บทที่ 888 เจี้ยงกงหมิง ทำนายถึงบุตรชาย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 888 เจี้ยงกงหมิง ทำนายถึงบุตรชาย

เมื่อได้ยินเทพมหาทัณฑ์เอ่ยถึงผานกู่ ห้าเทวทัณฑ์มองหน้ากัน

ผานกู่ต่อสู้จนตายไปนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่ทันรู้ตัว ในใจของสรรพสิ่งเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นอีกแล้ว

เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าผานกู่จะยังสามารถสะบั้นบ่วงกรรมได้ ตัวตนระดับผู้นำดวงจิตมหามรรคก็ยังไม่สามารถสอดส่องฟ้าบุพกาล

ผานกู่ช่างน่ากลัวนัก!

“เอาล่ะ ลงไปเถอะ”

เทพมหาทัณฑ์โบกมือพลางเอ่ย ห้าเทวทัณฑ์ทำความเคารพ ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

โลกแห่งนี้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

เทพมหาทัณฑ์นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ เมื่อเขาเริ่มฝึกบำเพ็ญ แสงทมิฬเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นกลางหว่างคิ้วเขา ทำให้ใบหน้าของดูแปลกประหลาดขึ้นมาหลายส่วน

….

การดับสูญของปรมาจารย์เทพทมิฬมิได้ก่อให้เกิดคลื่นลมในฟ้าบุพกาล เนื่องจากปรมาจารย์เทพทมิฬไร้ชื่อเสียง

นับตั้งแต่เทพมหาทัณฑ์เข้ามากุมอำนาจ ฟ้าบุพกาลสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสงบในอดีตคือเงียบสงัด วิเวกวังเวง แต่ความสงบในยามนี้กลับคึกคักร้อนแรง

โลกทั้งหลายที่ซุกซ่อนอยู่ในสถานที่ลับต่างๆ ล้วนโผล่ออกมาแล้ว เริ่มรับสมัครบุตรแห่งสวรรค์เข้ามา ยื้อแย่งอาณาเขต ทรัพยากรและดวงชะตา

สถานที่ที่คึกคักที่สุดก็คืออาณาเขตฟ้าบุพกาลที่มรรคาสวรรค์ตั้งอยู่ มรรคาสวรรค์เป็นโลกแรกที่มีกฎระเบียบสมบูรณ์แบบ ส่วนโลกที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้กลับมีเพียงรูปธรรม ทว่าไร้ความอัศจรรย์สร้างสรรค์ ด้วยความพิเศษของมรรคาสวรรค์ ทำให้โลกที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงมรรคาสวรรค์ก็ล้วนเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก

เมื่อเวลาผ่านไป มรรคาสวรรค์กลายเป็นที่พึ่งพิงของจักรวาลหลายร้อยแห่ง

เพียงแต่เวลานี้ โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ที่อริยะไตรวิสุทธิ์ศิษย์สืบทอดของบรรพชนเต๋าก็ผงาดขึ้นมาเช่นกัน ในอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การดูแลของนักพรตเต๋าเสินเผา มรรคาสวรรค์และโลกอริยะไตรวิสุทธิ์เริ่มประชันขันแข่งสร้างชื่อเสียงกันแล้ว

ณ โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ ภายในโถงตำหนักอันโอ่โถงแห่งหนึ่ง นักพรตเต๋าหลายหมื่นคนกำลังนั่งสมาธิอยู่ หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ด้านหน้ามีนักพรตเต๋าที่บุคลิกดูไม่ธรรมดาสองคนนั่งหันหน้าเข้าหาพวกเขา

คนหนึ่งคือเทพสูงสุดหยวนสื่อ อีกคนคือเจ้านิกายทงเทียน

เทพสูงสุดหยวนสื่อทรงภูมิสง่างาม แววตาเฉียบคม เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ แต่กลับมีไอพิฆาตแผ่ออกมาจากร่าง ทำให้คนไม่กล้าสบตา

เทพสูงสุดหยวนสื่อค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “แข่งขันกับมรรคาสวรรค์ ไม่อยากใช้ไม้แข็งได้ ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็เป็นบ้านเกิดของพวกเรา จนปัญญาที่พวกศิษย์โง่เขลาทรยศต่อพวกเรา ควบคุมอำนาจในมรรคาสวรรค์ไว้เอง ด้วยความผิดนี้ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเอาชนะมรรคาสวรรค์ให้ได้ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล สร้างชื่อให้เหนือกว่ามรรคาสวรรค์ ฮุบกลืนมรรคาสวรรค์อีกครั้ง”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา นักพรตเต๋าที่อยู่ในห้องโถงก็พากันแสดงความเห็น

“งานชุมนุมฟ้าบุพกาลเป็นงานรวมตัวของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ สำคัญยิ่งนัก”

“ถึงแม้รากฐานของมรรคาสวรรค์จะแข็งแกร่ง แต่ก็ถูกสะกดควบคุมมานาน หากเอ่ยถึงมรรคาสวรรค์ เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าของมรรคาสวรรค์มีไม่มากเลย”

“ถูกต้อง โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ของพวกเราไหนเลยจะเอาไปเทียบกับมรรคาสวรรค์ได้”

“แต่หากจะสั่นคลอนมรรคาสวรรค์ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพัวพันกับอริยะสวรรค์เกรียงไกร”

“อริยะสวรรค์เกรียงไกรร้ายกาจ แต่อริยะเลิศพิสุทธิ์ของพวกเราก็ไม่ด้อยกว่าเลยเช่นกัน”

เหล่านักพรตเต๋าพากันพูดคุยแสดงความเห็น สำหรับเรื่องต่อสู้แข่งขันกับมรรคาสวรรค์ พวกเขาตื่นเต้นกันยิ่ง ถึงขั้นที่อดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว

นามของอริยะสวรรค์เกรียงไกรดั่งเสียงฟ้าผ่าข้างหู แต่พวกเขาไม่เคยเห็นความร้ายกาจของขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ยิ่งไม่เคยพบอริยะสวรรค์เกรียงไกรด้วย

เจ้านิกายทงเทียนแค่นเสียง “อริยะสวรรค์เกรียงไกร ข้ากลับอยากพบเขานัก”

เทพสูงสุดหยวนสื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องอย่าได้พูดเหลวไหล อริยะสวรรค์เกรียงไกรร้ายกาจจริงๆ อีกทั้งไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกอริยะไตรวิสุทธิ์แล้ว ไหนเลยจะต้องเป็นอริกัน”

เจ้านิกายทงเทียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แววตาคล้ายจะดูแคลน ทว่าไม่ได้ตอบรับ

และในเวลานี้เอง

น้ำเสียงคัดค้านพลันแว่วขึ้น

“ต่อสู้แย่งชิงอันใด หากได้ตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคฟ้าบุพกาลมา เวลานั้นยังต้องเห็นมรรคาสวรรค์อยู่ในสายตาอีกหรือ”

เมื่อวาจานี้ดังขึ้น ทุกคนต่างหันไปมอง ผู้พูดคือนักพรตเต๋าชุดขาวคนหนึ่ง ใบหน้าขาวกระจ่าง อ่อนเยาว์ยิ่งนัก ดูเหมือนจะอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น

สีหน้าเขาเย่อหยิ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปรายตามองนักพรตเต๋าทั้งหมด

เทพสูงสุดหยวนสื่อหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เจี้ยงกงหมิง เจ้าอยากชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคขนาดนั้นเชียวหรือ ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่เพียงใด แม้แต่พวกเราสามอริยะล้วนไม่ทราบเลยว่ากว้างใหญ่แค่ไหน ในหมู่บุตรแห่งสวรรค์เหนือฟ้ายังมีฟ้าเช่นกัน”

เจี้ยงกงหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าพิสูจน์มรรคตอนอายุหนึ่งล้านปี พิสูจน์เสรีตอนอายุสิบล้านปี พิสูจน์มหามรรคตอนอายุห้าสิบล้านปี เมื่องานชุมนุมฟ้าบุพกาลเปิดฉากขึ้น ข้าจะต้องโดดเด่นในงานชุมนุมเพียงผู้เดียว อาจารย์ ท่านเป็นคนพูดเอง ในฟ้าบุพกาลแห่งนี้จะมีคนที่คุณสมบัติเลิศล้ำกว่าข้าไปได้อีกหรือ ข้าไม่เคยออกไปท่องโลก ไม่เคยผ่านการชี้แนะเบิกปัญญา ล้วนพึ่งพาการฝึกบำเพ็ญด้วยตัวเองทั้งสิ้น”

นักพรตเต๋าเหล่านั้นที่ไม่รู้จักเจี้ยงกงหมิงอดไม่ได้ที่จะฮือฮาขึ้นมา

อริยะมหามรรค!

เทพสูงสุดหยวนสื่อส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “คุณสมบัติเจ้าไม่เป็นสองรองใครจริงๆ แต่ยังขาดประสบการณ์ ระยะนี้มรรคาสวรรค์ก็มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นไม่น้อยเช่นกัน อีกอย่างศิษย์สามคนนั้นของอริยะสวรรค์เกรียงไกร พิสูจน์เสรีได้ตั้งแต่ไม่ถึงสิบล้านปี แม้จะมีโอกาสวาสนาหนุนนำ แต่ระดับตบะเป็นของจริง”

เจี้ยงกงหมิงขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงขรึม “สามคนนั้นคือผู้ใด”

“เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ ตอนนี้ฝึกบำเพ็ญอยู่กับร่างแยกของ อริยะเลิศพิสุทธิ์”

เจี้ยงกงหมิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

เทพสูงสุดหยวนสื่อเอ่ยว่า “กงหมิง เจ้าต้องทำความรู้จักกับพวกเขาไว้ เตรียมการสำหรับงานชุมนุมฟ้าบุพกาลในอนาคต จำไว้ อย่าได้ผูกปมแค้น อริยะเลิศพิสุทธิ์ต้องการชุบเลี้ยงพวกเขา วันหน้าอาจจะกลายเป็นเพื่อนร่วมสำนัก”

เจี้ยงกงหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์

นักพรตเต๋าคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดถึงพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามแล้ว เรื่องนี้ยิ่งทำให้เจี้ยงกงหมิงไม่สบอารมณ์กว่าเดิม

เจ้านิกายทงเทียนจ้องมองเจี้ยงกงหมิง มุมปากยกโค้งขึ้นนิดๆ ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

….

ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ผ่านไปหนึ่งแสนปีแล้ว ตบะของเขาเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่นับว่ามาก แต่ก็เพิ่มขึ้นจริงๆ ทำให้เขาพอใจมาก

จนถึงตอนนี้ โลกอนธการยังคงขยายตัวออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด หลังจากทะลวงขั้นได้ ดวงดาวในโลกอนธการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับอายุขัย

แมลงทมิฬล้างโลกายังคงอยู่ในคุกสวรรค์อนธการ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ถึงอย่างไรก็มีค่าตัวถึงหนึ่งล้านล้านปี

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดูตามความเคยชิน สอดส่องแวดวงสหายในช่วงนี้

บางคนถูกทุบตี บางคนได้รับโอกาสวาสนา บางคนก็ค้นพบพื้นที่ใหม่ๆ

หลังจากเทพมหาทัณฑ์ขึ้นกุมอำนาจ หานเจวี๋ยพบว่าตอนนี้มีจดหมายแจ้งเตือนปรากฏชื่อโลกใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มองจากจุดนี้แล้ว เทพมหาทัณฑ์ปรีชาสามารถโดยแท้

แต่หากฟ้าบุพกาลแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเทพมารอนธการอย่างเขาแล้ว จะเป็นเรื่องดีจริงๆ น่ะหรือ

แม้ว่าเขาจะวิวัฒนาการจากเทพมารอนธการไปแล้ว ทว่าบุตรชายสืบทอดสายเลือดต่อ วันหน้าเมื่อสายเลือดของบุตรชายเปิดเผยออกไป จะถูกปิดล้อมสังหารหรือไม่

หานเจวี๋ยตัดสินใจทำนายดู

‘ข้าอยากรู้อนาคตของทารกในครรภ์สิงหงเสวียน อืม ทำนายว่าเขาจะตายอย่างไรก็แล้วกัน’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ทำนายถึงความตายจะชัดเจนที่สุด หากว่าทำนายไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

หืม

มีวันที่ตายจริงๆ น่ะหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เลือกดำเนินการต่อทันที

จากนั้นเขาเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อเขาลืมตาขึ้น พบว่าตนยืนอยู่ภายในโถงตำหนักที่มีกระดูกกองสุม ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของเผ่าพันธุ์ใดล้วนมีทั้งสิ้น ดูราวกับนรก น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง

เขาเงยหน้ามองขึ้นไป ตำหนักกว้างขวาง ทันทีที่มองออกไป ไกลออกไปล้านลี้มีบัลลังก์ใหญ่มหึมาที่สูงนับหมื่นจั้งตัวหนึ่ง มีโครงกระดูกมังกรขดพัน ราวกับโซ่เหล็กไหล เปล่งแสงเยียบเย็น艾琳小說

บนบัลลังก์สูงหมื่นจั้งมีเงาร่างหนึ่งนั่งพิงอยู่อย่างเฉื่อยชา ตัวเขาสูงใหญ่นับพันจั้ง ทว่าเมื่อเทียบกับบัลลังก์แล้วดูราวกับเด็กน้อยไม่มีผิด

“นี่คือบุตรชายของข้าอย่างนั้นหรือ”

หานเจวี๋ยหรี่ตาเพ่งมองเงาร่างสูงพันจั้งร่างนั้น

ไม่น่าเชื่อว่าชุดที่เด็กคนนี้สวมจะเป็นเสื้อคลุมห้วงกาลวิถีของเขา เกล้าผมสวมกวานลูกปัดทองคำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย สองเนตรเป็นสีแดงโลหิต ทอดสายตามองไปด้านหน้าดั่งจักรพรรดิผู้ปกครองสรรพสิ่ง จ้องมองมาทางหานเจวี๋ยอย่างเย็นชา

………………………………………………………………