนว่าคุณแม่ปารวีจะไม่บอกวารุณีว่าเธอมีความคิดอย่างไร เธอเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นเดี๋ยวหนูก็รู้เองแหละลูก”
คุณแม่ปารวีทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ วารุณีเองก็ไม่ได้ถามคำถามมากมาย เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ แต่คุณป้าคะ ถ้าต้องการอะไร คุณป้าต้องติดต่อหนูมานะคะ หนูจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ค่ะ”
“จ้ะ ขอบใจนะวารุณี” คุณแม่ปารวีซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
วารุณีสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรค่ะ นี่เป็นสิ่งที่หนูควรทำ จริงสิคะคุณป้า ตอนนี้ปาจรีย์เป็นอย่างไรบ้างคะ? ตอนที่เห็นพงศกรเธอจำอะไรได้บ้าง? แล้วเธอมีท่าทีอย่างไรต่อพงศกรคะ?”
เธอกังวลจริง ๆ ว่าปาจรีย์จะจำพงศกรได้ จะจำความรู้สึกที่มีต่อพงศกรได้อีกครั้ง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ปาจรีย์จะบอกทางโทรศัพท์ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรตอนเห็นพงศกร แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเพียงคำพูดของปาจรีย์ฝ่ายเดียวเท่านั้น เธอยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงลองถามไถ่คุณแม่ปารวีดู
คุณแม่ปารวีตอบอย่างชื่นใจ “ปาจรีย์สบายดีจ้ะ เธอจำพงศกรไม่ได้ และท่าทีของเธอที่มีต่อพงศกรก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณแม่ปารวี วารุณีก็รู้สึกสบายใจขึ้น พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้วละค่ะ ดีแล้ว”
“ใช่จ้ะ ตอนแรกเราก็ใจหายใจคว่ำ โชคดีที่สุดท้ายแล้วผลออกมาดี ตราบใดที่ปาจรีย์ยังจำพงศกรไม่ได้ และความรู้สึกต่อพงศกรยังกลับคืนมา เรื่องอื่นเราก็ไม่ต้องกังวลแล้วจ้ะ” คุณแม่ปารวีพูดพลางถอนหายใจ
คุณพ่อประสิทธิ์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
วารุณีกล่าวขึ้นอีกครั้ง “โอเคค่ะคุณป้า ในเมื่อทุกคนตัดสินใจไม่ไป หนูก็จะไม่เกลี้ยกล่อมแล้ว หวังว่าทุกคนจะรักษาเนื้อรักษาตัวนะคะ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าพงศกรฟื้นแล้วต้องรีบบอกหนูนะคะ ดูว่าท่าทีของเขาต่อคุณลุงกับปาจรีย์จะเป็นอย่างไร ถ้าดูท่าไม่ดี หนูจะให้นัทธีส่งคนไปรับเขากลับจีนค่ะ”
“ได้จ้ะ” คุณแม่ปารวีพยักหน้า
แม้ว่าเธอจะรับปากแล้ว แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเธอเองคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้น วารุณีคุยกับคุณแม่ปารวีอีกสองสามคำก่อนจะวางสายไป
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปคลึงคิ้ว คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจของตระกูลจิรดำรงค์จะเป็นเช่นนี้
แต่ยิ่งเธอเข้าใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่านัทธีจะเคยบอกให้เธอไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน และอย่าเอาตระกูลจิรดำรงค์ผูกมัดกับตนเองตลอดเวลา เช่นนี้มันจะไม่เป็นการดีต่อตระกูลจิรดำรงค์
ให้เธอวางมือบ้าง ปล่อยให้ตระกูลจิรดำรงค์ได้เรียนรู้ที่จะต่อสู้กับพงศกร
เธอก็รู้ด้วยว่านัทธี และเธอก็ยอมที่จะวางมือ
ทว่าในใจของเธอ กลับปล่อยมันไปไม่ได้ ถ้าเธอไม่ถามถึงสถานการณ์ของพวกเขาเสียหน่อย เธอก็จะไม่สบายใจ
“วารุณี” ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูจากนอกห้อง
วารุณีสงบสติอารมณ์แล้วเงยหน้าขึ้น “เข้ามาเถอะจ้ะ”
ลีน่าเปิดประตู ในมือมีหนังสือออกแบบเล่มหนึ่ง “วารุณี ฉันใช้หนังสือออกแบบเสร็จแล้ว ฉันเอามาคืนน่ะ”
“จ้ะ” วารุณีรับมาพร้อมรอยยิ้ม
ลีน่ามองเห็นเธอยิ้มอย่างอิดออด หน้าตาโศกเศร้า จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป? หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว?”
วารุณีนวดขมับ “ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่เมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับแม่ของปาจรีย์มาน่ะ”
“โอ้? คุยอะไรกันบ้าง?” ลีน่าเริ่มเกิดความสนใจ เธอลากเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามแล้วนั่งลง
ตอนนี้ตระกูลจิรดำรงค์อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นเธอจึงเอาใจใส่กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลจิรดำรงค์เป็นอย่างมาก
วารุณีถอนหายใจ “ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ยอมจากไป”
“นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือ ก่อนหน้านี้เราก็เคยบอกว่าไม่มีใครอยากย้ายไปย้ายมา และตอนนี้พงศกรก็บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ ก่อนที่เขาจะฟื้น คุณพ่อของปาจรีย์ก็ไปไหนไม่ได้ ดังนั้นจึงมีแค่ปาจรีย์กับคุณแม่เท่านั้นที่ไป แต่ครอบครัวของพวกเขาสามัคคีกันขนาดนั้น พวกเขาจะยอมทิ้งคุณลุงแล้วจากไปได้อย่างไร เพราะงั้นการไม่จากไปไหนก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา” ลีน่ากล่าวพร้อมกับนั่งไขว่ห้าง
วารุณีรินชาให้เธอ “ก็อย่างที่บอก แต่ตอนนี้มีปัญหาใหม่แล้ว”
“ปัญหาอะไรหรือ?” ลีน่าหันหลังให้
วารุณีหรี่ตา “คือว่าคุณลุงทำร้ายพงศกร ไม่รู้ว่าหลังจากที่พงศกรฟื้นขึ้นมา เขาจะให้คุณลุงรับผิดทางอาญาหรือเปล่าน่ะสิ”
“นี่……” ลีน่าตะลึงงัน “นี่เป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ ฉันดีใจที่พงศกรโดนทุบตี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องรับผิดชอบ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เธอถึงกับเกาหัว “เวลานี้มันช่างลำบากจริง ๆ แม้ว่าฉันจะไม่เคยเจอพงศกร แต่ฟังพวกเธอพูดหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับเขาแล้ว คนคนนี้ ฉันก็ได้เข้าใจนิดหน่อย ว่าเขาจิตใจคับแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น คุณลุงลงมือกับเขา จนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เขาไม่มีทางปล่อยคุณลุงไปแน่ เขาจะไม่ลงไม้ลงมือด้วยตัวเอง แต่จะให้คุณลุงติดคุก เพราะงั้น ไม่ว่าจะแก้แค้นแบบไหน คุณลุงก็อยู่ไม่สุขหรอก”
วารุณีพยักหน้า “ใช่ ไม่ว่าแบบไหนก็ลำบาก”
“ปาจรีย์จะไม่ทนเห็นพ่อของเธอถูกพงศกรแก้แค้นแน่นอน เธอจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้พงศกรปล่อยพ่อของเธอ หากตอนนั้น พงศกรให้เธอทำแท้งเด็กถึงจะปล่อยพ่อของเธอไป เธอต้องตอบตกลงแน่ ท้ายที่สุด เธอไม่มีทางที่จะทนเห็นพงศกรแก้แค้นพ่อตัวเองโดยที่เธอไม่แยแส” ลีน่าถอนหายใจ
วารุณีเม้มริมฝีปากจนแดงก่ำ “เธอพูดถูก นี่คือสิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุด”
“อย่างนั้นเธอก็รีบขอให้ประธานนัทธีช่วยสิ ตราบใดที่เขาลงมือ พวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่” ลีน่ารบเร้า
วารุณีสั่นศีรษะ “ไม่ได้ เมื่อกี้คุณป้าบอกฉันว่าไม่อยากให้ฉันลงมือ เธอรู้สึกว่ามันรบกวนเรามากไป จึงย้ำว่าไม่ให้ฉันกับนัทธีลงมือ จึงไม่เป็นการดีที่เราจะลงมือ”
“มันก็จริงนะ” ลีน่ายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณคนอื่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะรู้สึกรบกวนเธออยู่ตลอด คงรู้สึกเกรงใจน่ะ”
“ใช่จ้ะ ฉันจึงไม่ลงมือ ฉันแค่ไม่อยากให้พวกเขาแบกรับในจิตใจ ถ้าฉันลงมือไป ในอนาคตพวกเขาจะตอบแทนฉันเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน และด้วยสถานการณ์ครอบครัวพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาจะต้องรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเอาอะไรมาขอบคุณฉันก็จะรู้สึกว่าไม่มากพอ แล้วจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อขอบคุณฉัน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากเห็นเลย” วารุณีกล่าวพลางยิ้มอย่างอับจนหนทาง
ลีน่าตอบรับ “ที่เธอพูดก็ถูก แต่เธอเห็นแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”
วารุณีหลับตาลง “ไม่หรอกจ้ะ คุณป้าบอกว่าพวกเขามีวิธีจัดการกับพงศกร ฉันจึงจะไม่ลงมือในตอนนี้ อยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกันแน่ ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเขา ต่อสู้กับพงศกรได้จริง ๆ ฉันก็จะวางมือแล้วปล่อยให้พวกเขาทำ ถ้ามันไม่ได้ผล ฉันจะให้บังคับให้นัทธีลงมือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปล่อยให้เกิดเรื่องกับพวกเขาไม่ได้”
เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของเธอ ลีน่าก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล “ก็มีแค่ทางนี้แล้วแหละ”
“เอาละจ้ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันมีงานค้างนิดหน่อย แล้วเธอล่ะ” วารุณีมองไปที่เธอแล้วเปลี่ยนเรื่อง
ลีน่ายิ้ม “บังเอิญจริง ฉันก็เหมือนกัน”
“งั้นพวกเราไปทำงานที่ห้องทำงานสักหน่อย ยังไงก็เร็วไปที่จะไปสมาคม” วารุณีกล่าวพลางมองดูนาฬิกา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่บรรดาผู้เข้าแข่งขันจัดนิทรรศการแสดงผลงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงไม่ต้องไปที่สมาคมไวเหมือนเช่นเคย
เมื่อได้ยินคำพูดของวารุณี แววตาลีน่าก็เป็นประกาย “ได้เลย ฉันเหนื่อยกับการทำงานคนเดียวอย่างไม่มีชีวิตชีวาอยู่พอดี พอเธอพูดแบบนี้แล้ว ฉันก็ต้องตอบตกลงสิ ไปไปไป”
เธอลุกขึ้นไปดึงแขนวารุณีอย่างกระตือรือร้น
วารุณีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ช้าหน่อย! ช้าหน่อย!”
ทั้งสองออกจากห้องไปเพื่อไปที่ห้องทำงาน
ในขณะเดียวกัน ในประเทศ
อยู่ ๆ นัทธีก็ได้รับจดหมายปริศนาฉบับหนึ่ง หลังจากที่เขาเปิดจดหมายและเห็นเนื้อหาในนั้น สีหน้าของเขาดูไม่ดีเอาเสียเลย