บทที่ 697 กั๋วซือแห่งต้าเยี่ยน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 697 กั๋วซือแห่งต้าเยี่ยน

ภาพนั้นทำเอาทุกคนต่างตกตะลึง

ปรมาจารย์เฟิงแห่งสำนักหมากรุกคุกเข่าลงต่อหน้าชายชรา

กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสเมิ่ง

เอ๊ะ

มู่หรูซินสีหน้าเปลี่ยนไป ในใจรู้สึกว่าลางไม่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ

ปรมาจารย์เฟิงเป็นศิษย์คนแรกของผู้อาวุโสเมิ่งจากสำนักหมากรุกคนที่สามารถทำให้เขาคุกเข่าได้ เป็นไปได้ว่า…

“อา อาจารย์!” ปรมาจารย์เฟิงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือและก้มลงคุกเข่า

คำเรียกว่า ‘อาจารย์’ นั้นทำลายความมั่นใจและความหยิ่งผยองทั้งหมดที่ปรมาจารย์เฟิงมอบให้มู่หรูซิน

นางมองดูปรมาจารย์เฟิงที่ก้มลงคุกเข่าจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ศักดิ์ศรีของนางกำลังถูกย่ำยีอย่างรุนแรง

นี่คือปรมาจารย์หมากรุกแห่งแคว้นทั้งหกอย่างนั้นหรือ

ผู้สืบทอดตระกูลเฟิงอันสง่างามคุกเข่าต่อหน้าชนชั้นล่าง แสดงความเคารพอย่างสุดซึ้ง นอบน้อมถ่อมตน ไม่กล้าแม้แต่จะล้วงเกิน

นั่นตระกูลเฟิงเชียวนะ ตระกูลชั้นสูงลำดับที่เก้า!

ท่านอาวุโสเมิ่งเดิมเป็นคนจากแคว้นจ้าว ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากฮ่องเต้จึงมาตั้งรกรากในเมืองเซิ่งตูและกลายเป็นชนชั้นสูง

มู่หรูซินรู้สึกได้ถึงเปลวไฟอันร้อนแรงที่ลุกโชนขึ้นในใจของนาง มันร้อนจนแสบทรวง ทำให้นางรู้สึกทั้งเจ็บปวดและเดือดพล่าน

หากนางกลายเป็นชนชั้นสูง นางก็จะไม่สนใครหน้าไหนเช่นกัน

ท่านอาวุโสเมิ่งมาดสง่างาม เขามองดูศิษย์ไม่รักดีบนพื้นด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ายักไม่รู้เลยว่าเจ้าได้กลายเป็นเจ้าสำนักหมากรุกตั้งแต่เมื่อใด”

เฟิงเย่ว์ฮว๋าตัวสั่นเล็กน้อย พลางรีบอธิบาย “อาจารย์ขอรับ นางปากพล่อย สำนักหมากรุกเป็นของท่าน ป้ายประกาศที่แขวนอยู่ในห้องโถงใหญ่จนถึงทุกวันนี้คือป้ายที่พระราชทานโดยฝ่าบาทว่า ‘สำนักหมากรุกอันดับหนึ่งมอบให้ผู้อาวุโสเมิ่ง’ ลูกศิษย์คนนี้จะกล้าอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของสำนักหมากรุกได้อย่างไร”

เขารู้สึกอยากจะฆ่ามู่หรูซินจริงๆ

บางเรื่องคิดไว้ในใจก็พอแล้ว เหตุใดต้องเอ่ยออกมาต่อหน้าคนอื่นด้วย

เช่นนี้เรียกว่าปากพาซวยได้หรือไม่

ท่านอาวุโสเมิ่งถามต่อ “เจ้าเพิ่งว่าใครขโมยป้ายอาญาสิทธิ์ไป”

“ศิษย์…ศิษย์…” เฟิงเย่ว์ฮว๋าแม้จะโง่เขลาก็ยังดูออกว่าป้ายอาญาสิทธิ์ของเด็กคนนั้นเป็นของที่เซียนหมาก มอบให้ด้วยตัวเอง เขาก็ไม่เข้าใจเลย เขาหมายปองป้ายอาญาสิทธิ์นั้นมาหลายปีแล้ว ไม่แม้แต่จะให้เขาดูแม้แต่แวบเดียว เหตุใดจึงมอบให้ใครง่ายๆ เช่นนี้

ท่านอาวุโสเมิ่งคิดในใจ ข้าเองยังไม่กล้าแม้แต่จะรังแกเด็กคนนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้พากันมาใส่ร้ายนาง

ได้

ท่านอาวุโสเมิ่งแย่งป้ายอาญาสิทธิ์จากมือเฟิงเย่ว์ฮว๋ามา แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดถูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยื่นให้กู้เจียว “เด็กน้อย เอานี่ไปเสีย”

กู้เจียว “อ๋อ”

เฟิงเย่ว์ฮว๋าสัมผัสได้ถึงลางร้าย เขาคิดในใจ ท่านอาวุโสเอาป้ายอาญาสิทธิ์คืนไปก็พอแล้ว เหตุใดยังต้องเช็ดด้วยเล่า

ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยกับเฟิงเย่ว์ฮว๋า “เจ้า…ไปขอโทษศิษย์น้องหญิง… แค่ก ศิษย์น้องบัดเดี๋ยวนี้!”

เฟิงเย่ว์ฮว๋าตกใจสุดขีด

กู้เจียวมองผู้อาวุโสเมิ่งด้วยใบหน้างงงวย ข้ากลายเป็นศิษย์เจ้าตอนไหนกัน

ท่านอาวุโสเมิ่งกระแอมเบาพลางกระซิบ “ไว้หน้ากันหน่อย ไว้หน้ากันหน่อย”

กู้เจียว “…”

เฟิงเย่ว์ฮว๋านึกไม่ถึงเลยว่าเซียนหมากหายตัวไปไม่นาน กลับมาก็ได้ศิษย์น้องเพิ่มขึ้นมาแล้ว!

แล้วเขาจะไปร้องทุกข์กับผู้ใดได้

ท่านอาวุโสเมิ่งพยักหน้า “ดีนี่ แม้แต่คำข้าก็ยังไม่ฟัง ดูเหมือนว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้แล้วสินะ”

ไอ้หยา ไม่เอานะ อาจารย์ไล่ลูกศิษย์ไปแล้วห้าสิบแปดคน! ตัวเองเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดอยู่ได้! อดทนมาสิบกว่าปี กำลังจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่แล้ว หากถูกไล่ออกจากสำนักเอาตอนนี้ไม่ขาดทุนแย่หรือ!

เขารีบลุกขึ้นยืน โค้งคำนับขอโทษกู้เจียว “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ผิดแล้ว! ศิษย์พี่ขอโทษ!”

กู้เจียวที่จู่ๆ ก็มีศิษย์พี่เพิ่มอีกคนหนึ่ง “…”

“เอาละ เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ ไม่ใช่ไปหากั๋วซือเพราะมีธุระด่วนหรือไร” ท่านอาวุโสเมิ่งคงจะไม่ยอมให้กู้เจียวมีโอกาสเปลี่ยนใจเสียก่อน! การจะรับศิษย์สักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! รอคอยโอกาสนี้มาตั้งนานแล้ว!

สวรรค์เป็นใจแท้!

ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ แต่ข้ายอมรับเจ้าแล้ว!

กู้เจียวขมวดคิ้วเล็กๆ รู้สึกว่าตาเฒ่านั่นกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง

แต่นางก็ไม่มีเวลามามาคิดเรื่องนี้

นางเข้าไปกับศิษย์ของกั๋วซือ

มู่หรูซินมองดูกู้เจียวที่เดินจากไป อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

ไม่พอใจ ไม่พอใจจริงๆ !

เหตุใดคนแคว้นระดับล่างเช่นเดียวกัน แต่เจ้าเด็กนั่นถึงได้ดวงดียิ่งนัก!

อย่างแรก เขารู้จักท่านชายชิงเฉิน ต่อมาก็สนิทกับคุณหนูสามแห่งตระกูลซู และตอนนี้แม้แต่ปรมาจารย์หมากรุกแห่งแคว้นทั้งหกก็รับเป็นศิษย์!

เจ้านั่นมันก็แค่เด็กไม่เอาไหนคนหนึ่งแท้ๆ !

“ท่านอาวุโสเมิ่ง ข้าขอถามท่านได้หรือไม่…”

“ไม่ได้” ท่านอาวุโสเมิ่งขัดจังหวะคำเอ่ยของมู่หรูซินอย่างไร้ความเกรงใจ เขาไม่ใช่คนหูหนวก เรื่องที่คนแคว้นเฉินผู้นี้ดูถูกกู้เจียวเมื่อครู่นี้เขาได้ยินทุกคำ

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามิใช่คนของสำนักหมากรุก ข้าไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนเจ้า”

คำเอ่ยนี้ดูเหมือนจะบอกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นการตัดขาดความสัมพันธ์กับมู่หรูซินอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่ามู่หรูซินจะมีความสัมพันธ์กับลูกศิษย์เอกของเขาอย่างไร ทว่านั้นไม่มีผลอะไรกับเขาทั้งสิ้น อย่าได้คิดท้าทายข้ามรุ่น

ท่านอาวุโสเมิ่งชี้ไปที่มู่หรูซิน แล้วเรียกสองศิษย์ตำหนักกั๋วซือที่เฝ้าเวรยามอยู่มามา เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านกั๋วซือเคยสัญญากับข้าสามประการ บอกว่าข้าสามารถขอร้องท่านกั๋วซือได้สามข้อ ตอนนี้ คำขอแรกของข้าคือห้ามมิให้คนแคว้นเฉินผู้นี้ย่ำเท้าเข้าในตำหนักกั๋วซืออีกต่อไป!”

มู่หรูซินหน้าซีดเผือด!

การที่ไม่ได้เข้าไปในตำหนักกั๋วซือนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวก็คือถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป เมืองเซิ่งตูทั้งเมืองจะรู้ว่านางได้ล่วงเกินตำหนักกั๋วซือแล้ว

ตำหนักกั๋วซือคืออะไรน่ะหรือ

คือสิ่งที่แม้แต่ตระกูลชั้นสูงทั้งสิบก็ไม่กล้าล่วงเกินน่ะสิ!

หากถูกตำหนักกั๋วซือหมายหัวแล้วละก็ นางยังจะมีสิทธิ์เป็นคนแคว้นบนหรือไม่

มู่หรูซินกัดฟันเอ่ย “ท่านอาวุโสเมิ่ง ข้ารักษาศิษย์เอกของท่านให้หายแล้ว ท่านจะทำคุณบูชาโทษเช่นนี้ไม่ได้!”

ทันทีที่นางเอ่ยจบ ก็เห็นเฟิงเย่ว์ฮว๋าจับคอตัวเองด้วยท่าทางเกินจริง ล้มลงกับพื้น ไอโขลกอย่างรุนแรง ตาเหลือก กระตุกไม่หยุด

มู่หรูซิน “…!!”

กู้เจียวไม่รู้เลยว่าผู้อาวุโสเมิ่งยังอยู่ที่นี่เพื่อจัดการมู่หรูซินแทนนาง นางถูกศิษย์ของตำหนักกั๋วซือนำตัวไปที่ตำหนักส่วนตัวของกั๋วซือ

กู้เจียวถาม “พวกเจ้าที่เป็นศิษย์ตำหนักกั๋วซือต่างรู้จักท่านอาวุโสเมิ่งกันหมดหรือ”

ศิษย์น้องยิ้มแล้วตอบ “ใช่ ยกเว้นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ขอรับ”

“ข้าคือแขกผู้มีเกียรติของตำหนักกั๋วซือ สหายคนคนสนิทของใต้เท้ากั๋วซือ ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ผู้อาวุโสเมิ่ง”

นึกถึงบทพูดแสนน่าอายที่นางเขียนให้ตาเฒ่า กู้เจียวกำหมัดแน่นอย่างเงียบๆ

ไม่เป็นไร

นางไม่อาย คนอื่นต่างหากที่ต้องอาย!

ที่พำนักของใต้เท้ากั๋วซือห้อมล้อมไปด้วยป่าไผ่ ต้องเดินข้ามสะพานโค้งเล็กๆ ทัศนียภาพสวยงาม ทางเดินคดเคี้ยวลึกลับ

ที่นี่ดูแตกต่างจากบรรยากาศโดยรวมของตำหนักกั๋วซือเป็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่ให้ความเงียบสงบล้ำลึก

“ใต้เท้ากั๋วซืออยู่ที่นั่นขอรับ” ศิษย์ชี้ไปที่ป่าไผ่ม่วงที่อยู่ไม่ไกล

“ป่าไผ่ม่วงนี่เอง” กู้เจียวคิดว่าเป็นป่าไผ่เขียว “ว่าแต่ เจ้าชื่ออะไรหรือ”

“ข้าชื่ออวี้เหอขอรับ” ศิษย์น้องตอบกลับ

ระหว่างการสนทนา ทั้งสองก็เข้าไปในป่าไผ่สีม่วง

ในป่ามีสายลมพัดโชยเบาๆ กลิ่นหอมของไผ่สีม่วงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

เมื่อนึกถึงว่ากู้เหยี่ยนจะได้ผ่าตัดในไม่ช้า อารมณ์ของกู้เจียวก็ดีขึ้นตามไปด้วย

“ถึงแล้วขอรับ” ศิษย์น้องเอ่ย “พวกเราอยู่ที่นี่ก่อน รอให้คนข้างในออกมา”

ทั้งสองคนยืนอยู่นอกรั้วไม้

ในรั้วไม้มีลานโล่งกว้าง เข้าไปด้านในเป็นเรือนไผ่สามหลัง

ประตูของเรือนไม้ไผ่เปิดอ้าอยู่ แต่มีม่านบังอยู่ ทำให้มองเห็นด้านในได้ยาก

กู้เจียวไม่ได้ตั้งใจแอบฟังการสนทนาระหว่างใต้เท้ากั๋วซือกับแขก แต่เพราะนางหูดี จึงได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ย “จริงๆ แล้วมันต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นหรือ”

มันเป็นเสียงของชายหนุ่ม

กู้เจียวไม่ได้ยินคำตอบของใต้เท้ากั๋วซือ แต่กลับได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้นเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของท่าน”

ทันใดนั้น ม่านถูกมือขาวเรียวที่ข้อต่อกระดูกชัดเจนเปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักพรตสีน้ำเงินเข้มก้าวออกมา

เขาสวมรองเท้าที่ขั้นบันได ใบหน้าที่เย็นชาเดินออกจากลาน

กู้เจียวจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ คิดในใจ “หน้าตาของนักพรตคนนี้ดูดีเกินไปแล้ว สมัยนี้ไม่ใช่แค่นักบวชเท่านั้นที่หน้าตาดี แม้แต่นักพรตก็หล่อเหลาขนาดนี้เลยหรือ”

“นักพรตชิงเฟิง” อวี้เหอยกมือไหว้อีกฝ่าย

นักพรตชิงเฟิงไหว้รับเบาๆ

กู้เจียวกระพริบตา มองใกล้ๆ หน้าตายิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก

นักบวชรูปงามไม่เหมือนนักบวช นักพรตคนนี้กลับมีกลิ่นอายของนักพรตผู้ทรงฌานสมาธิ

นักพรตชิงเฟิงไหว้กู้เจียวหนึ่งครั้ง จากนั้นไม่สนใจว่ากู้เจียวจะไหว้ตอบหรือไม่ ก็หันหลังเดินจากไป

อวี้เหอแนะนำกู้เจียว “เขาคือนักพรตชิงเฟิง เคยเป็นศิษย์ของสำนักบัณฑิตเจียหนานมาก่อน สำนักบัณฑิตเจียหนานเป็นสำนักบัณฑิตที่ใต้เท้ากั๋วซือเป็นผู้ก่อตั้งด้วยตัวเอง”

“อวี้เหอ แขกคนสุดท้ายมาแล้วหรือยัง”

เสียงทุ้มกังวานดังมาจากในเรือนไม้ไผ่ เสียงนั้นดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ฟังแล้วทำให้คนใจสั่นราวกับว่าวิญญาณกำลังถูกเคาะ

อวี้เหอยกมือคำนับไปทางเรือนไม้ไผ่พลางเอ่ย “ขอรับ ใต้เท้ากั๋วซือ นี่เป็นศิษย์เล็กของท่านอาวุโสเมิ่ง”

“โอ้” คนที่อยู่ในเรือนดูเหมือนจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“เชิญเข้ามา” เขาเอ่ย

อวี้เหอพากู้เจียวเข้าไปในลานของเรือน เขาไม่สามารถเขาไปได้ ทำได้เพียงมองดูนางเดินขึ้นบันได ถอดรองเท้าออก แล้วสวมรองเท้าสีขาวเข้าไปประตูไป

ห้องขนาดเล็กแสงสลัว มีโต๊ะเล็กๆ เพียงตัวเดียว เบาะรองนั่งหนึ่งคู่ และกระถางธูปเท่านั้น

โต๊ะเล็กหันข้างไปทางประตู

คนที่อยู่หลังโต๊ะสวมเสื้อคลุมสีดำ ปลายแขนเสื้อปักรูปกิเลนเรืองแสงสีทอง สวมหมวกสีดำ ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด

แผ่นหลังของเขาเหยียดตรง รูปร่างเหมือนดั่งต้นสนต้นไผ่

เมื่อเข้ามาในอณาเขตของเขา เขาจึงไม่วางมาดใด ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่สงบนิ่งอย่างล้ำลึก ดั่งกลับคืนสู่ธรรมชาติ ร้อยพันสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง

นี่คือใต้เท้ากั๋วซือแห่งแคว้นเยี่ยนที่ได้รับการบูชาเฉกเช่นเทพเซียนอย่างนั้นหรือ

กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามเขา

เมื่อแสงและเงาเปลี่ยนทิศ ในที่สุดกู้เจียวก็มองเห็นใบหน้าของเขา

กู้เจียวตกตะลึงในทันใด